พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1994 ประเดิมดาบที่เขา
น้ำตาไหลจนตาพร่ามัวขณะมองจั่วเอ๋อร์ อิ๋งเยว่ไม่รู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไร จั่วเอ๋อร์จงรักภักดีต่อตระกูลอิ๋งหรือไม่? ใช่! แต่จั่วเอ๋อร์ก็สังหารพ่อแม่ของนาง แต่แล้วพ่อแม่ของนางทำถูกหรือไม่ล่ะ? ก็ทำไม่ถู!
หู่หลินมองออกว่านางสับสนตัดสินใจลำบาก จึงกล่าวเช้าๆว่า “ในมุมมองของนาง ทำไมคะลูกหลานอกตัญญูพวกนั้นของตระกูลอิ๋ง ก็จะไม่มีหวังในการชำระแค้นที่หลวงของตระกูลอิ๋งเช่นกัน ในมุมมองของบิดามารดาเจ้า บางทีก็อาจจะคิดเช่นกันว่าพี่น้องตัวเองไม่น่าเชื่อถือ ถ้าไม่แย่งชิงมรดก ในภายหลังกิจการของตระกูลอิ๋งก็จะไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองแล้ว ถึงแม้ล้างแค้นได้จะดี แต่ถ้าล้างแค้นไม่ได้ อย่างน้อยทุกคนก็ยังมีที่พึ่งให้ดำรงชีวิต จั่วเอ๋อร์ไม่คิดว่าตัวเองทำผิด บิดามารดาเจ้าก็ไม่คิดว่าตัวเองทำผิดเช่นกัน บางทีในสายตาคนอื่น อิ๋งจิ่วกวงปู่เจ้าชั่วร้ายเจ้าเล่ห์ที่สุด สมควรตาย แต่ในสายตาของปู่เจ้าเอง ก็ไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิดเช่นกัน มีหลายเรื่องที่ความจริงแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องว่าถูกหรือผิด เพียงแค่ทุกคนยืนมองปัญหากันคนละมุมก็เท่านั้นเอง นางหนูเอ๊ย อยากจะล้างแค้นอย่างสะใจ หรือไม่ก็ยอมแพ้ซะ อย่าสับสนเกินไป”
จั่วเอ๋อร์หันตัวมาเผชิยหน้ากับเขาแล้ว ร่างกายหู่หลินอ่อนยงบล้มลงพื้น วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปเข้าไปรวมอยู่ในร่างกายจั่วเอ๋อร์อีกครั้ง
อิ๋งเยว่ยกแขนเสื้อปาดน้ำตา “อาจารย์ ฉันต้องการจะยืมใช้ร่างของนางเหรอ?”
จั่วเอ๋อร์พยักหน้า แต่ก็ส่ายหน้าอีก วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปหลุดออกมาอีกครั้ง แล้วถอนหายใจบอกว่า “ข้าไม่ค่อยชินกับร่างกายของผู้หญิง”
อิ๋งเยว่ที่ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตางุนงง
หนานโปยื่นนิ้วชี้ขึ้นมา ตรงปลายนิ้วมีแสงทอง เรากลับมีต้นอ่อนงอกขึ้นมา แตะตรงหว่างคิ้วของจั่วเอ๋อร์เบาๆ แสงทองจมหายลงไปในแท่นจิตของจั่วเอ๋อร์ แล้วก็หายไป
พระปีศาจหนานโปประนมมือสองข้าง ตบเบาๆ หนึ่งที “เพี้ยะ” มีเสียงดังกลับมา
จั่วเอ๋อร์สั่นไปทั้งตัว รู้สึกราวกับตื่นขึ้นมาจากฝันอย่างฉับพลัน ไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองทำอะไรลงไป แต่กลับระดับได้ว่าตัวเองเพิ่งตกหลุมพราง เงาร่างที่มีแสงทองตรงหน้าก็ยิ่งทำให้นางตกใจ นางรีบก้าวถอยหลัง มองอิ๋งเยว่ที่น้ำตานองหน้า แล้วก็มองเอาร่างแสงทองอีก ตะโกนถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”
“โอม!” พระปีศาจหนานโปขยับปากเบาๆ
จั่วเอ๋อร์เราก็โดนฟ้าผ่า ตัวสั่นไปทั้งร่าง พลันเอามือกุมศีรษะ เจ็บปวดจนหน้าซีด นางชี้พระปีศาจหนานโป “เจ้า…” แล้วก็รีบเอามือกลับมากุมหัวอีก ส่งเสียงครางอย่างทรมาน ในลูกตาเต็มไปด้วยเลือดอย่างรวดเร็ว ถอยหลังไปชนกำแพงแล้วไถลลงนั่งอย่างช้าๆ ขดตัวกลิ้งอยู่บนพื้น เจ็บจนตัวสั่นเหงื่อไหล ยิ่งคิดอยากควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ ก็ยิ่งเจ็บปวดทรมาน
“เส้อ!” พระปีศาจหนานโปท่องเบาๆ
“อือ…” จั่วเอ๋อร์ที่ขดตัวเกร็งอยู่บนพื้นคลายมือและแขนขาออก นอนปวกเปียกและถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่บนพื้น ใบหน้าซีดขาว ใช้เวลาแค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ทั้งตัวราวกับถูกช้อนขึ้นมาจากน้ำ
ฉากตรงหน้าทำให้อิ๋งเยว่ลืมความเศร้าโศก เหลือเพียงความตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าอาศัยวรยุทธ์ของจั่วเอ๋อร์แต่ยังไม่มีแรงตอบโต้เลยสักนิด
ก็ช่วยไม่ได้ จั่วเอ๋อร์จะไปคิดได้อย่างไรว่าอิ๋งเยว่จะมารวมอยู่กับพระปีศาจหนานโป ต่อให้ตีให้ตายนางก็นึกไม่ถึง ถ้านางนึกได้ ด้านนอกกำลังครึกโครมเพราะพระปีศาจหนานโป นางจะต้องป้องกันเรื่องนี้ไว้ก่อนแน่นอน คงไม่ตกหลุมพรางอย่างนี้
พระปีศาจหนานโปกลายเป็นลำแสง เข้าไปในร่างของหู่หลินที่นอนอยู่บนพื้น ไม่นานหู่หลินก็ลืมตาขึ้น ลุกขึ้นยืนตัวตรง จ้องจั่วเอ๋อร์ที่อยู่บนพื้นด้วยสายตาเย็นชา แล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “เจ้าถูก ‘มนต์แนบวิญญาณ’ ของข้าแล้ว ทุกปีต้องให้ข้าคลายมนต์ให้เจ้าหนึ่งครั้ง ไม่อย่างนั้นก็จะจิตวิญญาณแตกซ่าน กลายเป็นศพเดินได้!”
จั่วเอ๋อร์ที่หางตาเห็นฉากเมื่อครู่นี้ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ รสชาติความทรมานเมื่อครู่นี้ออกมาจากจิตวิญญาณ ทำให้ตอนนี้นางยังรู้สึกมือไม้อ่อน ยังไม่มีฤทธิ์เดชอะไร นางตัวสั่นเป็นระยะ รสชาติความเจ็บปวดนั้นนางไม่อยากสัมผัสเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว
นางตระหนักได้แล้วว่าตัวเองตกหลุมพรางอิ๋งเยว่ ที่นางมาที่นี่ เดิมทีเพราะอยากจะถือโอกาสควบคุมอิ๋งเยว่ให้จัดระเบียบกำลังที่เหลืออยู่ของตระกูลอิ๋งขึ้นมาใหม่ แต่กลับขโมยไก่ไม่ได้ซ้ำยังเสียข้าวสาร หนึ่งกำมือ นึกไม่ถึงว่าข้างกายอิ๋งเยว่ยังมียอดฝีมือแบบนี้อยู่ด้วย จึงอดไม่ได้ที่จะฝืนยิ้มพร้อมถามว่า “คุณหนู คนคนนี้คือใคร?”
อิ๋งเยว่มองนางด้วยแววตาสับสน “อาจารย์ของข้า!”
“อาจารย์?” จั่วเอ๋อร์งุนงง นึกไม่ออกว่าอิ๋งเยว่เคยมีอาจารย์อย่างนี้ด้วย คาดว่าคงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนหลัง นางหันไปมองหู่หลิน “มนต์แนบวิญญาณ? ข้าเพิ่งเคยได้ยินสิ่งนี้เป็นครั้งแรก อาศัยวิธีการแบบนี้ คาดว่าคงไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียง ขอทราบนามอันยิ่งใหญ่ของท่านด้วย?”
แม้จะยังมือไม้อ่อน ร่างกายสั่นเทิ้มเป็นระยะ แต่ก็สมกับเป็นคนที่เข้าสังคมมาจนคุ้นเคย ยังคงรักษาความสุขุมเยือกเย็นไว้ได้
หู่หลินกล่าวเสียงเรียบว่า “ผู้คนเรียกข้าว่าพระปีศาจ!”
จั่วเอ๋อร์อึ้งไปชั่วขณะ พอนึกขึ้นได้ถึงเงาร่างแสงทองเมื่อครู่นี้ ก็พบว่าอีกฝ่ายเหมือนจะไม่มีกายหยาบ กอปรกับตอนนี้ใต้หล้ากำลังวุ่นวายจนคนรู้เรื่องนี้กันหมด…หลังจากรู้ตัวแล้วก็ตกใจ พลันเบิกตากว้าง ไม่มีทางนิ่งได้อีกแล้ว “หา” นางถามอย่างตกใจว่า “เจ้าคือพระปีศาจหนานโป?”
หู่หลินกล่าวอย่างใจเย็น “ในปีนั้นคนในใต้หล้าก็แค่หวาดกลัวกำลังของข้า คนส่วนใหญ่ต่างก็รู้ว่า ถ้าไม่มายั่วโมโหข้าก็ย่อมไม่เป็นอะไร ตอนนี้แม้คนส่วนใหญ่จะไม่เคยเห็นข้า ทุกคนไม่เคยเห็นหน้ากัน และไม่เกี่ยวข้องกันเลยสักนิด แต่กลับเมืองกลัวข้ามาก คำพูดคนช่างน่ากลัวจริงๆ สงสัยคงมีคนหวังให้ใต้หล้าเป็นศัตรูกับข้าตลอดไปเพื่อปกป้องตัวเอง เป็นศัตรูก็เป็นศัตรูสิ แล้วยังไงล่ะ?”
ในเวลานี้จั่วเอ๋อร์ยากที่จะไตร่ตรองคำพูดของหนานโปอย่างใจเย็นได้ นางกลืนน้ำลาย มองไปที่อิ๋งเยว่อย่างช้าๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ทำไมคุณหนูท่านนี้จึงกลายเป็นลูกศิษย์ของพระปีศาจหนานโปได้?
หู่หลินกล่าวว่า “นางหนูคารวะข้าเป็นอาจารย์แล้ว ต้องการจะฟื้นฟูตระกูลอิ๋งขึ้นมาใหม่ เขาสัญญากับนางแล้วว่าในอนาคตนางจะไม่เป็นรองเซี่ยโห้วท่า เจ้ายินดีจะช่วยนางหนูนี่อีกแรงไหม?”
จั่วเอ๋อร์ได้ยินแล้วจ้องอิ๋งเยว่อย่างตะลึงงันพูดไม่ออก ตอนแรกยังคิดอยู่เลยว่านางหนูนี่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ไม่น่าเชื่อว่าจะหนีออกมาคนเดียวเพื่อล้างแค้นให้ตระกูลอิ๋ง ต้องโง่ขนาดไหนกัน แต่ตอนนี้กลับมาคารวะพระปีศาจหนานโปเป็นอาจารย์ สงสัยการล้างแค้นของตระกูลอิ๋งและการฟื้นฟูตระกูลอิ๋งจะต้องฝากความหวังไว้บนตัวนางหนูนี่แล้ว ช่างเป็นเวลาและโชคชะตาจริงๆ…
ไม่กี่วันหลังจากนั้น เฉาหยินผู้ตรวจการซ้ายกองทัพของตระกูลอิ๋งก็ปรากฏตัวในบ้าน ถูกหลอกมาเช่นเดียวกัน ไม่ยืนทำตาใหญ่ตาเล็กจ้องจั่วเอ๋อร์
ไม่กี่วันหลังจากนั้น สงฉีผู้ตรวจการขวาของตระกูลอิ๋งก็ปรากฏตัวอยู่ในบ้าน โดนหลอกมาเช่นกัน เขากับจั่วเอ๋อร์เฉาหยินมองหน้ากันเลิกลั่ก
ต้นไม้ใหญ่รากหยั่งลึก กิ้งกือตายแล้วแต่ยังดิ้นได้ จะว่าไปแล้วตระกูลอิ๋งก็เป็นอย่างนี้
อิ๋งเยว่มีพระปีศาจหนานโปหนุนหลังแล้ว ไม่ว่าตอนนี้พระปีศาจหนานโปจะมีพลังเป็นอย่างไร ไม่สนด้วยว่าพระปีศาจหนานโปจะมีเจตนาอะไร ในสายตาของพวกจั่วเอ๋อร์ อิ๋งเยว่ในตอนนี้ไม่ธรรมดาอีกแล้ ว ใจคนที่กระจัดกระจายรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง มีอำนาจขึ้นมาในเวลาสั้นๆ ไม่ว่าใครก็ไม่อยากตกต่ำตอนนี้
จั่วเอ๋อร์ เฉาหยิน สงฉีพร้อมใจกันให้อิ๋งเยว่เป็นหัวหน้าตระกูลคนใหม่ของตระกูลอิ๋ง!
ทั้งสามฝ่ายรายงานกำลังที่เหลืออยู่ตอนนี้ของตระกูลอิ๋ง กำลังพลที่กระจายกันอยู่ทั้งในที่ลับและที่แจ้งมีไม่น้อยกว่าสองแสนคน อย่างน้อยช่องทางข่าวสารส่วนใหญ่ที่ตระกูลอิ๋งวางวางกำลังไว้ในปีนั้นก็ยังอยู่ แม้กำลังพลที่อยู่ฉากหน้าจะถูกทำลายไปแล้ว แต่สิ่งที่ซ่อนไว้ในที่ลับเหล่านี้กลับขุดรากถอนโคนได้ยาก นี่ก็คือสิ่งที่พระปีศาจหนานโปชอบ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะออกไปสืบข่าวด้วยตัวเองทีละข่าว มิหนำซ้ำด้วยสถานการณ์ตอนนี้ เขาก็ไม่สะดวกจะเป็นพาลไปทั่ว
หลี่ผิง คนที่อิ๋งเยว่เรียกว่าท่านอาหลี่ กลายเป็นลูกน้องคนสนิทของอิ๋งเยว่แล้ว
พระปีศาจหนานโปอ่านความคิดของหลี่ผิง แล้วบอกอิ๋งเยว่ว่า บิดาเจ้ามองคนไม่ผิด คนคนนี้เชื่อถือได้!
อิ๋งเยว่เองก็รู้สึกว่าหลี่ผิงเชื่อถือได้ ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว หลี่ผิงดูแลปกป้องนางมาตลอด
ดาวเกาะคราม ดาวเคราะห์ที่บริเวณรอบด้านปกคลุมไปด้วยน้ำ มีเพียงเกาะกระจายอยู่หรอมแหรม แทบจะไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ หลังจากจัดระเบียบกำลังของตระกูลอิ๋งแล้ว อิ๋งเยว่ก็ย้ายมาที่นี่ทันที ซ่อนตัวอยู่ที่เดิมมักจะมีนักพรตไปมาหาสู่ ดึงดูดความสนใจคนอื่นได้ง่าย ถึงอย่างไรเทพแห่งภูผาบริเวณนั้นก็ไม่ได้ตาบอด ต้องมีสักครั้งที่บังเอิญมาเจอ
ถ้าจะให้พูดว่าที่ไหนปลอดภัย ในบรรดากำลังพลตระกูลอิ๋งที่เหลือรอดตอนนี้ เกรงว่าจั่วเอ๋อร์คงรู้ดีที่สุด พวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินและเทพแห่งผืนน้ำที่ถูกเนรเทศมาอยู่บนเกาะคราวล้วนเป็นกำลังพลลับที่ตระกูลอิ๋งวางตั้งแต่ในปีแรก และระหว่างกำลังพลลับเหล่านี้ก็ไม่รู้จักเบื้องหลังของกันและกัน สามารถเรียกได้ว่าที่นี่คือฐานลับที่ตระกูลอิ๋งเตรียมไว้เป้นทางหนีทีไล่ล่วงหน้า
ก่อนหน้านี้จั่วเอ๋อร์ซ่อนตัวอยู่ที่นี่มาตลอด
เมื่อไม่มีความกังวลเรื่องอันตราย ได้ที่อยู้แล้ว ภายใต้การชี้แนะของพระปีศาจหนานโป อิ๋งเยว่เรียกจั่วเอ๋อร์ เฉาหยินและสงฉีมาอีกครั้ง
คลื่นมรกตม้วนกลิ้งอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ซัดกระทบฝั่ง ในห้องโถงที่ขุดออกมาจากหน้าผา อิ๋งเยว่ที่นั่งสง่าอยู่เบื้องบนเหมือนเป็นเป็นแค่เครื่องประดับชั่วคราว หู่หลินที่ถูกพระปีศาจหนานโปยึดร่างยืนคู่กับหลี่ผิงอยู่ทางซ้ายและขวา
หลังจากทุกคนพบกันและพูดจาตามมารยาทแล้ว พระปีศาจหนานโปก็ไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากใคร พูดโดยตรงเลยว่า “คาดว่าทุกคนคงรู้จักหนิวโหย่วเต๋อ ท่ามกลางอำนาจใหญ่แต่ละฝ่ายตอนนี้ ฝ่ายเขาอ่อนแอที่สุด ข้าเตรียมจะลงดาบกับเขาคนแรก ใครมีวิธีการอะไรบ้าง?”
สามคนที่ยืนอยู่เบื้องล่างมองหน้ากันเลิกลั่ก จั่วเอ๋อร์กล่าวอย่างลังเล “เกรงว่าจะจัดการยาก เขาดูเหมือนอำนาจอ่อนแอสุดในบรรดาทุกฝ่าย แต่เรื่องที่เขากับฮ่าวเต๋อฟางช่วยเหลือกันก็ไม่ใช่ความลับอะไร แล้วรอบกายเขาก็มีกำลังทหารหนาแน่น เกรงว่าแม้แต่ประมุขชิงถ้าคิดจะแตะต้องเขาก็ยังลำบาก”
“ไม่ต้องใช้กำลังปะทะ ทำให้ข้าเจอเขาได้สักครั้งก็พอ ข้าย่อมมีวิธีจัดการเขาอยู่แล้ว” พระปีศาจหนานโปกล่าวเสียงเรียบ
ทั้งสามครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ยังเป็นจั่วเอ๋อร์ที่คิดออกคนแรก จั่วเอ๋อร์พลันมองสงฉี “เรื่องนี้เกรงว่าต้องให้ผู้ตรวจการซ้ายคิดหาทางแล้ว”
สายตาของทุกคนมองไปที่สงฉี สงฉีถามอย่างงุนงง “ข้าเหรอ? ข้ากับหนิวโหย่วเต๋อเจอหน้ากันแค่ไม่กี่ครั้ง ไม่รู้จัก ไม่รู้จะลงมือจากตรงไหน!”
“เทียนหยวนอยู่ใต้บังคับบัญชาผู้ตรวจการซ้าย ตามที่ข้ารู้มา ตอนนี้ฮูหยินของเทียนหยวนอยู่ที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ได้รับความเชื่อใจจากหนิวโหย่วเต๋อ คอยทำงานอยู่ข้างกายฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อ” จั่วเอ๋อร์กล่าว
พระปีศาจหนานโปตาเป็นประกายทันที เฝ้าคอยมาก
สงฉีครุ่นคิดสักพัก แล้วพยักหน้าเบาๆ “เหมือนจะมีเรื่องแบบนี้อยู่”
หนานโปบอกทันทีว่า “ดี! เจ้าแค่ต้องให้เทียนหยวนล่อฮูหยินของเขาออกมาพบข้าสักครั้งก็พอ เรื่องต่อมาข้ามีวิธีจัดการเอง”
เอาเมียของลูกน้องมาใช้งาน แม้สงฉีจะลังเล แต่กลับทำได้เพียงพยักหน้า “รับทราบ! ข้าจะพยายามสุดความสามารถ”
“ไม่ใช่พยายามสุดความสามารถ แต่ต้องทำให้เต็มที่!”
จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ปี้เยว่ที่อาศัยอยู่อุทยานขวาเป็นเวลานานวิ่งตรงมาที่ประตูใหญ่จวนผู้สำเร็จราชการ ตอนที่เข้าใจประตู นางกลับเริ่มลังเลอีก
นางได้รับข่าวจากเทียนหยวน เทียนหยวนนัดเจอกับนาง กำชับนางว่า เพื่อความปลอดภัยของนาง อย่าให้พวกหนิวโหย่วเต๋อรู้
พอเดินมาถึงประตูนางก็เพิ่งนึกได้ ว่าช่วงนี้หนิวโหย่วเต๋อเสริมกำลังป้องกันแดนรัตติกาล โดยเฉพาะที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ต้องป้องกันทุกคนที่เข้าออกในจววน ถ้าไม่มีหนังสือจากหยางเจาชิง ก็ไม่มีทางผ่านการสอบสวนจากทหารยามได้ ถ้าทหารยามไม่เห็นหนังสือผ่านทางของหยางเจาชิงก็จะไม่ปล่อยคน
…………………