พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2005 จิตใจโฉดชั่วเหมือนหมาป่า
“ตอนหลังเหรอ?” เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่มีตอนหลังแล้ว ตอนหลังข้าก็ไม่ได้เจอปีศาจโลหิตอีก”
เฉาหม่านจ้องเขาอย่างมีสมาธิ “เรื่องสองเรื่อง ผู้ตรวจการใหญ่เล่าไปแค่เรื่องเดียว ข้าตั้งใจรอฟังอีกเรื่อง”
เฉาเฟิ่งฉือก็จ้องเหมียวอี้อย่างใจจดใจจ่อเช่นกัน หยางเจาชิงที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับมีสีหน้าสงบนิ่งเยือกเย็น
เหมียวอี้ตอบด้วยน้ำเสียงปกติ “ในปีนั้นข้าได้รับการดูแลจากปี้เยว่ ฮูหยินของเทียนหยวน ตอนหลังเกิดเรื่องกับตระกูลอิ๋ง ส่วนเรื่องของปี้เยว่ คาดว่าเถ้าแก่คงจะรู้ชักเช่นกัน”
เฉาหม่านไม่รู้ว่าเขาเอ่ยถึงปี้เยว่ทำไม กล่าวชมอย่างฝืนใจว่า “ผู้ตรวจการใหญ่มีคุณธรรมน้ำมิตร เพื่อตอบแทนบุญคุณในอดีต จึงปกป้องปี้เยว่ ได้รับการดูแลจากจวนผู้สำเร็จราชการ”
เหมียวอี้เล่าว่า “ตระกูลอิ๋งรบแพ้ เทียนหยวนรอดชีวิตหนีตามสงฉีผู้ตรวจการขวาทัพตระกูลอิ๋งไป ข้าเองก็ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้เทียนหยวนได้ติดต่อปี้เยว่หรือเปล่า แต่เมื่อไม่นานมานี้ จู่ๆ เทียนหยวนก็ติดต่อปี้เยว่มา ขอให้นางไปพบ เพราะจวนผู้สำเร็จราชการควบคุมเข้มงวด ปี้เยว่ไม่สามารถถือวิสาสะออกไปข้างนอกเองได้ จำเป็นต้องเปิดเผยความจริงว่าเทียนหยวนนัดนางไปเจอ สามีภรรยาพบกันเป็นเรื่องปกติ ข้าก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร อนุญาตนางไปแล้ว แต่ถึงยังไงเทียนหยวนก็เป็นผู้รอดชีวิตของตระกูลอิ๋ง ข้าก็ยังกังวลอยู่บ้าง เลยส่งคนแอบไปคุ้มครองนาง จะบอกว่าอยากสืบที่อยู่ของเทียนหยวนก็ได้ ทว่าเรื่องราวผิดไปจากที่ข้าคาดไว้ ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ข้าส่งไปจะโดนคนอื่นควบคุมสติ เพราะช่วงนี้ป้องการอย่างเข้มงวด จึงมีบางคนปิดการได้ยินและจิตสำนึกและรายงานสถานการณ์กลับมาได้ทันเวลา เพียงแต่ตอนหลังก็ไม่ได้ข่าวอีก ไม่ได้ข่าวปี้เยว่เช่นกัน ช่วงนี้ข้ากำลังคิดเรื่องนี้มาตลอด จู่ๆ ก็ได้รับข้อความจากปี้เยว่ ปี้เยว่ขอบางสิ่งกับข้า เถ้าแก่รู้มั้ยว่าปี้เยว่ขออะไรจากข้า?”
เมื่อเชื่อมโยงกับเรื่องก่อนหน้านี้ เฉาหม่านก็พอจะเดาได้ แต่กลับยังถามว่า “ขออะไร?”
เหมียวอี้ตอบว่า “นางขอสมุนไพรจิตวิญญาณจากข้า บอกว่าขอเพียงข้าส่งสมุนไพรจิตวิญญาณไปให้ คนที่จับตัวพวกเขาไว้ก็จะปล่อยพวกเขา สัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์มหาศาลกับข้าด้วย ข้าก็เลยแกล้งโง่ บอกว่าไม่รู้จักว่าสมุนไพรจิตวิญญาณคืออะไร นางกลัเอ่ยถึงปีศาจโลหิต บอกว่าเป็นบัวโลหิตในค่ายกลมารโลหิตที่ข้าเอาไป เรื่องที่เกี่ยวกับบัวโลหิต ข้าไม่เคยเปิดเผยให้ภายนอกรู้ แต่ปี้เยว่รู้ได้ยังไง แล้วคนที่จับพวกเขาไปรู้ได้ยังไง เรื่องนี้ทำให้ข้าไม่เข้าใจจริงๆ”
เมื่อนำสองเรื่องนี้มาเชื่อมโยงกัน ก็ทำให้เฉาหม่านหวาดระแวงกลัว เขารู้เรื่องที่ปีศาจจิ้งจอกสามหางหนีมาจากสถานที่ผนึก รู้เรื่องที่ปีศาจโลหิตถูกควบคุมอยู่ที่สถานที่ผนึก กอปรกับสรรพคุณของสมุนไพรจิตวิญญาณ คนร้ายตัวจริงที่จับพวกปี้เยว่ไปก็โผล่อออกมาแล้ว
เพียงแต่เฉาหม่านยังกล่าวอย่างใจเย็น “ผู้ตรวจการใหญ่มีคุณธรรมน้ำมิตร ในเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าจะให้ผลประโยชน์มหาศาล ไม่สู้ส่งบัวโลหิตกลับไปเลยสิ”
เมื่อเห็นเขายังแกล้งโง่ เหมียวอี้จึงใช้คำพูดกระตุ้นเสียเลย “เถ้าแก่รู้หรือเปล่าว่าอีกฝ่ายจะให้ผลประโยชน์อะไรกับข้า?”
เฉาหม่านจิบสุราช้าๆ แล้วถามอย่างใจเย็น “ยินดีฟังรายระเอียด”
“อีกฝ่ายสัญญาว่า จะทำให้ข้ากลายเป็นเซี่ยโห้วท่าคนที่สอง!” เหมียวอี้ตอบ
“…” เฉาหม่านหนังตากระตุกทันที รู้ว่าแกล้งโง่ต่อไปก็ไม่มีความหมายแล้ว เขาจ้องเหมียวอี้พร้อมถามช้าๆ “ไม่ทราบว่าผู้ตรวจการใหญ่เลือกยังไง?”
“ในเมื่อเล่าสองเรื่องนี้ให้เถ้าแก่ฟังแล้ว ข้าจะเลือกยังไง เถ้าแก่ยังไม่เข้าใจเจตนาของข้าอีกเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
“เจ้าคิดจะใช้สิ่งนี้มาบีบตระกูลเซี่ยโห้วเหรอ?” เฉาหม่านถามเสียงเย็น
“ผิดแล้ว!” เหมียวอี้ส่ายหน้า “ถ้าข้าอยากจะบีบตระกูลเซี่ยโห้ว ก็สามารถบอกเรื่องนี้กับเซี่ยโห้วลิ่งโดยตรงได้เลย! หลายปีมานี้ข้าร่วมมือกับเถ้าแก่แล้วมีความสุข ที่จริงข้าก็หวังให้เถ้าแก่เฉาเป็นหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วด้วยซ้ำ!”
คำพูดนี้กลับทำให้เฉาเฟิ่งฉือตกใจกลัว เห็นได้ชัดว่ากำลังยุยงให้เฉาหม่านวางแผนแย่งชิงตำแหน่ง
เฉาหม่านชำเลืองเฟิ่งฉือโดยจิตใต้จิตสำนึก แล้วตบโต๊ะยืนเสียงดัง “เพล้ง” มองเหมียวอี้อย่างโกรธเคือง พร้อมตะคอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าว่าเจ้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง อย่านึกนะว่าในมือมีทัพใหญ่เกรียงไกรหลายสิบล้านแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ เจ้าเชื่อมั้ยว่าตระกูลเซี่ยโห้วสามารถทำให้ทุกสิ่งในมือเจ้าปลิวสลายหายไปเหมือนเถ้าถ่านได้อย่างง่ายดาย?”
เขาเดือดดาลจริงๆ คนนอกมาตัดสินเลือกหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน แม้แต่ประมุขชิงก็ไม่กล้าทำอย่างนี้ นี่ไม่ใช่แค่กำลังดูถูกเซี่ยโห้วลิ่ง แต่กำลังดูถูกเฉาหม่านด้วย
เหมียวอี้ไม่สะทกสะท้าน เขาย่อมรู้ว่าตระกูลเซี่ยโห้วมีความสามารถนี้ แอบรู้มาตลอดว่าเขาเกี่ยวข้องกับหกลัทธิไม่ใช่เหรอ ตอนนี้เอาเรื่องพระปีศาจหนานโปมาขู่เขาแล้ว เขาจำเป็นต้องเริ่มรับมือ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ตั้งแต่แรกเริ่มเขาก็อาศัยจุดอ่อนนี้ทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วสงบและประมาทแล้ว ทำแบบนี้เพื่อช่วงชิงโอกาสและเวลาให้ตัวเองได้เติบโต
“เถ้าแก่โปรดระงับโทสะ ถ้าข้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว เถ้าแก่ยังจะรอดชีวิตออกจากที่นี่ได้เหรอ?” เหมียวอี้ยื่นมือให้นั่งอย่างร่าเริง พร้อมเตือนว่า “หลักการเดียวกัน ถ้าข้าใช้บัวโลหิตมาเป็นเหยื่อล่อ เซี่ยโห้วลิ่งจะต้องมาแน่นอน เมื่อเข้ามาในแดนรัตติกาลแล้ว ถ้าข้าไม่ยอมให้เขารอดชีวิตออกไป ต่อให้เขามีความสามารถล้นฟ้าขนาดไหน ก็ยากที่จะรอดชีวิตออกไปได้!”
เฉาหม่านยันมือสองข้างบนโต๊ะ โน้มตัวมาข้างหน้า กล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “ข้าว่าเจ้าอย่าทำตัวไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำทำเรื่องโง่ๆ เลย ข้าบอกเจ้าให้ชัดเจนก็ได้ เจ้ารับผลที่ตามมาไม่ไหวหรอก!”
เหมียวอี้ยักไหล่ “ข้าย่อมไม่ทำเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่พูดออกมา ถ้าข้าอยากจะทำจริงๆ ข้าคงไม่ลงมือเองแน่นอน ยกตัวอย่างเช่นเอาบัวโลหิตมาเสนอเงื่อนไจ สร้างเงื่อนไขให้พระปีศาจหนานโปนิดหน่อย ถ้าเซี่ยโห้วลิ่งเป็นอะไรขึ้นมา ใครจะมาโทษข้าได้ล่ะ?”
เฉาหม่านฟังจนหนังตากระตุก ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ถ้าเซี่ยโห้วลิ่งล้มแล้ว ภัยคุกคามจากพระปีศาจหนานโปก็มาจ่อตรงหน้าอีก อำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วจะต้องมารวมอยู่ในมือเขาคนเดียวอย่างรวดเร็วแน่นอน
“เจ้าคิดว่าคนของตระกูลเซี่ยโห้วโง่เหรอ? เจ้ามีเจตนาแอบแฝง ข้าเป็นคนแรกที่ไม่ยอม!” เฉาหม่านกล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย แล้วหยิบหน้ากากขึ้นมาสวม
“ข้าเชื่อว่าเถ้าแก่ก็ไม่อยากให้ข้าส่งบัวโลหิตให้พระปีศาจหนานโปเหมือนกัน!” เหมียวอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เฉาหม่านกลับขู่ว่า “ถ้าพวกประมุขชิงรู้เรื่องบัวโลหิตแล้วจะเป็นยังไง?”
เหมียวอี้ตอบอย่างสบายๆ ว่า “ข้าก็จะบอกว่าข้ามอบบัวโลหิตให้ตระกูลเซี่ยโห้วไปแล้ว มอบให้เถ้าแก่เฉา ไม่รู้ว่าทุกคนจะเชื่อข้าหรือจะเชื่อท่าน? เอาเป็นว่าข้าไม่ยอมรับหรอกว่าในมือข้ามีบัวโลหิต หวังว่าเถ้าแก่จะไตร่ตรองให้ดี!”
“ข้าขอเตือนเจ้าอีกครั้ง อย่ารนหาที่ตาย!” เฉาหม่านเตือนด้วยเสียงเย็นเยียบ ยื่นมือไปรับชุดคลุมที่เฉาเฟิ่งฉือยื่นให้มาใส่อีกครั้ง แล้วหันตัวนำเฉาเฟิ่งฉือเดินก้าวยาวออกไป
เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้ หยางเจาชิงออกไปส่งด้วยตัวเองทันที
ตอนที่เดินลงตึก เฉาหม่านมองลูกน้องที่ยืนเก็บมืออยู่ตรงทางขึ้นบันไดแวบหนึ่ง แล้วเดินต่อไปไม่หยุด จากไปอย่างรวดเร็ว
พอออกจากจวนผู้สำเร็จราชการแล้ว เฉาหม่านก็หันกลับไปมองในประตูใหญ่ แล้วถ่ายทอดเสียงบอกเฉาเฟิ่งฉือว่า “เจ้าเวรนี่จิตใจโฉดชั่วเหมือนหมาป่า วางแผนใหญ่โต!”
พูดจบก็โบกมือ นำกลุ่มคนเหาะออกไป ทว่าความกลัดกลุ้มภายในใจยากจะกำจัดทิ้งได้ เมือเทียบกับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว พระปีศาจหนานโปเป็นภัยคุกคามต่อตระกูลเซี่ยโห้วมากกว่า ตระกูลเซี่ยโห้วเรียกได้ว่าเป็นศัตรูเพียงหนึ่งเดียวของพระปีศาจหนานโปในยุคนั้น ความหวาดกลัวที่ทุกคนของตระกูลเซี่ยโห้วซ่อนไว้ในใจ เขาย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ!
ฟังจากปากเหมียวอี้ก็รู้แล้ว พระปีศาจหนานโปกับผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋งไปรวมตัวอยู่ด้วยกัน จินตนาการได้ไม่ยากเลยว่าทำไมพระปีศาจหนานโปถึงไปหาตระกูลอิ๋ง เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋งแล้ว ภัยคุกคามของพระปีศาจหนานโปต่อตระกูลเซี่ยโห้วก็ยิ่งมากขึ้น แต่อย่างน้อยก็มีทิศทางในการลงมือแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่รู้เลยว่าพระปีศาจหนานโปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ไม่รู้จะเริ่มลงมือจากตรงไหนเลย ตอนนี้แน่ใจแล้วว่าเป็นผู้รอดชีวิตของตระกูลอิ๋ง อาศัยกำลังของตระกูลเซี่ยโห้ว จะต้องมีวิธีบีบพระปีศาจหนานโปออกมาแน่!
ตอนนี้เขาต้องรีบกลับไป นำข่าวนี้ไปบอกเซี่ยโห้วลิ่ง ให้ใช้กำลังของตระกูลเซี่ยโห้วขุดหาพระปีศาจออกมา
บนตึกศาลา เหมียวอี้เดินออกจากตรงนั้นแล้ว มายืนพิงระเบียงบนที่สูงเพื่อมองพวกเฉาหม่านจากไป
หยางเจาชิงที่กลับมาถึงตึกศาลาสบตากับลูกน้องที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตูทางขึ้นบันได ทั้งสองเดินขึ้นไปข้างบนด้วยกัน ไปยืนอยู่ฝั่งซ้ายและขวาของเหมียวอี้พร้อมทอดสายตามองออกไป
“นายท่านให้เขารู้มากขนาดนี้ เขาคงไม่ทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีต่อนายท่านหรอกใช่มั้ยขอรับ?” หยางเจาชิงกังวล
ลูกน้องอีกคนหนึ่งบอกว่า “ไม่หรอก ในปีนั้นที่บีบให้เขาร่วมมือกับนายท่าน ก็ทำให้เขาขึ้นหางเสือแล้ว หลายปีมานี้ถ้าเซี่ยโห้วลิ่งยังมองไม่ออกว่าเฉาหม่านกำลังอาศัยกำลังของนายท่านมาต่อต้าน ก็คงไม่ต่างจากคนโง่เท่าไร ต่อให้ตอนแรกเซี่ยโห้วลิ่งไม่เคยคิดกำจัดเขา แต่ตอนหลังคงอยากฆ่าแล้ว ตอนนี้เฉาหม่านมานึกเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้ว! เฉาหม่านไม่กล้าออกจากแดนรัตติกาล ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือไม่กล้าอยู่ห่างจากการคุ้มครองของนายท่าน ดังนั้นเขาไม่กล้าปล่อยให้นายท่านล้มหรอก ถ้าอยู่ในสถานการณ์จำเป็น นายท่านอาจจะนัดดื่มสุรากับเซี่ยโห้วลิ่งก็ได้ ให้หยวนกงไปทำให้เฉาหม่านตัดสินใจแน่วแน่สักหน่อย!”
คนที่จำเสียงคนคนนี้ได้ย่อมฟังออกว่าเป็นเสียงของหยางชิ่ง ไม่ผิดหรอก เป็นหยางชิ่ง!
พอเหยียนซิวไปส่งปี้เยว่ที่แดนอเวจี หยางชิ่งก็ติดต่อมาหาเหมียวอี้ทันที บอกว่าใต้หล้ามีการเปลี่ยนแปลง ควรฉวยโอกาวออกมา ขอเป็นฝ่ายมาอยู่ข้างกายเหมียวอี้เพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้ด้วยตัวเอง!
ภายใต้การอนุญาตของเหมียวอี้ เหยียนซิวถือโอกาสพาหยางชิ่งออกมา ในช่วงนี้ซ่อนตัวอยู่ในจวนผู้สำเร็จราชการมาตลอดเพื่อช่วยเหมียวอี้วางแผน
พอพูดถึงหยวนกง เหมียวอี้กโค้งยิ้มมุมปาก “ไม่รู้ว่าเมื่อไรเฉาหม่านจะตอบตกลงรับตำแหน่งหัวหน้าของตระกูลเซี่ยโห้ว?”
หยางชิ่งยิ้มพร้อมตอบว่า “ใกล้แล้ว! จะบอกว่าเขาไม่หวั่นไหวเลยสักนิดก็โกหกแล้ว สิ่งเดียวที่เขากังวลก็คือจุดอ่อนของนายท่านที่อยู่ในมือตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลเซี่ยโห้วสามารถล้มนายท่านได้ง่ายๆ นี่ไม่ใช่เวลามาวางแผนเรื่องนี้กับนายท่าน เดี๋ยวรอให้เขาเห็นว่านายท่านสามารถกำจัดปัญหาที่จะตามมาในภายหลังนี้ได้ก่อน พอรู้ว่านายท่านยืนอยู่ในจุดที่ไม่มีทางแพ้แล้ว อย่างน้อยเขาก็หวั่นไหวไปแล้วเจ็ดส่วน ให้หยวนกงปล่อยข่าวกดดันอีกสักหน่อย เขาจะต้องลงมือสังหารเซี่ยโห้วลิ่งแน่!”
เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ แต่ก็ยังกังวลอยู่นิดหน่อย “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นก็แล้วกัน!”
“พอพระปีศาจหนานโปออกมา ใต้หล้าก็หวาดกลัว ในมือนายท่านมีโอกาสให้ลงมือก่อน นี่คือโอกาสที่นายท่านจะชิงอาณาเขตทัพใต้! เพียงแต่อาศัยกำลังที่มีอยู่ในมือพวกเรา ถ้าจะดันทุรังชิงอาณาเขตทัพใต้ก็เป็นเรื่องเพ้อฝัน ต้องได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลเซี่ยโห้วก่อน มีแต่ต้องให้กำลังของตระกูลเซี่ยโห้วสนับสนุนเท่านั้น ถึงจะสยบอำนาจน้อยใหญ่ในอาณาเขตทัพใต้ได้ ทัพเกรียงไกรห้าสิบล้านของนายท่านจะต้องสนับสนุนนายท่านเต็มที่เพื่ออนาคตของตัวเอง! ถ้าอยากได้ใต้หล้า ก็ต้องได้อาณาเขตทัพใต้ก่อน ถ้าอยากได้อาณาเขตทัพใต้ ก็ต้องได้การสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้วก่อน ถ้าอยากได้การสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้ว ก็ต้องสนับสนุนให้เฉาหม่านขึ้นสู่ตำแหน่งให้ได้ก่อน! โอกาสดีที่ฟ้าประทานมาให้ อย่าปล่อยให้พลาด!” หยางชิ่งกล่าวอย่างมั่นใจด้วยสายตาเป็นประกาย
หยางเจาชิงเม้มริมปากแน่น ดวงตาฉายประกายฮึกเหิม
เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “หลายปีมานี้ร่วมงานฮ่าวเต๋อฟางก็นับว่ามีความสุขเหมือนกัน ให้ความร่วมมือกันอย่างลับๆ กลับต้องทำผิดต่อเขาแล้ว”
หยางชิ่งไม่คิดอย่างนั้น “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดนายท่านจึงในอ่อนเหมือนสตรี? ตอนนี้แม้ฮ่าวเต๋อฟางจะเป็นฉากกำบังต่อนายท่าน แต่นายท่านก็ได้ยินคำพูดของเฉาหม่านแล้ว ถ้าสถานการณ์ของนายท่านมีแนวโน้มจะเติบโตต่อไปอย่างมั่นคงขนาดนี้ คงไม่มีใครอยากให้คนอื่นมานอนกรนข้างเตียง เกรงว่าถึงตอนนั้นพอตำหนักสวรรค์เสี้ยมสักหน่อย คนแรกที่จะไม่เกรงใจนายท่านก็คือฮ่าวเต๋อฟางนี่แหละ!”
…………………