พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2006 มีข่าวลืออีกแล้ว
เหมียวอี้ทำได้เพียงถอนหายใจเช่นกัน หันตัวเดินกลับไปนั่งลงข้างโต๊ะสุรา รินสุราดื่มเองหมดจอกในรวดเดียว ตบจอกสุราลงบนโต๊ะแล้วบอกว่า “พวกเหวินเจ๋อมีพื้นเพจากกองทัพองครักษ์ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะยืนอยู่ฝั่งไหน”
หยางเจาชิงเงียบงัน รู้ว่าเขาเกิดความคิดจะกำจัดคนที่มีความเห็นขัดแย้งกับตัวเองแล้ว
“ไม่ยืนอยู่ข้างนายท่านแน่นอน เหตุผลไม่ได้ซับซ้อนเลย ผลที่ตามมาจากการทรยศประมุขชิง พวกเขารับผิดชอบไม่ไหวหรอก ต่อให้นายท่านสามารถแทนที่ฮ่าวเต๋อฟางได้ ประมุขชิงก็ยังมีอำนาจมากอยู่ดี นอกเสียจากนายท่านจะแทนที่ประมุขชิงได้เท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยืนข้างนายท่าน” หยางชิ่งกล่าว
เหมียวอี้เอานิ้วลูบบนจอกสุรา “หรือพูดได้อีกอย่างว่า ในช่วงเวลาสำคัญพวกเขาจะต้องทำให้งานพังแน่นอน”
หยางชิ่งตอบว่า “ยังไม่ถึงเวลาที่จะแตะต้องพวกเขา ถ้าแตะต้องพวกเขาตอนนี้ก็เท่ากับแหวกหญ้าให้งูตื่น ยังไม่สะดวกจะขัดแย้งกับประมุขชิง สิ่งสำคัญตอนนี้คือสนับสนุนให้เฉาหม่านขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าตระกูล กดดันให้เฉาหม่านยอมจำนน!”
เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ…
“อะไรนะ? โค่วหลิงซวีเป็นคนของหกลัทธิเหรอ?”
“ได้ยินว่าไม่ใช่แค่โค่วหลิงซวี ยังมีหนิวโหย่วเต๋อ พวกนั้นล้วนเป็นผู้เหลือรอดของหกลัทธิ ว่ากันว่าปี้เยว่เมียของเทียนหยวน ที่จริงแล้วเป็นเมียของไห่ยวนเค่อขุนพลใหญ่ลัทธิอู๋เลี่ยง”
“โห จะเป็นไปได้ยังไง?”
“ข้าก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน แต่ข้างนอกลือกันแบบนี้”
ในภัตตาคารแห่งหนึ่งที่ตลาดสวรรค์ คนกลุ่มหนึ่งกำลังจับกลุ่มกระซิบกระซาบกัน
คำวิจารณ์แบบเดียวกันนี้เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยเหมือนคลื่นเมฆ ขยายไปทั้งใต้หล้าอย่างเงียบๆ
จวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีที่อยู่บนสะพานโค้งกำลังโปรยอาหารปลา ปลาหลี่ปีศาจแย่งกันกินอยู่พักหนึ่งจนทำกระเด็น
โค่วเจิงยืนเก็บมืออยู่ข้างๆ กำลังฟังบิดากำชับ
ถังเฮ่อเหนียนเร่งฝีเท้าเดินออกมาจากป่าไผ่ เดินขึ้นมาบนสะพานโค้งแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านอ๋อง จู่ๆ ด้านนอกก็มีข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับท่านอ๋อง”
“อ้อ!” โค่วหลิงซวีเหมือนไม่ใส่ใจ โปรยอาหารตาต่อไปพลางถามว่า “มีคำนินทากาเลอะไรอีกแล้ว?”
“ด้านนอกลือกันว่า ที่จริงแล้วท่านอ๋องคือคนของหกลัทธิ” ถังเฮ่อเหนียนตอบ
“…” โค่วหลิงซวีตะลึงงัน มือที่กำลังจะหยิบอาหารปลาหยุดชะงัก หันกลับมาถามอย่างตกใจพอสมควร “บอกว่าข้าคือผู้เหลือรอดของหกลัทธิเหรอ?”
“ข่าวลือแบบนี้ก็มีคนเชื่อด้วยเหรอ?” โค่วเจิงรู้สึกขำ
ถังเฮ่อเหนียนกลับไม่ได้มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นเลย “ดูเหมือนข่าวลือ แต่กลับมีตามีจมูกสมจริง ไม่ใช่แค่บอกว่าท่านอ๋องเป็นคนของหกลัทธิเท่านั้น ยังบอกอีกว่าที่จริงแล้วหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของหกลัทธิ บอกว่าตอนแรกที่นายน้อยเหวินหลานแนะนำหนิวโหย่วเต๋อเข้าตำหนักสวรรค์ก็เป็นสิ่งที่นายท่านแอบเตรียมการไว้ หนิวโหย่วเต๋อเดินมาถึงวันนี้ได้ล้วนเป็นท่านอ๋องที่วางแผนเองกับมือ เป็นผลจากการสนับสนุนของทั้งหกลัทธิ ยังบอกอีกว่าตอนปี้เยว่ฮูหยินของเทียนหยวนเข้าร่วมทดสอบที่แดนอเวจี ไห่ยวนเค่อก็ชอบนางแล้ว ปี้เยว่แต่งงานกับไห่ยวนเค่ออีกครั้ง ทั้งยังมีลูกสาวด้วยกันคนหนึ่ง ชื่อไห่ผิงซิน เคยเป็นลูกน้องหนิวโหย่วเต๋อ”
“…” เห็นได้ชัดว่าโค่วหลิงซวีพูดไม่ออก ก่อนจะแสยะยิ้มแล้วบอกว่า “น่าขบขันที่สุดในโลก ไปตรวจสอบสักหน่อย ดูว่าใครกำลังลือเรื่องเหลวไหลนี้”
ถังเฮ่อเหนียนตอบว่า “ให้คนไปตรวจสอบแล้วขอรับ แต่ตามที่บ่าวทราบมา ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อเคยมีเด็กสาวที่ชื่อไห่ผิงซินจริงๆ ตอนหลังได้ยินว่าตอนหลังรบตายไปแล้ว”
“ปี้เยว่อะไรนั่นสวยหรือเปล่า?” โค่วหลิงซวีถาม
“ว่ากันว่าพอใช้ได้ขอรับ” ถังเฮ่อเหนียนตอบ
โค่วหลิงซวีหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “แค่แซ่ไห่ก็แปลว่าเป็นลูกสาวไห่ยวนเค่อเหรอ? ไห่ยวนเค่อไม่เคยเจอผู้หญิงเชียวเหรอ? เอาเมียของเทียนหยวนมาเป็นเมียตัวเอง เจ้าเชื่อเหรอ?”
วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร
ประมุขชิงนั่งอยู่หลังโต๊ะยาว ถามว่า “ข่าวลือมีตามีจมูก เจ้าคิดว่าข่าวลือพวกนี้เป็นยังไง?”
พวกซือหม่าเวิ่นเทียนที่ยืนอยู่เบื้องล่างสบตากันแวบหนึ่ง อู๋ฉวี่ตอบว่า “ข้าน้อยรู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งครอบครัวของไห่ยวนเค่อถูกโค่วหลิงซวีสังหารตายหมด ถ้าจะบอกว่าโค่วหลิงซวีเป็นคนของหกลัทธิ ก็อาจจะฟังดูเหลวไหล”
“ว่ากันว่าข้างกายหนิวโหย่วเต๋อคยมีผู้หญิงชื่อไห่ผิงซินจริงๆ ซือหม่า เกาก้วน พวกเจาเคยสืบกำพืดนางหรือเปล่า?” ประมุขชิงถาม
ซือหม่าเวิ่นเทียนงุนงง “ฝ่าบาท ท่านคงไม่คิดว่าไห่ยวนเค่อจะแต่งงานกับเมียของเทียนหยวนจริงๆ หรอกใช่มั้ย? ความงามของปี้เยว่ก็ธรรมดา แค่ไปเข้าร่วมการทดสอบก็ต้องตาไห่ยวนเค่อแล้ว ทั้งยังแต่งงานเป็นภรรยาอีก ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ไห่ยวนเค่อนั่นก็อาจจะหิวจะไม่เลือกกินเกินไปแล้วมั้ง?”
“หากไร้ลมจะมีคลื่นได้อย่างไร หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ก็ผงาดขึ้นมาเร็วเกินไปหน่อยจริงๆ” เกาก้วนกล่าว
ซือหม่าเวิ่นเทียนมองไปที่เขา “หนิวโหย่วเต๋อผงาดขึ้นมาเร็วเกินไป แต่ทุกก้าวผงาดขึ้นมาได้อย่างไร นอกจากโอกาสและวาสนา ความสามารถและอุบายที่เขาใช้ก็อยู่ในสายตาทุกคนเดียว แผ่ออกมาให้ทุกคนเห็นหมดแล้ว มีจุดไหนที่เกี่ยวข้องกับหกลัทธิสักนิดหรือเปล่า? สิ่งเดียวที่เกี่ยวข้องก็คือเคยไปเข้าร่วมทดสอบที่แดนอเวจีเท่านั้นเอง แค่แซ่ไห่ก็แปลว่าเกี่ยวข้องกับไห่ยวนเค่อแล้วเหรอ? ถ้าแค่นี้ยังดันทุรังจะอธิบายให้ได้ ก็อาจะเหลวไหลเกินไปหน่อย”
เขาไม่ได้ช่วยพูดให้หนิวโหย่วเต๋อ แต่กำลังช่วยพูดให้ตัวเอง เพราะเขารับหน้าที่จับตาดูเรื่องของกลุ่มขุนนางตำหนักสวรรค์ ถ้ามีช่องโหว่อะไรขึ้นมาก็เป็นความรับผิดชอบของเขา ถ้ามีจุดไหนที่น่าสงสัยจริงๆ เขาเองก็ไม่มีอะไรจะเถียงเช่นกัน แต่ข่าวลือที่ไม่น่าเชื่อถือพวกนี้ปฏิเสธความเหน็ดเหนื่อยของหน่วยตรวจการซ้าย เขายอมรับไม่ได้
โพ่จวินเองก็มองเกาก้วนด้วยสายตาระอาเช่นกัน
ในขณะนี้เอง ซ่างกวนที่ยืนเก็บระฆังดาราอยู่ข้างกายประมุขชิงก็โค้งตัวรายงานว่า “ฝ่าบาท มีข่าวลืออีกนิดหน่อยขอรับ เกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้ว”
ประมุขชิงขมวดคิ้ว “ว่ามา!”
ซ่างกวนชิงมองคนอื่นๆ แวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “มีข่าวลือว่า ที่จริงแล้วตระกูลเซี่ยโห้วเกี่ยวข้องกับผู้เหลือรอดของหกลัทธิมาตลอด ทั้งสองฝ่ายติดต่อกันไม่เคยขาด ผู้เหลือรอดของหกลัทธิที่อยู่นอกแดนอเวจี ที่จริงแล้วตระกูลเซี่ยโห้วช่วยปิดบังการมีอยู่ของพวกเขามาตลอด บอกว่าตระกูลเซี่ยโห้วเตรียมใช้งานผู้เหลือรอดของหกลัทธิใหม่อีกครั้งได้ทุกเมื่อ ลือกันประมาณนี้ขอรับ”
เมื่อกล่าวแบบนี้ ตำหนักดาราจักรก็ตกอยู่ในความเงียบ ก่อนหน้านี้พูดถึงโค่วหลิงซวีกับหนิวโหย่วเต๋อ ทุกคนก็ยังไม่เชื่อ แต่ถ้าบอกว่าตระกูลเซี่ยโห้วทำอย่างนี้ ทุกคนก็เหมือนจะไม่รู้สึกผิดคาดเลยสักนิด นี่คือวิธีการที่ตระกูลเซี่ยโห้วใช้จนเคยชินแล้ว ช่วยพระปีศาจหนานโปกำจัดสามเซียน แต่กลับแอบชุบเลี้ยงศิษย์ของสามเซียน
จู่ๆ ประมุขชิงก็แสยะยิ้ม “ข่าวลือนี้ค่อนข้างน่าสนใจ ไม่รู้ว่าใครกันที่กำลังปล่อยข่าวลือ?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท เหมือนมีคนอยากอาศัยระดับความน่าเชื่อถือในข่าวลือตระกูลเซี่ยโห้วมาทำให้ข่าวลือฝั่งโค่วหลิงซวีกับหนิวโหย่วเต๋อเป็นจริง ที่ข่าวลือชี้ไปทางตระกูลเซี่ยโห้วก็ใช่ว่าจะไม่มีจุดประสงค์ เป้าหมายที่แท้จริงน่าจะเป็นโค่วหลิงซวีกับหนิวโหย่วเต๋อ”
ประมุขชิงหรี่ตา “ระหว่างตาเฒ่าพวกนั้นคงจะไม่สร้างข่าวลือนี้ ใช่ลักษณะของตาเฒ่าพวกนั้นด้วย”
“หรือว่าจะเป็นพระปีศาจหนานโป?” เกาก้วนถามเสียงเรียบ
ในตำหนักเงียบไปอีกพักหนึ่ง โพ่จวินเอามือลูบเครา “เป้าหมายที่พระปีศาจทำอย่างนี้อยู่ตรงไหน?”
เป็นซือหม่าเวิ่นเทียนที่จู่ๆ หยิบระฆังดาราขึ้นมา ไม่รู้ว่าติดต่อไปที่ไหน แล้วกุมหมัดรายงานอีก “ฝ่าบาท หน่วยตรวจการซ้ายพบว่ากำลังของตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนจะมีการเคลื่อนไหว มีเบาะแสชี้ว่าตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนกำลังสืบหาผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋ง เหมือนความเคลื่อนไหวจะไม่ใช่เล็กๆ ทางจวนท่านปู่สวรรค์มีคนเข้าออกถี่มาก จู่ๆ ก็มีสองร้านค้าทางตลาดผีถูกตึกศาลาสัตยพรตจู่โจม”
“ตระกูลเซี่ยโห้วกำลังสืบหาผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋งเหรอ? ทำไมจู่ๆ ตระกูลเซี่ยโห้วถึงสนใจผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋งขนาดนี้? อยากรีบฆ่าให้หมดเหรอ? แต่นี่ไม่เหมือนลักษณะของตระกูลเซี่ยโห้ว” ประมุขชิงกล่าวอย่างลังเล
“จะเกี่ยวข้องกับพระปีศาจหนานโปหรือเปล่าขอรับ?” เกาก้วนถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาอีก
เมื่อเขาถามเช่นนี้ ทุกคนก็ทำสีหน้าเคร่งขรึม ต่างก็พบว่าเป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้มาก สถานการณ์ในใต้หล้าตอนนี้ไม่ใช่ยุคของพระปีศาจอีกแล้ว การสู้แบบตัวต่อตัวไม่อาจทำงานใหญ่ให้สำเร็จได้ มีความเป็นไปได้สูงว่าพระปีศาจจะเข้ากันได้ดีกับผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋ง อีกทั้งคนที่ตระกูลเซี่ยโห้วกลัวที่สุดก็คือพระปีศาจ พอเป็นแบบนี้ ก็หาคำอธิบายที่ดีที่สุดกับเรื่องที่ตระกูลเซี่ยโห้วลงมือกับผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋งได้แล้ว
จวนอ๋องสวรรค์ก่วง โกวเยว่เข้าไปในห้องหนังสือ เดินไปข้างโต๊ะยาว พูดกับก่วงลิ่งกงที่กำลังอ่านแผ่นหยกด้วยเสียงเบาว่า “ท่านอ๋อง ข่าวลือลามมาถึงท่านแล้ว”
ก่วงลิ่งกงเงยหน้า แล้วถามกลั้วหัวเราะ “อ้อ พูดว่ายังไงบ้าง?”
“บอกว่าท่านอ๋องสมคบกับหกลัทธิมาตลอด เมื่อถึงคราวที่สี่ทัพได้เฝ้าทางเข้าออกแดนอเวจี ท่านอ๋องก็จะแอบปล่อยผู้เหลือรอดของหกลัทธิให้แอบเข้าออกแดนอเวจี บอกว่าท่านอ๋องรู้จุดที่ผู้เหลือรอดของหกลัทธิซ่อนตัวในเขตตำหนักสวรรค์ ลือกันประมาณนี้ขอรับ” โกวเยว่ตอบ
“เหลวไหลเหมือนลมตด!” ก่วงลิ่งกงหลุดคำหยาบ จากนั้นตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ จากนั้นกล่าวอย่างลังเลอีกว่า “คนที่ปล่อยข่าวลือนี้คิดจะทำอะไรกันแน่? แล้วสืบเจอหรือเปล่าว่าใครกันแน่ที่กำลังปล่อยข่าวลือ?”
“คนที่ปล่อยข่าวนี้เหมือนจะวางแผนมานานมากแล้ว หาต้นตอยากมากขอรับ” โกวเยว่กล่าว
ในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้กับหยางชิ่งกำลังประชุมกันอยู่บนตึกศาลา หลังจากหยางเจาชิงมาถึงและทำความเคารพ ก็รายงานว่า “นายท่าน ข่าวแพร่ออกไปแล้วขอรับ”
เหมียวอี้ยืนขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย เดิมไปริมหน้าต่าง เหมือนถอนหายใจอย่างโล่งอก
หยางเจาชิงกลับถามหยางชิ่งอย่างฉงนใจ “ในเมื่อเตรียมปล่อยข่าวลือของฮ่าวเต๋อฟาง เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อแล้ว ทำไมจึงง้างสายธนูแต่ไม่ยิงสักที?”
หยางชิ่งโบกมือ “จะใช้แรงให้หมดในครั้งเดียวไม่ได้ ควรเหลือแรงเอาไว้ใช้บ้าง ตอนนี้ถ้าครอบคลุมหมด ก็จะมีคนรู้สึกสงสัยว่ายิ่งปกปิดยิ่งชัดเจน ตอนนี้ทำแบบนี้ก็เพียงพอให้คนสับสนแยกแยะไม่ถูกแล้ว หวังว่าคนที่บีบจุดอ่อนของนายท่านอยู่จะรู้ถอยยามลำบาก อย่าเสียแรงทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ถ้าอีกฝ่ายดึงดันจะเปิดโปงให้ได้ พวกเราค่อยปล่อยข่าวพวกฮ่าวเต๋อฟางมาประสมโรงก็ยังไม่สาย”
……………