พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2008 เจ้าถูกเปิดโปงแล้ว
ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ชีเจวี๋ยกล่าวเสียงเบาว่า “เถ้าแก่ พอมีข่าวลือนี้ออกมา จุดอ่อนที่พวกเราใช้ควบคุมหนิวโหย่วเต๋อก็ใช้ไม่ได้ผลแล้ว”
เฉาเฟิ่งฉือเงียบงันไม่พูดอะไร เฉาหม่านจ้องนาง
ในห้องเงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ เฉาหม่านก็ถามว่า “เฟิ่งฉือ ข้าดูแลเจ้าเป็นยังไงบ้าง?”
“ท่านดูแลเฟิ่งฉือเหมือนหลานสาวแท้ๆ” เฉาเฟิ่งฉือตอบอย่างเคารพ
เฉาหม่านบอกอีกว่า “ข้าเห็นเจ้าเป็นเหมือนหลานสาวแท้ๆ จริงๆ ข้าหลบอยู่ในสถานที่ครึ่งคนครึ่งผี ทั้งชีวิตนี้ไร้ลูกสาวลูกชาย ช้าเร็วเจ้าก็จะต้องเป็นเจ้าบ้านของตึกศาลาสัตยพรตแห่งนี้ ดังนั้นข้าจึงให้เจ้าอยู่ข้างกายตลอด เจ้าเข้าใจหรือเปล่า?”
เฉาเฟิ่งฉือแอบดีใจ แต่ภายนอกกลับกล่าวอย่างถ่อมตัวกลัวเกรง “ท่านปู่สาม หลานสาวมีความสามารถจำกัด ท่านปู่สามได้โปรดเลือกคนที่แหมาะสมกว่า”
เฉาหม่านยกมือห้าม แล้วถามว่า “เจ้ารู้สึกวาหัวหน้าตระกูลปฏิบัติต่อข้ายังไง?”
เฉาเฟิ่งฉือลังเลนิดหน่อย แล้วส่ายหน้าช้าๆ “เฟิ่งฉือไม่ทราบว่าควรจะประเมินยังไง”
เฉาหม่านถอนหายใจ “ปากบอกว่าไม่รู้ ก็แสดงว่าในใจเจ้ารู้ชัดแล้ว ถ้าข้ากับหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้พึ่งพากัน เกรงว่าคงตายไปนานแล้ว แต่วันคืนอย่างนี้จะยาวนานแค่ไหนกัน? ช้าเร็วหัวหน้าตระกูลก็ต้องลงมือกับข้าเหมือนเดิม เรื่องนี้คนนอกอาจจะไม่รู้ แต่คนในอย่างพวกเรารู้ดีอยู่แก่ใจ!”
พอพูดถึงตรงนี้ เฉาหม่านก็เหมือนเริ่มสะเทือนใจ ลุกขึ้นยืนเดินไปเดินมาพลางบอกว่า “เพื่อตระกูลเซี่ยโห้ว ข้าหลบอยู่ในที่มืดมาหลายปีขนาดนี้ เพื่อตระกูล ข้าซื่อสัตย์จริงใจ จริงจังระวังตัว จงรักภักดี ข้าทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อตระกูลเซี่ยโห้ว แต่เซี่ยโห้วลิ่งกลัลเก็บข้าไว้ไม่ได้ เพื่อความต้องการส่วนตัวแล้ว เขาไม่สนใจความเป็นพี่น้อง ต้องการจะลงมือกับข้า! เกรงว่าคนที่เขาต้องการกำจัดทิ้งคงไม่ได้มีแค่ข้า เพียงเพราะข้ายืนอยู่ในที่แจ้ง ถ้าเกิดเรื่องกับพี่น้องคนอื่น คนที่เหลือจะต้องมารวมตัวกับข้าแน่ ทำให้เขากังวล เขาถึงได้มองข้าเป็นเหมือนตะปูทิ่มตา หนามทิ่มเนื้อ ถ้าได้กำจัดข้าทิ้งคงมีความสุข!”
เฉาเฟิ่งฉือกับชีเจวี๋ยฟังแล้วหวาดระแวงกลัว เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเขาพูดจาแสดงความไม่พอใจต่อหัวหน้าตระกูล
ถ้าเฉาเฟิ่งฉือจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้ตอนไปจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลด้วยกัน เพื่อที่จะปกป้องหัวหน้าตระกูล ท่านปู่สามแทบจะแตกคอกับหัวหน้าตระกูลแล้ว
ตุ้บ! ทันใดนั้นเฉาหม่านก็ใช้กำปั้นทุบโต๊ะ แล้วกล่าวอย่างคับแค้น “ถ้าข้ายอมให้จับแต่โดยดี ถ้าความตายของข้าแลกกับการทำให้เขาปรานีพี่น้องคนอื่นได้ เช่นนั้นข้าก็คุ้มค่าที่จะตาย แต่พอตายแล้วจะป้องกันยังไง? เขาอาจไม่ทำตามความปรารถนาของข้าก็ได้! ถ้าข้าไม่ตาย เขาก็ยังมีความกังวล ไม่กล้าลงมือกับพี่น้องคนอื่น ถ้าข้าตายไป พี่น้องคนอื่นก็ต้องตายแน่นอน! ตระกูลเซี่ยโห้วไม่กลัวภัยข้างนอก กลัวก็แต่ภัยข้างใน เซี่ยโห้วลิ่งตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะทำอย่างนี้ ช้าเร็วตระกูลเซี่ยโห้วก็ต้องถูกทำลายด้วยน้ำมือเขา พวกเจ้าคิดว่าข้าควรจะทำยังไง?”
เอาเรื่องแบบนี้มาถามพวกเขาสองคน จะให้พวกเของสองคนตอบอย่างไรล่ะ?
“สาบานว่าจะติดตามเถ้าแก่!” เฉาเฟิ่งฉือกับชีเจวี๋ยรีบกุมหมัดคารวะพร้อมกัน
พวกเขาทำได้เพียงพูดแบบนี้ เมื่อเห็นเฉาหม่านพูดถึงขั้นนี้แล้ว รู้ว่าถ้าตัวเองไม่แสดงท่าทีแบบนี้ เกรงว่าคงเลิกคิดไปได้เลยว่าจะรอดชีวิตออกจากตึกศาลาสัตยพรต…
ภูเขาสูง แสงจันทร์ส่องสว่าง เรือลำหนึ่งลอยโดดเดี่ยวอยู่ในแม่น้ำ
หยวนกงนั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวเราะ ฟังเสียงชะนีร้องเสือคำรามระหว่างภูเขา เงยหน้ามองจันทร์มองบนท้องฟ้า ดูเหมือนอิสระเสรี แต่ในใจกลับกระสับกระส่ายสุดๆ ไม่รู้ว่าระฆังดาราในมือไร้เสียงเตือนมานานเท่าไรแล้ว
จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลติดต่อมาหาเขาหลายครั้ง แต่เขาไม่กล้าตอบกลับ เพราะก่อนหน้านี้จู่ๆ ก็ได้รับข้อความที่เหลือเชื่อ เป็นข้อความจากเซี่ยโห้วท่า บิดาของเขา!
ระฆังดาราที่อยู่ในมือคืออันที่ใช้ติดต่อกับบิดาโดยเฉพาะ ตั้งแต่บิดาตายไป มันก็ไม่เคยมีความคลื่อนไหวอีกเลย เขาเก็บติดตัวไว้เป็นที่ระลึกมาตลอด เป็นสิ่งที่เอาไว้รำลึกถึง!
ต่อให้นอนฝันเขาก็นึกไม่ถึง ว่าวันหนึ่งระฆังดาราอันนี้จะมีข้อความส่งมาหาเขาอีกครั้ง
ตอนที่ระฆังดาราอันนี้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ไม่กล้าเชื่อเลยจริงๆ ยังนึกว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ มือที่ถือระฆังดาราสั่นเทิ้ม
แต่ความจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเขาไม่ได้ฝันไป เป็นบิดาที่ส่งข่าวมาหาเขาจริงๆ จากนั้นเขาถึงได้ตื่นตัว ที่แท้บิดาก็ยังไม่ตาย บิดาแค่เปลี่ยนจากอยู่ในที่แจ้งไปอยู่ในที่ลับ คอยเฝ้าดูทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตระกูลเซี่ยโห้วมาตลอด การละสังขารของบิดาเป็นเพียงการพรางตาเท่านั้น แกล้งตาย!
เซี่ยโห้วท่าไม่ได้ตอบอะไรเขามากมาย บอกกับเขาเพียงประโยคเดียวว่า : เจ้าถูกเปิดโปงแล้ว หนิวโหย่วเต๋อรู้กำพืดเจ้าแล้ว รีบใช้รุ่นสี่ของตระกูลเซี่ยโห้วมารับงานต่อจากเจ้าเดี๋ยวนี้ แล้วหายตัวไปทันที สมาคมอาวุโสจะติดต่อไปหาเจ้า
ตระกูลเซี่ยโห้วก่อตั้งขึ้นโดยเซี่ยโห้วฉางอันปู่ของเขา เซี่ยโห้วฉางอันจึงเป็นรุ่นหนึ่ง เซี่ยโห้วท่าเป็นรุ่นสอง ส่วนเขาก็เป็นรุ่นสาม การให้รุ่นสี่มารับงานต่อจากเขาก็หมายความว่า เขาจะต้องวางมือจากอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วอย่างเป็นทางการ
ส่วนสมาคมอาวุโส ก็เป็นสิ่งที่เซี่ยโห้วท่าสร้างขึ้นมา นี่คือสิ่งที่เป็นความลับสุดยอดของตระกูลเซี่ยโห้ว ใช่ว่าใครของตระกูลเซี่ยโห้วก็ล้วนเข้ามาได้ มีเพียงคนที่เคยกุมอำนาจมหาศาลอย่างเป็นทางการและถูกเปิดโปงหรือไม่ก็ถอนตัวจากสังคมแล้วเท่านั้นถึงจะเข้ามาได้ มีเพียงคนที่เคยกุมอำนาจมหาศาลของตระกูลเซี่ยโห้วถึงจะรู้ว่ามีสมาคมอาวุโสอยู่ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แม้แต่ลูกน้องคนสนิทของนายท่านอย่างเว่ยซูก็ไม่รู้ ตอนที่เขากุมอำนาจในบางพื้นที่ เซี่ยโห้วท่าผู้เป็นบิดาถึงได้บอกเขาว่ามีสมาคมอาวุโสอยู่
หลังจากกลับสมาคมอาวุโสแล้ว ระฆังดาราทั้งหมดที่ใช้ติดต่อกับภายนอกก็ต้องส่งให้เบื้องบน ตั้งแต่นี้ไปต้องทิ้งอำนาจทุกอย่าง ทิ้งความอาลัยอาวรณ์ทั้งหมดที่มีต่อโลกภายนอก ไปใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบ
แต่มีเพียงคนที่เคยกุมอำนาจอาณาเขตของตระกูลเซี่ยโห้วอย่างเขาเท่านั้น ที่จะรู้ชัดถึงอิทธิพลของสมาคมอาวุโส ตามที่เขาคาดเดา สมาคมอาวุโสคงจะเป็นไพ่ลับสุดท้ายของตระกูลเซี่ยโห้ว ผู้ที่เคยกุมอำนาจแม้จะวางอำนาจแล้ว แต่ไม่ว่าใครก็ตามที่เคยบริหารกำลังพลมาหลายปีขนาดนั้น ในที่ลับและในที่แจ้งก็ล้วนมีคนของตัวเองอยู่แล้ว ถ้าได้รับอนุญาตจากสมาคมอาวุโสให้ใช้ระฆังดาราติดต่อภายนอกได้อีกครั้ง ผลกระทบนี้ก็จะแสดงบทบาทขึ้นมาแล้ว
องครักษ์ลับข้างกายหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วก็มาจากสมาคมอาวุโส โลกภายนอกสืบไม่เจอที่มาที่ไปเลย องครักษ์หัวหน้าตระกูลก็ไม่ติดต่อกับภายนอกเช่นกัน หน้าที่เพียงอย่างเดียวก็คือคุ้มครองหัวหน้าตระกูล เรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ นี่ก็คือหน้าที่เพียงอย่างเดียวของพวกเขา
หยวนกงถึงขั้นสงสัยว่าบิดาได้มอบอำนาจของสมาคมอาวุโสให้เซี่ยโห้วลิ่งไปแล้วหรือยัง ไม่อย่างนั้นจะถึงขั้นผ่านมาหลายปีขนาดนี้แต่ยังทำอะไรพี่น้องอย่างพวกเขาไม่ได้เหรอ? ตอนนี้จู่ๆ บิดาก็ส่งข่าวมา ก็ยิ่งพิสูจน์การคาดเดาของเขาได้แล้ว
ถ้าอยู่ดีๆ เซี่ยโห้วลิ่งมาบอกว่าเขาโดนเปิดโปงแล้ว เพราะแต่อยากยึดอำนาจจากเขา แล้วไม่อธิบายอะไรเลย เขาก็อาจจะไม่เชื่อ แต่จู่ๆ บิดาที่ฟื้นจากความตายก็ออกคำสั่งแล้ว เขาไม่กล้าไม่เชื่อฟัง ตั้งแต่วันนี้ไปทำได้เพียงเริ่มปลีกตัวจากสังคมไปอย่างโดดเดี่ยว!
พอนึกถึงตรงนี้ จู่ๆ หยวนกงที่นั่งขัดสมาธิรับลมใต้แสงจันทร์ก็ยิ้มเจื่อน เกรงว่าถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองต้องการปลีกวิเวก บิดาก็อาจไม่ให้ตนรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ก็ได้!
“ยังติดต่อไม่ได้อีกเหรอ?”
ในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้จ้องสวีถังหรานพร้อมถามอย่างเย็นเยียบ
เมื่อเห็นเหมียวอี้มีสีหน้าแปลกไป สวีถังหรานก็เหงื่อซึมหน้าผากแล้ว ในใจสาปแช่งบรรพบุรุษของหยวนกงสิบแปดรุ่น เขาตอบด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่า “ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว ไม่มีการตอบกลับเลย ข้าน้อยติดต่อเขาตลอด จนตอนนี้ยังติดต่อไม่หยุดเลยขอรับ!”
หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วมุ่นเช่นกัน เขาเองก็ติดต่อไปแล้ว แต่ติดต่อหยวนกงไม่ได้
เหมียวอี้โกบมือตะคอกว่า “ติดต่ออย่างเดียวไม่มีประโยชน์ ไปสืบมา!”
“ขอรับๆๆ ข้าน้อยจะไปสืบเดี๋ยวนี้!” สวีถังหรานพยักหน้าโค้งกาย จากนั้นก็หันตัวเดินจากไป พอออกจากโถงรับแขกไปแล้ว ก็ยกชายแขนเสื้อเอามือปาดเหงื่อบนหน้าผาก พบว่าตอนนี้ลักษณะน่าเกรงขามที่นายท่านเผยโดยไม่ได้ตั้งใจยิ่งสร้างความกดดันให้คนมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อไม่ต้องเผชิญความกดดันแบบนั้นแล้ว ก็นับว่าโล่งอก แต่ในใจยังด่าอีกว่าไม่รู้หยวนกงไปตายที่ไหนแล้ว คงไม่เกิดเรื่องอะไรหรอกใช่มั้ย
โถงด้านหลัง หยางชิ่งเดินออกมาอย่างช้าๆ เดินมาข้างกายเหมียวอี้ แล้วถามด้วยแววตาจริงจัง “ทำไมจู่ๆ ถึงหายตัวไปในเวลานี้?”
เหมียวอี้สีหน้าแย่มากจริงๆ ขณะกำลังจะอาศัยปากหยวนกงสร้างความกดดันให้เฉาหม่าน บีบให้เฉาหม่านยอมจำนน จู่ๆ หยวนกงกลับหายไปในเวลานี้แล้ว ทำให้เขาทำอะไรไม่ถูกนิดหน่อย
“ตามหลักแล้วเขาไม่น่าจะรู้ว่าตัวเองถูกเปิดโปงฐานะ เกิดอะไรขึ้นแล้วหรือเปล่า?” หยางเจาชิงถาม
หยางชิ่งส่ายหน้าช้าๆ “หยวนกงมีฐานะไม่ธรรมดาที่ตระกูลเซี่ยโห้ว น่าจะมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ไม่แย่ ไม่น่าจะเกิดเรื่องกับเขาง่ายๆ ทั้งที่เขาไม่ได้เคลื่อนไหวเลยสักนิด ถ้าเกิดเรื่องกับเขาจริงก็กลับทำให้หายกังวลด้วยซ้ำ กลัวก็แต่…ไม่หายไปตั้งแต่แรก ไม่หายไปตอนหลัง ทำไมดันมาหายไปในเวลานี้?” ในดวงตาเขาฉายแววหวาดระแวงสงสัย
ในขณะนี้เอง จู่ๆ เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมา ไม่รู้ว่าติดต่อกับที่ไหน หลังจากวางระฆังดาราลงก็เงียบงันไม่พูดอะไร
หยางชิ่งรออยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “นายท่าน เป็นอะไรไปหรือขอรับ?”
“เฉาหม่านติดต่อข้ามา บอกแค่ประโยคเดียว”
“บอกว่าอะไร?”
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเซี่ยโห้วลิ่ง เขาก็ไม่รู้เรื่องด้วยทั้งนั้น!”
หยางเจาชิงได้ยินแล้วโล่งอก “สงสัยในที่สุดเฉาหม่านจะตัดสินใจแล้วว่าต้องการตำแหน่งนั้น เขาไม่อยากรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น อยากจะยืมมือนายท่าน พอเป็นแบบนี้ ก็ไม่ต้องกดดันอะไรอีก หยวนกงจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่เป็นปัญหาแล้ว”
เหมียวอี้กระตุกมุมปาก แล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “จู่ๆ หยวนกงก็หายไป แล้วเฉาหม่านก็ตอบตกลงอีก พอรวมเรื่องนี้เข้าด้วยกัน ทำไมข้ารู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล?”
หยางชิ่งไม่พูดอะไร แต่ยังขมวดคิ้วมุ่นไม่เลิก
…………………