พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2013 มาโดยไม่ได้รับเชิญ
เขาพูดจาถึงขั้นนี้แล้ว เว่ยซูยังจะพูดอะไรได้อีก?
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ตระกูลเซี่ยโห้วยังคงกุมอยู่ในฝ่ามือของท่านนี้อย่างแนบแน่น สาเหตุที่เขาปล่อยอำนาจได้อย่างไม่ใส่ใจ ก็เพราะเขาสามารถเรียกอำนาจกลับมาได้อย่างง่ายดาย ตระกูลเซี่ยโห้วยังคงอยู่ในอำนาจการตัดสินใจของนายท่านผู้นี้
เว่ยซูก้มหน้า กำลังคิดว่าหลังจากเซี่ยโห้วลิ่งตายแล้วตัวเองจะไปไหนดี
“ถ้าเจ้ารองรอดชีวิตกลับมาไม่ได้ เจ้าก็ไปอยู่ข้างกายเจ้าสามแล้วกัน” เซี่ยโห้วท่ากล่าวเสียงเรียบ
เว่ยซูเงยหน้ามอง เซี่ยโห้วท่าไม่พูดอะไรอีก กินอาหารและดื่มสุราต่อไป…
จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ในสวนดอกไม้ เฟยหงยิ้มสดใสราวกับดอกไม้บาน กำลังเดินเล่นอยู่ระหว่างแปลงดอกไม้กับเหมียวอี้ กล่าวชมความงามของมวลหมู่ดอกไม้
หยางเจาชิงเร่งฝีเท้าเดินมา แล้วถ่ายทอดเสียงรายงานว่า “นายท่าน เซี่ยโห้วลิ่งมาแล้ว”
“อ้อ!” เหมียวอี้ตาเป็นประกาย ยื่นมือไปตบเอวอ่อนของเฟยหงเบาๆ
เฟยหงย่อเข่าทำความเคารพแล้วถอยออกไป แล้วก็พยักหน้าเบาๆ ให้หยางเจาชิงอีก รู้ว่าเหมียวอี้มีเรื่องสำคัญจะคุยกับเขา จึงหลบเลี่ยงไป
หยางเจาชิงกุมหมัดคารวะ
ไปเฟยหงเดินออกไป หยางชิ่งที่พรางตัวอยู่หลังต้นไม้ไม่ไกลก็เดินเข้ามาแล้วเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเขารู้เรื่องนี้แล้ว ก้าวขึ้นมากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เซี่ยโห้วลิ่งไม่บอกไม่กล่าว จู่โจมกะทันหัน หึหึ”
เหมียวอี้เหล่ตามองเขาพร้อมยิ้มบางๆ ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้ว่าจะใช้ข้ออ้างอะไรเชิญเซี่ยโห้วลิ่งมาจึงจะเหมาะสม กลัวว่าจะเผยพิรุธ จะใช้สมุนไพรจิตวิญญาณเชิญมาโดยตรงก็ทำให้คนสงสัยได้ง่าย ผลปรากฏว่าหยางชิ่งอ้อมค้อมใช้สมุนไพรจิตวิญญาณวางกับดัก ขนาดเหมียวอี้ยังเคยฟังที่มาที่ไปของสมุนไพรจิตวิญญาณเลย คาดว่าเซี่ยโห้วลิ่งคงสืบเจอได้ไม่ยาก ของที่ทำให้พระปีศาจหวั่นไหวได้ มีหรือที่เซี่ยโห้วลิ่งจะไม่สืบ เห็นได้ชัดมากว่าเซี่ยโห้วลิ่งคิดไปเองว่าตัวเองฉลาด กระโจนตัวเข้ามาในกับดักเองแล้ว
บางครั้งคนเราก็เป็นอย่างนี้ ถ้าพูดออกมาตรงๆ อีกฝ่ายอาจจะไม่เชื่อ ให้อีกฝ่ายตัดสินเอาเองต่างหากคือทางเลือกที่ดีที่สุด
“มากันกี่คน?” เหมียวอี้ถาม
“ไม่เยอะขอรับ เท่าที่เห็นมีผู้ติดตามร้อยคน แอบพกมาด้วยอีกหมื่นคน” หยางเจาชิงกล่าว
เหมียวอี้ยิ้ม “หมื่นกว่าคน นั่นก็ถือว่าไม่เยอะจริงๆ”
หยางชิ่งบอกว่า “ในใจเขารู้ชัด ว่าแดนรัตติกาลคือถิ่นของนายท่าน ถ้านายท่านต้องการจะทำอะไรเขาจริงๆ ต่อให้เขานำทัพใหญ่มาล้านคนก็ไม่มีประโยชน์ อาศัยแค่กำลังพลฉากหน้าที่ตระกูลเซี่ยโห้วรวบรวมได้ ต่อให้พามาทั้งหมดก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนายท่านอยู่ดี เขาเองก็เข้าใจเช่นกัน ว่านายท่านไม่กล้าแตะต้องหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วอย่างเปิดเผย”
เหมียวอี้พยักหน้า “ข้าไม่กล้าแตะต้องเขาจริงๆ ถ้าบีบให้ตระกูลเซี่ยโห้วล้างแค้น ข้าก็รับผลที่ตามมาไม่ไหว”
“เจาชิงติดต่อกับคนข้างนอกแล้ว เว่ยซูไม่ได้มาด้วย!” หยางชิ่งเตือนอีก
เหมียวอี้พลันหรี่ตา “มีเรื่องแบบนี้ แต่ผู้ช่วยอย่างเขากลับไม่มา? หรือว่าจะเป็นเขาจริงๆ?”
“มีโอกาสสูงที่จะเป็นเขา?” หยางชิ่งพยักหน้า
“ถ้าเขามองทะลุแผนการแล้ว แต่กลับปล่อยให้เซี่ยโห้วลิ่งมารนหาที่ตาย หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้ถาม
“ถ้าคนคนนี้มองพี่น้องตระกูลเซี่ยโห้วเป็นหมากจริงๆ เช่นนั้นก็ต้องพิจารณาจุดประสงค์ของเขาแล้ว ดูว่าเขาคำนึงถึงผลประโยชน์ตระกูลเซี่ยโห้ว หรือมีใจทะเยอทะยานอยากควบคุมอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้ว แต่ตามหลักแล้ว การวางกำลังของตระกูลเซี่ยโห้วไม่น่าจะให้คนนอกมาควบคุมได้ง่ายๆ เรื่องปล้นอำนาจมีความเป็นไปได้ต่ำ ถ้าคำนึงถึงผลประโยชน์ของตระกูลเซี่ยโห้วจริง แล้วเป็นอย่างที่คาดไว้ หลังจากเซี่ยโห้วลิ่งตายแล้ว เขาก็จะปรากฏตัวอยู่ข้างกายเฉาหม่าน นั่นก็แสดงว่าเซี่ยโห้วลิ่งถูกเขาทิ้งแล้ว ถ้าเขาไม่มาปรากฏตัวข้างกายเฉาหม่าน ก็แสดงว่าเรื่องนี้ยุ่งยากแล้ว ถ้าเขาไม่สนับสนุน เกรงว่าเฉาหม่านอาจจะรวบรวมกำลังของตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้ง่ายๆ พวกเราอาจจะต้องติดต่อเพื่อเจรจากับเว่ยซู ถ้าเจรจาไม่ลงตัว เรื่องราวในตอนหลังก็จะเปลี่ยนแปลงเยอะมาก อันตรายเกินไป นายท่านอาจจะต้องหยุดแผนการไว้” หยางชิ่งอธิบาย
“นึกไม่ถึงว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะเว่ยซู!” เหมียวอี้แสยะยิ้ม และบอกหยางเจาชิงว่า “ปล่อยให้เข้ามา!”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปปฏิบัติตาม
นอกจวนผู้สำเร็จราชการ คนนับร้อยเหาะลงมาจากฟ้า เซี่ยโห้วลิ่งที่นำหน้ามาสวมชุดสีขาว ลักษณะองอาจผ่าเผย
เหมียวอี้ออกมาต้อนรับข้างนอกด้วยตัวเอง พอเห็นก็รีบก้าวออกไปกุมหมัดคารวะทันที “ท่านปู่สวรรค์มาเยือนด้วยตัวเอง หนิวขออภัยที่ไม่ได้ไปรับตั้งแต่ไกลๆ!”
“มาโดยไม่ได้เชิญ หวังผู้ตรวจการใหญ่จะไม่ถือสา” เซี่ยโห้วลิ่งกล่าวอย่างเกรงใจ
“ท่านปู่สวรรค์เป็นแขกที่มาไม่บ่อย เป็นเกียรติแก่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล แทบจะดีใจไม่ทัน จะถือสาได้ยังไง เชิญด้านใน!” เหมียวอี้เชิญเข้ามาข้างในอย่างเปิดเผย
ทั้งสองเดินพูดคุยยิ้มแย้มกันเข้ามาในประตู นี่คือการตรวจสอบด้านสุดท้าย เหมียวอี้ออกคำสั่งเองว่าให้ผ่านด่านนี้ไป
เพียงแต่ทำเช่นนี้กับเซี่ยโห้วลิ่งคนเดียว ผู้ติดตามที่เหลือถูกกันไปแล้วตรวจสอบอย่างเข้มงวด สุดท้ายก็ปล่อยให้เขามาเพียงร้อยคน กำลังพลที่แอบพกมาด้วยถูกนำออกมาตรวจสอบทั้งหมด แล้วกันไว้นอกจวนผู้สำเร็จราชการ
ส่วนบนกำแพงจวนผู้สำเร็จราชการก็มีกำลังพลกลุ่มใหญ่ปรากฏตัวออกมาเฝ้าป้องกันคนกลุ่มนี้ ตามแนวภูเขารอบๆ ก็มีกำลังพลหนึ่งล้านถูกระดมมาเฝ้าป้องกันแล้ว ป้องกันไม่ให้กำลังพลที่เซี่ยโห้วลิ่งพามาก่อกวน
ตึกศาลาที่สวยวิจิตรตระการตา ที่นี่ย่อมมีสถานที่เอาไว้รับรองแขกอยู่แล้ว
ผู้ติดตามของเซี่ยโห้วลิ่งคอยเฝ้าอยู่ตามจุดสำคัญ รอบๆ เป็นพื้นที่เฝ้าระวังอย่างสูง
ในตึกศาลามีเสียงเพลงและระบำแห่งสันติสุข กลุ่มนางระบำแสนสวยกำลังร่ายรำอย่างชดช้อย เสียงระฆังดังไพเราะ เสียงเครื่องสายดังต่ำๆ ท่วงท่าของนางระบำบางครั้งก็ชดช้อยบางครั้งก็เย้ายวน
นางระบำคณะนี้ล้วนถูกส่งมาจากฮ่าวเต๋อฟางในปีนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีสายลับแฝงเข้ามา เหยียนซิวแอบตรวจสอบหมดแล้ว ฮ่าวเต๋อฟางไม่ได้เล่นตุกติกอะไรจริงๆ แต่ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ คณะระบำนี้มีคนเข้าคนออก คนที่ออกไปก็ถูกใจพวกแม่ทัพ เหมียวอี้มอบพวกนางเป็นรางวัลให้ ที่ขาดไปก็ย่อมมีคนเข้ามาเติม เหมียวอี้ไม่ใช่คนที่มีอารมณ์สุนทรีย์อะไรขนาดนั้น ไม่ได้ชอบสิ่งนี้ รู้สึกว่าเลี้ยงคนพวกนี้ไม่สู้เอาทรัพยากรมาเลี้ยงทหารดีกว่า เพียงแต่เมื่ออยู่ในตำแหน่งอย่างเขาแล้ว บางครั้งก็มีแขกมา ก็ต้องนำมารับแขกแก้ขัด เวลามีแขกบางคนมาแล้ว ก็ไม่สะดวกจะทำส่งเดชจริงๆ
แขกบางคนก็ยิ่งมีความชอบด้านศิลปะแบบนี้ ถ้าถูกใจสาวงามคนไหนก็เอ่ยปากขอเหมียวอี้พากลับไปเป็นอนุภรรยาได้เลย ถ้าเปลี่ยนเป็นเหมียวอี้ตอนยังเป็นเด็กหนุ่ม จะต้องไม่ทำเรื่องไร้ยางอายอย่างนี้แน่นอน ต้องไม่รับปากอย่างนี้แน่นอน ทว่าตอนนี้วิธีการมองปัญหาของเหมียวอี้ไม่เหมือนในปีนั้นแล้ว ถ้าพูดจากบางมุมมอง ถ้าปล่อยให้เป็นนางระบำไปจนแก่ก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับผู้หญิง แต่งงานไปเป็นอนุภรรยาคนอื่นจะต้องได้รับการดูแลดีกว่าตอนนี้แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น คนที่เข้ามารับแขกในจวนผู้สำเร็จราชการได้ก็ไม่ได้มีฐานะชาติตระกูลย่ำแย่
สำหรับเรื่องนี้เหมียวอี้ไม่ปฏิเสธ ไม่จำเป็นต้องขัดใจคนเพราะเรื่องนี้ ถือโอกาสมอบสินเดิมเจ้าสาวไปด้วยส่วนหนึ่ง
เจอเรื่องแบบนี้ก็นับว่ายังดี ถ้าเจอเรื่องอีกแบบก็ยุ่งยาก แขกบางประเภทก็เกิดอารมณ์คึกคะนองชั่วคราวมาเล่นเฉยๆ เรียกมาปรนนิบัติคืนหนึ่ง จากนั้นอย่างมากก็ตบเงินรางวัลก้อนหนึ่ง ไม่คิดจะรับผิดชอบเลย ยกตัวอย่างเช่นเซิงมู่เสวี่ยก็เป็นประเภทนั้น ทุกครั้งที่มาก็จะเรียกไปสองคน ทุกครั้งที่มาจะไม่ซ้ำคนเดิม ในคณะระบำ นอกจากบางคนที่มีฐานะหน่อย นอกนั้นเกือบครึ่งก็ถูกเซิงมู่เสวี่ยทำเสียหายหมด ตอนที่โค่วอวี้ฮูหยินของเขามาด้วยกัน เซิงมู่เสวี่ยก็จะไม่ทำเรื่องนี้ แต่ถ้าโค่วอวี้ไม่มา เซิงมู่เสวี่ยก็จะปรากฏธาตุแท้ทันที จากสิ่งนี้ก็รู้เลยว่าทำไมเซิงมู่เสวี่ยจึงมาเล่นเฉยๆ แต่ไม่พากลับบ้าน
สุดท้ายก็เป็นฝั่งเหมียวอี้ที่ช่วยเช็ดก้นให้เขา บรรดาสาวงามที่ถูกปู้ยี่ปู้ย่ำก็ไม่สะดวกจะแต่งงานกับคนมีฐานะแล้ว บางคนโชคดีเจอคนไม่รังเกียจก็สามารถมีสามีเป็นตัวเป็นตนได้อย่างราบรื่น บางคนก็ยินดีจะใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุขต่อไป บางคนที่ไม่เต็มใจอยู่ ฝั่งนี้ก็จะรวบรวมจัดการทีเดียว หลังจากรวบรวมได้จำนวนหนึ่งแล้ว ก็สร้างร้านที่ตลาดสวรรค์ร้านหนึ่ง ส่งให้พวกนาง ให้พวกนางไปจัดการเอาเอง บางคนอยากจะค้นหาเส้นทางชีวิตเอง ฝั่งนี้จะลบพวกนางออกจากบัญชีบ่าวทาส ให้เงินไปจำนวนหนึ่ง
นางระบำหลายสมัยก็คือคนเต้นกินรำกิน วิธีการจัดการของจวนผู้สำเร็จราชการก็นับว่ายังมีคุณธรรม แต่ส่วนใหญ่เป็นนางบำเรอ จะได้รับการปฏิบัติที่ดีได้อย่างไร คนที่มีพื้นเพจากคนเต้นกินรำกินแล้วโชคดีอย่างเสวี่ยหลิงหลงกับเฟยหงนั้นเป็นส่วนน้อย
ค่านิยมในสังคมเป็นแบบนี้ แม้แต่อวิ๋นจือชิวก็ทำได้เพียงด่าว่าผู้ชายไม่มีใครดีสักคน แล้วก็ปิดตาข้างเดียว เพียงแต่กับสาวงามพวกนี้ แม่เสืออย่างอวิ๋นจือชิวตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่ให้เหมียวอี้ไปแปดเปื้อน ถ้ากล้าแตะต้อง อวิ๋นจือชิวก็กล้าสู้ตายกับเหมียวอี้ แต่ก็พอจะเข้าใจความคิดของคนพวกนี้ได้ ถึงอย่างไรฐานะของเหมียวอี้ก็ล่อตาล่อใจ กอปรกับหน้าตาก็ไม่ขี้เหร่ บางคนที่อยากจะกลายเป็นหงส์บินขึ้นกิ่งไม้ ก็มาเล่นหูเล่นตาใส่เหมียวอี้ อยากจะกลายเป็นเฟยหงคนที่สอง อวิ๋นจือชิวจึงลงมืออย่างไม่ปรานี นอกจากจะลงโทษอย่างหนักแล้ว จุดจบก็คือถูกส่งเข้าหอนางโลมด้วย
ในจุดนี้ ผู้หญิงทุกคนข้างกายเหมียวอี้ยืนกรานอยู่ฝ่ายอวิ๋นจือชิว ไม่มีการพูดถึงมนุษยธรรมอะไรทั้งนั้น แต่ละคนเบิกตาสังเกตการณ์ ถ้าพบเห็นก็รายงานให้ลงโทษทันที ไม่ให้โอกาสเหมียวอี้ออกนอกลู่นอกทาง ภายใต้การสั่งสอนที่เข้มงวดขนาดนี้ บ่าวไพร่ทั้งจวนผู้สำเร็จราชการไม่มีใครกล้ายั่วยวนเหมียวอี้ เมื่อเห็นเหมียวอี้ก็รีบก้มตา ไม่กล้ามองมาก ทำเอาเหมียวอี้เวลามีความคิดลามกขึ้นมาก็ต้องตัดขาดไป
ไม่ใช่แค่พุ่งเป้าไปที่เหมียวอี้ สรุปก็คือ อวิ๋นจือชิวไม่อยากเห็นผู้หญิงช่างยั่วคิดไม่ซื่อปรากฏตัวอยู่ในบ้าน กับผู้ชายคนอื่นในจวนก็ไม่ได้เช่นกัน นี่ก็คือกฎของบ้านที่นายหญิงอย่างอวิ๋นจือชิวตั้งขึ้นมา!
“ไม่เลวๆ”
ขณะมองนางระบำ เซี่ยโห้วลิ่งก็ยกจอกสุราชนกับเหมียวอี้ แล้วเอ่ยชม
เหมียวอี้ย่อมรู้ว่าความสนใจของเขาไม่ได้อยู่กับสิ่งนี้ อดไม่ได้ที่จะพูดหยอกว่า “อ้อ ไม่ทราบว่าท่านปู่สวรรค์ถูกใจคนไหน? เดี๋ยวจะให้คนส่งไปที่จวนแน่นอน”
เดิมทีระหว่างทั้งสองก็มีฐานะต่างกันอยู่แล้ว ควรจะนั่งแยกกัน แต่เซี่ยโห้วลิ่งกลับดึงดันจะนั่งด้วยกัน การเต้นระบำตรงนี้เป็นการแสดงให้ทั้งสองเชยชม
เซี่ยโห้วลิ่งเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงพร้อมยิ้มแย้ม “ผู้ตรวจการใหญ่ไม่รู้เชียวหรือว่าข้าถูกใจอะไร?”
“ไม่ทราบ หวังว่าท่านปู่สวรรค์จะชี้แนะ” เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ
“บัวโลหิตในมือผู้ตรวจการใหญ่ไง!” เซี่ยโห้วลิ่งจิบสุราอย่างเอื่อยเฉื่อย
เหมียวอี้ถอนหายใจ “ท่านปู่สวรรค์ หนิวเคยบอกไปแล้วไง ว่าข้าโยนบัวโลหิตนั่นทิ้งไปแล้ว”
“ในปีนั้นมีคนอยู่คนหนึ่ง คนเรียกกันว่าบรรพาจารย์อาวุโสมารโลหิต เขาบอกว่าตัวเองเคยเก็บสมุนไพรจิตวิญญาณได้ต้นหนึ่งจากจุดลึกในดาราจักร…” สายตามองระบำ แต่ปากกลับเล่าประวัติและสรรพคุณของสมุนไพรจิตวิญญาณอย่างไม่เร่งรีบ จากนั้นเซี่ยโห้วลิ่งถึงได้หันช้าๆ กลับมาจ้องเหมียวอี้ “ตอนนี้ผู้ตรวจการใหญ่รู้แล้วหรือยังว่าทำไมพระปีศาจถึงมาหาเจ้า?”
เหมียวอี้เริ่มขมวดคิ้วอย่างชัดเจน แต่ยังไม่ตอบอะไร
เซี่ยโห้วลิ่งบอกอีกว่า “ของสิ่งนี้เก็บไว้ในมือผู้ตรวจการใหญ่ไม่ดีหรอกนะ! ไม่ใช่แค่พระปีศาจจะมาเอาไป เกรงว่าแม้แต่ตำหนักสวรรค์ ถ้ารู้แล้วก็ต้องบีบให้ผู้ตรวจการใหญ่มอบให้เช่นกัน ทำไมผู้ตรวจการใหญ่ไม่เอามาให้ข้าจัดการล่ะ จะได้ลดปัญหายุ่งยากไง?” น้ำเสียงแฝงการข่มขู่
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ใครกล้าบีบข้า ข้าก็จะมอบสมุนไพรจิตวิญญาณให้พระปีศาจ”
เซี่ยโห้วลิ่งถอนหายใจ “ทำไมผู้ตรวจการใหญ่ต้องใช้อารมณ์ทำงาน? ต่อให้มอบสมุนไพรจิตวิญญาณให้พระปีศาจแล้วยังไงต่อ? พระปีศาจได้สมุนไพรจิตวิญญาณแล้วจะฟื้นพลังกลับมาทันทีเหรอ? ในช่วงเวลานี้ คนในใต้หล้ามีเวลาเพียงพอที่จะทำลายกำลังพลทั้งหมดของผู้ตรวจการใหญ่ได้เลย ทำไมผู้ตรวจการใหญ่ต้องลำบากด้วยล่ะ?”
……………