พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2015 โดนแทงตาย
พอโบกมือหนึ่งครั้ง ทางออกที่หมุนวนอยู่กลางอากาศก็ปรากฏอีกครั้ง เหยียนซิวหิ้วเซี่ยโห้วลิ่ง แล้วพวกเขาก็เหาะขึ้นฟ้าไปด้วยกัน หายเข้าไปในโพรงกลางอากาศ
เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง พวกเขาก็กลับมาถึงทางออกห้องใต้ดินแล้ว
เหมียวอี้หันตัวมากวักมือ ประตูโลหะตรงโพรงนั้นก็ปิดสนิท มีแสงสว่างวาบ แล้วประตูก็หดเล็กน้อง เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา นี่ก็คือเจดีย์งามวิจิตรนั่นเอง มักตกลงในฝ่ามือเหมียวอี้ ในห้องใต้ดินปรากฏสภาพเดิมแล้ว
หันกลับไปมองเซี่ยโห้วลิ่ง เห็นเซี่ยโห้วลิ่งมีท่าทางเหม่อลอย เหมียวอี้ที่กำลังจะก้าวขาออกไปขมวดคิ้ว “แบบนี้ไม่ได้ ท่าทางแบบนี้ของเขา พอออกไปคนก็มองพิรุธออกทันที”
“นายท่านไม่ต้องห่วง สามารถปรับได้ขอรับ” เหยียนซิวปลอบใจ แล้วใช้นิ้วทั้งห้าครอบศีรษะเซี่ยโห้วลิ่ง ท่าทางเหมือนดูดอะไรบางอย่าง นิ้วทั้งห้า เขย่าไม่พร้อมกัน สีหน้าของเซี่ยโห้วลิ่งปรับเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบต่างๆ
หยางชิ่งเตือนว่า “ทำสีหน้าเรียบเฉยก็พอ”
เหยียนซิวทำตามที่บอก ปรับเปลี่ยนสีหน้าเซี่ยโห้วลิ่งให้เป็นแบบหงุดหงิดเหมือนเจอเรื่องไม่พอใจ
เหมียวอี้เอามือลูบคางครุ่นคิดขณะมองเซี่ยโห้วลิ่ง “พระปีศาจหนานโปควบคุมระยะไกลได้ยังไง เจ้าทำแบบเขาไม่ได้เหรอ?”
เหยียนซิวตอบว่า “นายท่าน ต่อให้ข้าน้อยฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางสำเร็จแล้ว แต่ก็ไม่มีทางทำได้ถึงขั้นนั้น วิธีการของพระปีศาจก็ไม่นับว่าเป็นการควบคุมระยะไกลอะไร เป็นการปลูกบางสิ่งลงในสมองของเขาเท่านั้น น่าจะเป็นการปลูกความคิดของพระปีศาจคลุมไปที่ความคิดของพวกเขา เพื่อให้พระปีศาจใช้งาน”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจ “ข้ากังวลว่าแบบนี้จะเผยพิรุธอะไร”
หยางชิ่งบอกว่า “ในเมื่อนายท่านรับประกันได้ว่าคนอีกกลุ่มที่เตรียมไว้ไม่มีปัญหา ฝั่งนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่ ต่อให้เซี่ยโห้วลิ่งเงียบงันไม่พูดอะไร ก็เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ติดตามจะเค้นถามอะไรจากเขา แบบนี้น่าจะผ่านไปได้ แต่รบกวนพี่เหยียนคอยดูแลตลอด” เขามองไปที่เหยียนซิว
เหยียนซิวพยักหน้า เหมียวอี้ยื่นมือเชิญเซี่ยโห้วลิ่ง “ท่านปู่สวรรค์ เชิญเถอะ!”
เหยียนซิวขยับสองมือ คอยร่ายวิชา เซี่ยโห้วลิ่งยังมีสีหน้าเหมือนเดิม เดินตามเหมียวอี้ออกไปแล้ว
คนกลุ่มนี้เดินออกจากเรือนด้านใน ออกจากประตูไปแล้ว ทหารยามข้างนอกสังเกตเห็นว่าเซี่ยโห้วลิ่งมีสีหน้าไม่สบอารมณ์สักเท่าไร
เซี่ยโห้วลิ่งที่เดินออกมาแล้วพูดคำเดียวว่า “ไป!”
ผู้ติดตามอารักขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มีคนไม่น้อยมองพวกเหมียวอี้อย่างระวังตัว จากนั้นก็รีบเก็บกำลังพลแล้วเดินตามหลังเซี่ยโห้วลิ่ง
เหมียวอี้หรี่ตามองตาม เขาไม่ได้ไปส่ง เพียงถ่ายทอดเสียงบอกเหยียนซิวว่า “รีบไปช่วยสนับสนุนไป๋เฟิ่งหวง”
ส่วนเรื่องที่ว่าใครจะเป็นคนลงมือ เขาไม่ได้บอกให้หยางชิ่งรู้
เหยียนซิวพยักหน้าเบาๆ แล้วรีบออกไป
“เตรียมทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย?” เหมียวอี้หันกลับมาถามหยางเจาชิงอีก
“เตรียมเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนเส้นทางหรือเปล่า” หยางเจาชิงแสดงความกังวล
“ดังนั้นจึงต้องลงมือในระยะใกล้ ภายในระยะใกล้นี้คงจะไม่เปลี่ยนเส้นทาง ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ให้เหยียนซิวลงมือโดยตรงเลย!” หยางชิ่งกล่าว
“รอฟังข่าวแล้วกัน” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ แล้วหันตัวกลับไป
ในดาราจักร กลุ่มของเซี่ยโห้วลิ่งโผล่ออกมากลางอากาศ เร่งเดินทางอย่างรวดเร็ว ตอนที่ผ่านอาณาเขตดาวที่มีก้อนหินกระจายไร้ระเบียบ ผู้คุ้มกันที่คอยเบิกทางอยู่ข้างหน้าก็พลันยกมือ ทำให้ทั้งกลุ่มที่กำลังเดินทางไปข้างหน้าหยุดทันที
ข้างหลังมีคนถลันตัวเข้ามาถามทันที “มีเรื่องอะไร?”
ผู้คุ้มกันที่เบิกทางมองไปรอบๆ ด้วยสายตาเย็นเยียบ “สถานการณ์ไม่ชอบมาพากล หินตรงนี้เหมือนจะเพิ่มขึ้นไม่น้อย”
คนที่ถามบอกว่า “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้!”
“ไม่ต้องแล้ว อย่าไปพัวพัน แจ้งให้คนที่อยู่แถวนี้มารับทันที เตรียมป้องกัน! รีบผ่านไปเร็วๆ!” คนที่เบิกทางตะโกนบอก
เมื่อถ่ายทอดคำสั่งลงไป กำลังพลนับหมื่นที่ซ่อนตัวอยู่ก็ปรากฏตัวทั้งหมดทันที คุ้มกันเซี่ยโห้วลิ่งไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา
แต่ในขณะนี้เอง ในอาณาเขตดาวที่มีก้อนหินกระจัดกระจายนี้ก็มีดอกไม้เบ่งบานนับไม่ถ้วน สี่ด้านแปดทิศ ดาวสีดำน้อยใหญ่ระเบิดออก ชั่วพริบตาเดียวก็เต็มไปด้วยควันดำ ควันดำที่สีเข้มก็ยิ่งเหมือนมังกรตัวใหญ่กำลังโลดแล่นอยู่ในควันดำ ลักษณะน่าตกใจ
ผู้คุ้มกันเซี่ยโห้วลิ่งมองไปรอบๆ ด้วยความระวังตัวอย่างสูง
“หมอกควันมีขอบเขตไม่กว้าง รีบผ่านไป!” หัวหน้ากลุ่มตะคอกสั่งอย่างเกรี้ยวกราด
แต่ก็ไม่ได้หลับหูหลับตาฝ่าออกไป กำลังพลแถวหน้ากระบวนทัพรูปลิ่มบุกโจมตีเบิกทางอยู่ข้างหน้า
“อามิตตาพุทธ!” เสียงนี้ดังก้องอยู่ในดาราจักร
ท่ามกลางควันดำข้างหน้ามีแสงทองกะพริบ หมอกควันกระจายออกเหมือนระลอกคลื่น เผยเงาร่างสีทองให้เห็นวับๆ แวมๆ เค้าโครงชัดเจนมากว่าเป็นพระ ตรงดวงตาเหมือนจะมีเพลิงสีทองลุกโชน
ฉากนี้ทำให้กำลังพลที่บุกโจมตีหยุดกะทันหัน ไม่กล้าไปข้างหน้าต่อแล้ว กำลังพลทั้งหมจ้องเงาร่างสีทองนั้น ทุกคนทำสีหน้าตึงเครียด
มีคนตะโกนอย่างร้อนใจว่า “ปิดประสาทสัมผัสการได้ยินกับจิตสำนึก ทำตามสัญญาณมือ!”
เซี่ยโห้วลิ่งที่ถูกกำลังพลโอบล้อมพลันชักดาบออกมา กลุ่มผู้คุ้มกันที่อยู่ทางซ้ายและขวาก็ไม่ได้เห็นเป็นสาระอะไร
ใครจะคาดคิด วินาทีถัดมาเซี่ยโห้วลิ่งพลันกลับคมดาบเข้าหาตัวเอง แล้วแทงเข้าที่หน้าอกตัวเองอย่างไม่ลังเล แทงจนหัวใจทะลุเป็นรู คมกระบี่ทะลุออกไปด้านหลัง กระอักเลือดสดออกมาแล้ว
เมื่อรู้สึกไดถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ ผู้คุ้มกันทางฝั่งซ้ายขวาที่คอยระวังรอบๆ ก็หันกลับมามองแวบหนึ่ง แต่ละคนตกใจจนขวัญกระเจิง ตะโกนอุทานว่า “ท่านปู่สวรรค์!”
เซี่ยโห้วลิ่งสีหน้าดุร้าย ปากสงเสียง “เหอะๆ” แล้วสองมือออกแรงแทงดาบอีกครั้ง ข้างกายมีคนรีบคว้าข้อมือเขาไว้
เซี่ยโห้วลิ่งออกแรงขัดขืน เลือดออกปากออกจมูก ใบหน้าดุร้ายจนน่าตกใจ แต่จนใจที่พลังกายผ่านไปเร็วเหมือนสายน้ำ
ผู้คุ้มกันที่อยู่ข้างกายรีบควบคุมตัวไว้ รีบหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวมาเร่งช่วยชีวิตเซี่ยโห้วลิ่ง กำลังพลที่ล้อมเซี่ยโห้วลิ่งวุ่นวายฉุกละหุกทันที
“รักษากระบวนทัพไว้ ให้กองหนุนมาเร็วๆ!” มีคนตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด
ทุกคนเพิ่งปิดประสาทสัมผัสการได้ยิน ไม่รู้เลยว่าเขากำลังพูดอะไร ต้องใช้สัญญาณมือพักหนึ่งถึงทำให้ทุกคนเข้าใจความหมาย
ส่วนเงาร่างสีทองก็ค่อยๆ อับแสงลงท่ามกลางหมอกควัน เลือนหายไปในหมอกควันแล้ว
ร่องรอยที่เหมือนมังกรยักษ์ในหมอกควันก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน เหลือเพียงหมอกควันสีดำพลิกม้วนพุ่งชนอย่างไร้กฏเกณฑ์
รอบนอกของหมอกควัน คนปิดหน้าคนหนึ่งยืนอยู่บนหินก้อนใหญ่ที่ลอยนิ่งอยู่กลางบงอวกาศ สายตาจ้องในหมอกควันอย่างเย็นเยียบ
ไม่นานเงาร่างพระสีทองที่สูงใหญ่ก็ปรากฏขึ้น เอามือลูบดับหินผลึกไขมันเพลิงตรงดวงตา ดวงตาเพลิงกลายเป็นดวงตาสดใสกลอกไปมา ไม่รู้ว่าถอดของอะไรออกจากร่างกายอีก แสงสีทองบนตัวหายไปแล้วเช่นกัน ขณะที่เหาะลงข้างกายคนปิดหน้า ร่างกายก็เลื้อยขยุกขยิกกลายร่างเป็นยายแก่คนหนึ่ง
“ยังนึกว่าเจ้าจะมาไม่ทันเวลาซะแล้ว ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์เป็นโขยง ข้าต้านพวกเขาไม่ไหวหรอกนะ ทำเอาข้าตกใจแทบตาย” ยายแก่บ่น
คนปิดหน้าถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบแหบพร่า “สถานการณ์ข้างในเป็นยังไงบ้าง?”
ยายแก่ตอบว่า “ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาเหมือนจะวุ่นวายเสียระเบียบ เจ้าไม่ต้องพูดเลย ใช้พระปีศาจขู่คนเหมือนจะได้ผลมาก ที่แท้พระปีศาจก็หน้าตาเป็นอย่างนี้!” นางกลอกตาไปมาเผยความเจ้าเล่ห์
“ฉวยโอกาสตอนวุ่นวายรีบหนีไป ถ้ารอพวกเขารู้ตัวแล้วตามมา พวกเราก็หนีไม่ทันแล้ว” คนปิดหน้ากล่าว
ผ่านไปครู่เดียว ในหมอกควันก็มีสิ่งที่คล้ายวิญญาณสีขาวบินออกมาตัวแล้วตัวเล่า ยายแก่กางแขนรับ วิญญาณสีขาวชนบนร่างกายนาง ชั่วพริบตาเดียวก็จมหายเข้าไปในร่างกายนางแล้ว
ยายแก่กับคนปิดหน้าสบตากันแล้วพยักหน้า ก่อนจะเหาะหายไปในจุดลึกของดาราจักรอย่างรวดเร็ว
“ฆ่า!”
ผู้คุ้มกันที่อยู่ท่ามกลางหมอกควันมองเซี่ยโห้วลิ่งที่ขาดใจคากระบี่วิเศษ เขาตัวสั่นกำหมัดแน่น คำรามถ่ายทอดคำสั่ง
สิ้นชีวิตไปแล้ว ใช้สมุนไพรเซียนหมดแล้วก็ช่วยชีวิตไม่ได้ ตอนนี้ความปลอดภัยของเซี่ยโห้วลิ่งไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดแล้ว เขาคิดกำลังคิดว่าจะชี้แจ้งต่อตระกูลเซี่ยโห้วอย่างไร
กำลังพลนับหมื่นรอบๆ กระจายกันพุ่งเข้าไปในหมอกควัน ทว่าจะยังหาเจอได้อย่างไรกัน
“ผู้บัญชาการ รีบติดต่อพ่อบ้านเว่ยให้ตัดสินใจเถอะ”
รองหัวหน้ากลุ่มผู้คุ้มกันที่อยู่ในกลุ่มที่เหลือหนึ่งร้อยคนพูดกับหัวหน้ากลุ่ม
หัวหน้ากลุ่มกำหมัดหลับตาส่ายหน้า เขาไม่มีทางยอมรับความจริงนี้ได้ หัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วผู้สง่าน่าเกรงขามตายอยู่ใต้หนังตาเขา ที่สำคัญคือไม่ได้สู้กับศัตรู หัวหน้าตระกูลตายไปแบบนี้แล้ว ตายอย่างแปลกประหลาด ตายอย่างไม่ทันป้องกัน ตายอย่างเหนือความคาดหมาย ไม่น่าเชื่อว่าจะฆ่าตัวตายเอง?
สุดท้ายก็ออกแรงโบกหมัด หยิบระฆังดาราออกมาขอรับโทษ
เว่ยซูได้รับข่าวแล้วถามสถานการณ์ในชัดเจน ก่อนจะเตือนเพียงว่า : ปิดข่าวเรื่องหัวหน้าตระกูลถึงแก่กรรมเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ตระกูลเซี่ยโห้ววุ่นวาย!
และในดาราจักรตอนนี้ ตระกูลเซี่ยโห้วรีบขอความช่วยเหลือ กำลังพลทัพใต้ที่ประจำการอยู่แถวนั้นส่งกำลังพลออกมาหนึ่งล้าน ตามมาถึงที่นี่อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันยอดฝีมือของตระกูลเซี่ยโห้วที่อยู่แถวนั้นก็รีบตามมาสนับสนุนทั้งหมด
หัวหน้ากลุ่มผู้คุ้มกันที่ได้รับคำชี้แนะกระจายข่าวให้กำลังพลแต่ละสายถอยออกไปทันที บอกว่าไม่มีอะไรแล้ว
ในเรือประมงกลางแม่น้ำ เซี่ยโห้วท่าแจวเรือ แสงแดดสดใส แสงกระทบคลื่นในแม่น้ำจนสะท้อนประกาย
เว่ยซูนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องโดยสารเรือ วางระฆังดาราลงช้าๆ มองเงาหลังเซี่ยโห้วท่าด้วยสีหน้าสับสน พร้อมกล่าวอย่างเศร้าโศกว่า “นายท่าน คุณชายรองโดนแทงตาย!”
แม้จะเตรียมใจไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่เซี่ยโห้วท่าก็ยังอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น แต่จากนั้นก็พายเรืออย่างไม่รีบร้อนต่อไป “ข้างกายเขามีผู้คุ้มกันนับหมื่น ภายในเวลาอันสั้น ทัพใหญ่หลายสิบล้านอาจจะทำร้ายเจ้ารองไม่ได้ง่ายๆ คนของตระกูลเซี่ยโห้วกระจายอยู่ทั่วอาณาเขต ทั้งยังติดต่อกำลังหนุนที่อยู่ตามท้องที่ได้ทุกเมื่อ ข้าอยากจะรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อทำสำเร็จได้ยังไง เขาลงมือยังไง?”
เว่ยซูตอบเสียงสั่น “ไม่เห็นกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อเลย คุณชายรองปลิดชีพตัวเอง ผู้คุ้มกันไม่มีใครคาดคิด ทำอะไรไม่ถูกขอรับ”
“อะไรนะ?” เซี่ยโห้วท่าอุทาน เขาทิ้งไม้พาย พลันหันตัวมาแล้วเบิกตากว้าง “ฆ่าตัวตาย? จะเป็นไปได้ยังไง?”
“คนในกลุ่มผู้คุ้มกันเห็นพระปีศาจหนานโป คุณชายรองคงจะโดนมนต์คร่าชีวิตของพระปีศาจ” เว่ยซูตอบ
เซี่ยโห้วท่าหรี่ตา รีบถามว่า “พวกเขาแน่ใจได้ยังไงว่าเป็นพระปีศาจ?”
“มีคนไม่น้อยเห็นเองกับตา เขาเอ่ยนามพระพุทธเจ้า เงาร่างพระสีทองปรากฏตัวท่ามกลางหมอกควัน ดวงตาเป็นเพลิงสีทอง…” เว่ยซูเล่าสถานการณ์ที่ผู้คุ้มกันเห็นให้ฟังรอบหนึ่ง ตอนนี้น้ำตาอาบใบหน้าแล้ว นั่งนิ่งอยู่ในห้องโดยสารเรือ
เซี่ยโห้วท่ากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ในดวงตาฉายแววหวาดกลัวอย่างที่ยากจะปิดบัง ต้องทราบไว้ว่าตอนนี้พระปีศาจยังไม่ได้กลับคืนร่างจริง ภายใต้สถานการณ์ที่ตระกูลเซี่ยโห้วมีผู้คุ้มกันที่แข็งแกร่งขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะเอาชีวิตของหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วได้อย่างง่ายดายราวกับล้วงของในกระเป๋า เขานึกเชื่อมโยงถึงเรื่องที่ประมุขชิงกับประมุขพุทธะร่วมมือกันนำทัพใหญ่ไปสถานที่ผนึกแต่ยังปล่อยให้พระปีศาจหนีไปได้ เขารู้สึกปากคอแห้ง กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “เทียบกันปีนั้น ไม่น่าเชื่อว่าพระปีศาจจะ…”
สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวคำว่า ‘น่ากลัว’ ออกมา “พระปีศาจรู้ทางกลับของเจ้ารองได้ยังไง…” ยังไม่ทันพูดจบก็เงียบไปอีก
เว่ยซูขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ต้องเป็นหนิวโหย่วเต๋อที่บอกข่าวพระปีศาจแน่ เป็นหนิวโหย่วเต๋อที่ยืมมือพระปีศาจ!”
……………………