พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2018.1 เรียบง่ายป่าเถื่อน (1)
“รับทราบ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง
หยางชิ่งกลับรีบห้าม “นายท่าน ทางฝั่งเฉาหม่านเพิ่มการรักษาความปลอดภัยย่อมไม่มีปัญหา แต่ระดมกำลังพลมากขนาดนี้ ถ้าจะไม่ให้ข่าวหลุดเลยก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าตำหนักสวรรค์พบความผิดปกติจะต้องติดต่อมาถามพวกเหวินเจ๋อแน่ ถ้าติดต่อพวกเหวินเจ๋อไม่ได้ก็จะทำให้คนสงสัยได้ง่ายด้วยซ้ำ…”
เหมียวอี้พูดตัดบททันที “ข้าไม่สนว่าจะน่าสงสัยหรือไม่น่าสงสัย จุดประสงค์ของข้าก็คือควบคุมพวกเขาไว้ ไม่ให้พวกเขาทำเสียเรื่องในช่วงเวลาสำคัญ ใครจะไปรู้ว่าหลายปีมานี้พวกเขาได้สร้างเครือข่ายคนของตัวเองเพิ่มหรือเปล่า” พูดจบก็ยืนขึ้น แล้วบอกหยางเจาชิงว่า “แจ่งให้พวกเขามาพบข้าเดี๋ยวนี้ รีบสู้รีบจบ ข้าจะจัดการเอง!”
หัวหน้าภาคห้าคน สวีถังหราน ชีอู๋ หวงลี่ หนานกงหรูอวี้ ม่ายจื่อ แล้วก็ยังมีชิงเยว่ หลงซิ่น พวกเขามาพบก่อนล่วงหน้า
ห้าคนนี้ก็ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหมียวอี้โบกมือให้พวกเขายืนรออยู่ทางฝั่งซ้ายและขวา
ในตำหนักประชุมมีแสงสว่างจากโคมไฟ
เฟยหงสวมชุดคลุม ผมยาวปลิวตามสายลม ยืนอยู่บนตึกสูงและมองไปทางตำหนักใหญ่ พอเหมียวอี้ได้รับการติดต่อจากระฆังดารา ก็ลืมความอ่อนโยนของนางเดินออกไปแล้ว นางสังเกตได้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องขึ้น นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหลายวันมานี้เหมียวอี้ดูแปลกไป ไม่มีสมาธิจดจ่อกับการฝึกตนเลยสักนิด
เหวินเจ๋อและคนของกองทัพองครักษ์ที่ทยอยกันมาถึงก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติเช่นกัน พบว่าในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล นอกจากสมาชิกคนสำคัญก็มีแค่คนจากกองทัพองครักษ์อย่างพวกเขา นี่กำลังจะทำอะไรกันแน่?
มองเหมียวอี้ที่นั่งอยู่บนเบื้องสูง พบว่าสวมชุดคลุมและปล่อยผมยาวคลุมบ่า เห็นได้ชัดว่าเพิ่งลุกออกมาจากเตียง
“ผู้ตรวจการใหญ่ ไม่ทราบว่าเรียกรวมกลางดึกด้วยธุระอะไร?” เหวินเจ๋อกุมหมัดคารวะ โดยทั่วไปลูกน้องจะเรียกเหมียวอี้ตามยศที่สูงที่สุด
เหมียวอี้ไม่อ้อมค้อมเลย มองลงต่ำพร้อมกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เพิ่งได้รับรายงานลับมา ด้านอกเกิดเรื่องนิดหน่อย ได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับพวกเจ้า พวกเจ้าจะอธิบายยังไง?”
พวกสวีถังหรานมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
พวกเหวินเจ๋องุนงง สบตากับคนทางซ้ายทางขวา ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว เหวินเจ๋อรีบถามว่า “ขออนุญาตถามผู้ตรวจการใหญ่ ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
รองผู้สำเร็จราชการเหิงอู๋เต้าเดินออกมาจากตำหนักด้านหลัง มายืนตรงตีนบันไดเบื้องล่างเหมียวอี้ แล้วปรบมือสองครั้ง
จากนั้นสองฝั่งของตำหนักด้านหลังก็มีกำลังพลกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา นอกตำหนักใหญ่มีเสียงเกราะรบ มีกำลังพลพุ่งเข้ามาอีกกลุ่ม เรียกได้ว่าล้อมพวกเหวินเจ๋อเอาไว้แล้ว
พวกสวีถังหรานไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รีบหลีกทางให้ ให้พื้นที่แก่คนที่พุ่งเข้ามาล้อม พบว่าทั้งหมดล้วนเป็นยอดฝีมือของจวนกลยุทธ์ฟ้า
ทุกคนมองไปที่เหิงอู๋เต้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย อยากจะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทว่าเหิงอู๋เต้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น อย่างไรเสียก็ปฏิบัติตามหน้าที่
พวกเหวินเจ๋อรีบหันหลังให้กันอย่างระวังตัว
“ผู้ตรวจการใหญ่ หมายความว่ายังไง? แม้จะทำให้พวกเราตาย แต่ก็ขอตายอย่างกระจ่างไม่ได้เหรอ?” เหวินเจ๋อถามเสียงดัง
เหมียวอี้บอกเพียงว่า “ไม่มีใครทำให้พวกเจ้าตายหรอก พอตรวจสอบแล้วก็ย่อมส่งให้ตำหนักสวรรค์ลงโทษ ขอความร่วมมือในการสอบสวน หรือจะแข็งขืน?”
เหวินเจ๋อกล่าวอย่างโมโหว่า “หากตั้งใจจะใส่ความ ก็หาข้ออ้างได้เสมอ จะดีจะร้ายข้าก็คือรองผู้สำเร็จราชการ เจ้าจะจับก็จับตามใจได้ยังไง พูดในกรณีเลวร้ายที่สุด อย่างน้อยก็ต้องให้พวกเรารู้ว่ากิดอะไรขึ้นไม่ใช่เหรอ?”
“ใครแข็งขืน ฆ่า จับตัวไว้!” เหมียวอี้สั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
กลุ่มคนถืออาวุธประชิดเข้ามาทันที กรูกันเข้ามา
ฝั่งกองทัพองครักษ์มีคนชูอาวุธต้องการจะขัดขืน แต่กลับถูกเหวินเจ๋อโบกมือห้ามไว้ ตะโกนบอกว่า “อย่าบุ่มบ่าม!”
ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถ้าขัดขืนก็เท่ากับพิสูจน์แล้วว่าพวกเขาทรยศ อย่างไรเสียจวนกลยุทธ์ฟ้าก็มียอดฝีมือมากมายดุจเมฆ ถ้าสู้กันขึ้นมา ฝ่ายเขามีสิบกว่าคนก็รับมือไม่ไหว เป็นการรนหาที่ตายโดยแท้ ทางรอดเดียวก็คือยอมให้จับแต่โดยดี เขาไม่เชื่อหรอกว่าเหมียวอี้จะกล้าฆ่าพวกเขาโดยไร้เหตุผลจริงๆ แบบนั้นทางตำหนักสวรรค์จะไม่นิ่งดูดาย
ก็เป็นอย่างนี้ แทบจะยอมให้จับแต่โดยดี แต่ละคนถูกจับคาที่ ยึดของบนตัว เหวินเจ๋อเค้นเสียงตะโกนว่า “หนิวโหย่วเต๋อ นี่เจ้าจงใจใส่ความ ข้าจะฟ้องตำหนักสวรรค์! ข้าจะ…” ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกคนที่อยู่ข้างกายลงมือทำให้หุบปากแล้ว
“เลี้ยงสุราอาหารอย่างดี อย่าปฏิบัติต่อพวกเขาไม่ดี” เหมียวอี้โบกมือ “พาตัวไป!”
บนตึกของเรือนด้านใน มู่หรงซิงหัวที่สวมเกราะรบขึ้นไปบนนั้น เดินไปข้างกายเฟยหงอย่างช้าๆ
นางเองก็เพิ่งได้รับแจ้งจากหยางเจาชิง ว่าให้เพิ่มการป้องกันที่เรือนด้านใน ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เฟยหงเอียงหน้ามองนางแวบหนึ่ง จากนั้นความเคลื่อนไหวที่ตำหนักใหญ่ก็ดึงดูดความสนใจทั้งสอง เห็นเพียงพวกเหวินเจ๋อถูกพาตัวออกจากตำหนักใหญ่ไปแล้ว ถูกคุมตัวไปทางคุกใต้ดิน
ทั้งสองแอบตกใจ มองหน้ากันเลิกลั่ก เห็นได้ชัดว่าจับแต่คนของกองทัพองครักษ์ นี่นายท่านคิดจะทำอะไร คิดจะก่อกบฏเหรอ?
แต่จะว่าไปแล้วก็เป็นไปไม่ได้ อาศัยศักยภาพของเหมียวอี้ตอนนี้ ไม่มีคุณสมบัติที่จะก่อกบฏเลย
ส่วนเฟยหงก็สังเกตได้ตั้งนานแล้วว่าทางฝั่งเหมียวอี้กำลังจะเกิดเรื่องขึ้น ความเคลื่อนไหวตอนนี้พิสูจน์การคาดเดาของนางแล้วจริงๆ นางอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปถาม “ขุนพลมู่หรง นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
มู่หรงซิงหัวส่ายหน้า คิดในใจว่า ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น
คลื่นลมในตำหนักประชุมซัดมาเร็วแล้วหายไปเร็ว หลังจากกำลังพลที่โดนจับถอยออกไปหมดแล้ว พวกสวีถังหรานก็หวาดระแวงกลัว เรื่องเมื่อครู่นี้ทำให้พวกเขาตกใจจริงๆ เกือบนึกว่านายท่านจะลงมือกับพวกเขาแล้ว ตอนนี้แต่ละคนเดินไปตรงกลางตำหนักอย่างช้าๆ มองเหมียวอี้อย่างหวาดระแวง ในใจทุกคนกำลังเดาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่มีเค้าลางอะไรเลยสักนิด
หยางชิ่งที่หลบอยู่ในห้องเล็กของตำหนักด้านข้างทำสีหน้าตะลึงงัน เขานับว่าสัมผัสได้อย่างแท้จริงแล้วว่าตัวเองกับเหมียวอี้แตกต่างกันตรงไหน รองผู้สำเร็จราชการผู้น่าเกรงขาม ไม่มีแม้แต่ข้อหาความผิดที่เหมาะสมด้วยซ้ำ แค่อ้างเหตุผลที่เหมือนจะใช่แต่ก็ไม่ใช่ บทจะจับก็จับไปเลย ป่าเถื่อนเรียบง่าย รวดเร็วฉับไวสุดๆ แก้ปัญหาได้อย่างนี้แล้ว แล้วต่อไปจะชี้แจงต่อตำหนักสวรรค์อย่างไรล่ะ?
“นายท่าน เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว?” สวีถังหรานรวบรวมความกล้าเอ่ยถาม
เหมียวอี้ชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้สนใจเขา กล่าวเรียกอีกคน “ม่ายจื่อ!”
ม่ายจื่อก้าวออกมากุมหมัดคารวะด้วยเสียงดัง “ค่ะ!”
“นำทัพหนึ่งล้านเข้าไปที่ตลาดผีอย่างลับๆ เดี๋ยวนี้ ล้อมตึกศาลาสัตยพรตเอาไว้ แล้วคอยฟังคำสั่ง!” เหมียวอี้สั่ง
“รับทราบ!” ม่ายจื่อเอ่ยรับ
“หนานกงหรูอวี้!” เหมียวอี้เรียกอีก
หนานกงหรูอวี้กุมหมัดคารวะ “ค่ะ!”
เหมียวอี้สั่งว่า “นำทัพใหญ่ห้าล้านไปดักซุ่มบริเวณตลาดผีเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งก็อย่าเคลื่อนไหว!”
“รับทราบ!” หนานกงหรูอวี้เอ่ยรับคำสั่ง
เหมียวอี้โบกมือ “เอาตามนี้แล้วกัน คนอื่นไปพักเถอะ”
“รับทราบ!” ทุกคนกุมหมัดคารวะ เพียงแต่ในใจอดไม่ได้ที่จะสงสัย กำลังจะเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมต้องเลือกผู้หญิงสองคนนี้?
พวกเขาทยอยกันถอยออกมา สวีถังหรานกลับชักช้าไม่ไปไหน เหมือนไม่อยากไป ที่จริงเป็นเพราะเรื่องวันนี้มีลับลมคมในเกินไป ที่สำคัญที่สุดก็คือ เหมือนจะไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับเขา รู้สึกว่าตัวเองไม่น่าเชื่อถือมากพอ ทำให้เขายอมรับสิ่งนี้ได้ยากมาก รู้สึกไม่สงบใจนิดหน่อย
เขาอาศัยอะไรเพื่อขึ้นตำแหน่งล่ะ? ก็อาศัยความเชื่อใจจากเหมียวอี้นี่แหละ ดังนั้นเขาจึงแข็งใจบอกว่า”นายท่าน…”
เขาอยากจะของานทำ จะลำบากจะเหน็ดเหนื่อยหรือเสี่ยงอันตรายแค่ไหนก็เต็มใจ ตอนนี้ต่อให้เขาไปสู้ตาย เขาก็จะตบอกรับคำอย่างไม่ลังเล แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะมองเขาอย่างเย็นเยียบ แล้วพูดตัดบท “ให้เจ้ากลับไปพักผ่อน ไม่ได้ยินหรอ?”
………………