พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2018.2 เรียบง่ายป่าเถื่อน (2)
“เอ่อ…ขอรับๆๆ!” สวีถังหรานยิ้มแห้ง รีบถอยออกไป ไปพักผ่อนตามคำสั่ง
ในตำหนักไม่มีคนนอกแล้ว เหมียวอี้ถามหยางเจาชิงที่อยู่ข้างกัน “บอกพวกฝูชิงให้ประจำที่หรือยัง?”
แม้จะเลือกม่ายจื่อกับหนานกงหรูอวี้เป็นแม่ทัพ แต่เขาก็เชื่อใจพวกฝูชิงมากกว่า ฝูชิงรวมทั้งลูกน้องเก่าที่แดนรัตติกาลเปรียบเสมือนดวงตาที่คอยจ้องทุกการกระทำของกำลังพลเบื้องล่างให้เขา ครั้งนี้ย่อมให้คนพวกนี้ร่วมปฏิบัติการด้วยอยู่แล้ว
“บอกให้ประจำที่แล้วขอรับ” หยางเจาชิงตอบ
หยางชิ่งเดินออกมาจากตำหนักด้านข้าง ยังอยากจะเตือนให้ระวังสักหน่อย
ใครจะคิดว่าสายตาของเหมียวอี้ก็แค่กวาดมองบนตัวเขาเท่านั้น ก่อนจะหันตัวไป ไม่มีท่าทีว่าจะพูดมากกับเรื่องนี้
หยางชิ่งทำได้เพียงปล่อยไป กลืนคำพูดที่ขึ้นมาถึงปากกลับลงท้องอีกครั้ง รู้ว่าเหมียวอี้ไม่ได้เชื่อฟังเขาทุกอย่าง จะพิจารณาเอาเอง เวลาที่ควรจะเด็ดขาด ก็แก้ปัญหาอย่างรวดเร็วฉับไวเสมอ ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยกับผลที่ตามมา
พอออกจากตำหนักหลัง เหมียวอี้ก็เขย่าระฆังดาราในกระบอกแขนเสื้อ ติดต่อผังก้วน ขอให้จอมพลผังมาหาที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล
เมื่อกลับมาที่เรือนด้านใน เฟยหงก็เข้ามาต้อนรับ แล้วเดินกลับห้องนอนพร้อมกับเหมียวอี้ ขณะที่ถอดชุดคลุมให้เหมียวอี้ นางก็ถามว่า “นายท่าน เมื่อครู่นี้ข้าเห็น ท่านจับตัวคนของกองทัพองครักษ์หรือคะ?”
เหมียวอี้หันตัวมา ยื่นมือเชยค้างที่อ่อนนุ่มของนาง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “สายลับของหน่วยตรวจการซ้ายดวงตาสว่างจ้าจริงๆ”
เฟยหงกล่าวอย่างเขินอายว่า “นายท่านล้อเล่นอีกแล้ว ข้าก็แค่กลัวว่าต่อไปถ้าหน่วยตรวจการซ้ายถาม แล้วควรจะตอบยังไง”
เหมียวอี้ยื่นมือโอบเอวบางของนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด คลำลงไปข้างล่างตลอดทาง แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ไม่มีอะไรที่รับมือยาก ตอบไปตามความจริงอย่างที่เจ้าเห็น รายงานหน่วยตรวจการซ้ายเดี๋ยวนี้เลย…”
ตึกศาลาสัตยพรต ชีเจวี๋ยรีบร้อนเข้ามาในห้องเฉาหม่าน รายงานเฉาหม่านว่า “เถ้าแก่ สถานการณ์ไม่ชอบมาพากลนิดหน่อย รอบๆ ตึกศาลาสัตยพรตเหมือนจะมีกำลังพลแดนรัตติกาลแอบซุ่มอยู่ไม่น้อย”
เฉาหม่านกลับยิ้มบ้างๆ “ไม่มีอะไร ไม่ต้องสนใจ ข้าเรียกมาเอง”
“เอ่อ…” ชีเจวี๋ยตะลึงงัน
ในลานบ้านที่มืดสลัวภายใต้แสงจันทร์ สวีถังหรานเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา เงยหน้ามองฟ้าเป็นระยะ แล้วก็ก้มหน้าเงียบๆอีก ถอนหายใจยาวบ้างสั้นบ้างไม่หยุด
เหมียวอี้ให้เขากลับมาพักผ่อน ทั้งยังมีท่าทีเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง เขาจะพักผ่อนลงได้อย่างไร นอนพลิกตัวไปพลิกตัวมาอยู่บนเตียงนานมาก แล้วก็ลุกขึ้นมาเดินเล่นข้างนอกอีก
เสวี่ยหลิงหลงที่อยู่ข้างๆ สวมชุดชั้นใน ตัวนอกสวมผ้าบางๆ เรือนร่างอ่อนช้อยที่ปรากฏวับแวมอยู่ภายใต้แสงจันทร์เย้ายวนมาก เสวี่ยหลิงหลงรู้ว่าเขาอารมณ์ไม่ดี จึงตั้งใจแต่งตัวแบบนี้ เตรียมจะใช้ความอ่อนโยนละมุนละไมปลอบใจเขา แต่ใครจะคิดว่าเขากลับปล่อยให้เสียของ มองข้ามนางที่อุตส่าห์ตั้งใจแต่งตัว ทำให้นางทั้งโมโหทั้งอยากขำ
“เจ้าคิดมากไปหรือเปล่า?” เสวี่ยหลิงหลงก้าวขึ้นมาพูดอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เราไม่ได้ทำผิดอะไรสักหน่อย เขาก็ไม่ได้ทำอะไรเจ้าไม่ใช่หรอ ไม่ถึงขั้นต้องทำตัวเหมือนวิญญาณออกจากร่างแบบนี้หรอกมั้ง?”
“เจ้าจะเข้าใจอะไร ตัวเราเองป็นยังไงก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจดี ไม่ใช่พวกที่จะนำทัพไปต่อสู้เลย ตอนนี้ข้างกายผู้ตรวจการใหญ่มีคนเก่งเยอะเหมือนขนวัว อยู่ข้างกายผู้ตรวจการใหญ่ บางครั้งถ้าเดินพลาดก้าวเดียวก็จะพลาดอีกหลายก้าว บางทีในภายหลังอาจไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับข้าแล้ว เฮ้อ! วันนี้ข้าไม่ได้อยู่ในความสนใจของนายท่านเลย ความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว ไม่เหมาะสม ไม่เหมาะสมมาก!” สวีถังหรานส่ายหน้าซ้ำๆ สายตาไปหยุดบนใบหน้านาง แล้วจู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ก้าวขึ้นมาจับมือนางแล้วถามว่า “เจ้าได้ติดต่อกับฮูหยินอยู่ตลอดหรือเปล่า ฮูหยินได้บอกหรือเปล่าว่าจะกลับมาเมื่อ?”
เสวี่ยหลิงหลงถอนหายใจ “เชื่อเจ้ามาตลอด ติดต่อเอาไว้ตลอด คอยทักทายอยู่เป็นระยะ ฮูหยินบอกว่ายังไม่แน่ใจว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ จะเที่ยวเล่นอีกสักระยะ บอกว่าถ้าจะมีเรื่องอะไรก็ใช้ระฆังดาราติดต่อนางได้โดยตรง”
สวีถังหรานขมวดคิ้วพึมพำ “ออกไปเที่ยวเล่นในเวลาแบบนี้ เอาไว้ไปหลอกผีเถอะ”
เสวี่ยหลิงหลงรู้สึกขำ “ใครก็รู้ว่าที่นี่มีลับลมคมใน จะให้ข้าจะเค้นถามให้นางตอบความจริงหรือไง?”
สวีถังหรานเงยหน้าถามอีก “เฟยหงล่ะ? ช่วงนี้ไปมาหาสู่กันหรือเปล่า?”
เสวี่ยหลิงหลงตอบอย่างงงๆ “ช่วงนี้จะบอกว่าพระปีศาจหนานโปกำลังทำให้คนหวาดกลัวไม่ใช่หรอ ให้ข้าพยายามอย่าออกไปข้างนอกไม่ใช่หรือไง? แล้วอีกอย่าง จะเข้าออกจวนผู้สำเร็จราชการก็ต้องตรวจสอบ ข้าจะเข้าจะออกก็ไม่สะดวก ไม่ได้ไปมาสักระยะหนึ่งแล้ว”
“เจ้านี่นะ!” สวีถังหรานชี้นางอย่างแค้นใจ แทบจะทุบอกกระทืบเท้าแล้ว “ดีไม่ดีปัญหาก็อยู่ตรงนี้แหละ! เราไม่คิดดูบ้างว่าตอนนี้คนที่คอยนอนเป่าหูอยู่ข้างหมอนผู้ตรวจการใหญ่คือใคร ก็คือนางไง! พอฮูหยินไปแล้ว เจ้าก็ไม่แม้แต่จะไปที่นั่นด้วยซ้ำ จะให้อีกฝ่ายคิดยังไง แสดงว่าเจ้าไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเลย ใครจะไปรู้ว่านางจะตำหนิข้าให้ผู้ตรวจการใหญ่ฟังว่าอะไรบ้าง ผู้ตรวจการใหญ่ถึงได้รำคาญค่ะ ถ้าบอกให้เจ้าอย่าออกไปข้างนอก หมายถึงไม่ออกไปโลกภายนอก ไม่ได้หมายถึงจวนผู้สำเร็จราชการ เจ้านี่ช่างเลอะเลือน!”
เสวี่ยหลิงหลงกลอกตามองบน “คนที่บอกให้ข้ารักษาระยะห่างกับเฟยหงเพื่อให้เกียรติฮูหยิน จะได้ไม่โดนฮูหยินเข้าใจผิดก็คือเจ้า ตอนนี้คนที่ไม่ชอบให้ข้าทำตัวห่างเหินกับเฟยหงก็เป็นเจ้าอีก ทำไมค่าลำบากอย่างนี้เนี่ย? พอแล้ว พอแล้ว อย่ามาจ้องข้าแบบนี้ พรุ่งนี้ข้าจะไปก็ได้ เจ้าต้องทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมแบบนี้ด้วยหรอ?”
สวีถังหรานคว้ามือเรียวงามของนางอีก แล้วกำชับว่า “อย่าไปมือเปล่า ใช่แล้ว ฉากกั้นสีรุ้งอันนั้นที่ข้าเอามาให้เจ้า เจ้าถือโอกาสส่งไปให้นางด้วยสิ”
เสวี่ยหลิงหลงถลึงตาทันที “แต่นั่นคือของขวัญที่เจ้าส่งให้ข้า เจ้าก็รู้ว่าข้าชอบมาก!”
สวีถังหรานรีบปลอบใจ “ทำไมเจ้าดื้อแบบนี้ อย่าดื้อสิ เดี๋ยวครั้งหน้าข้าจะส่งของขวัญชิ้นใหม่ที่ดีกว่านี้ให้เจ้าแน่”
เสวี่ยหลิงหลงกัดริมฝีปากเงียบๆ รู้ว่ารักษาสมบัติชิ้นนั้นไว้ไม่ได้แล้ว มองเขาด้วยสีหน้าคับแค้น…
ตำหนักสวรรค์ พระตำหนักอุทยาน ซือหม่าเวิ่นเทียนเดินก้าวยาวเข้ามา เดินตรงเข้าไปในสวนดอกไม้ เห็นสนมไม่กี่คนกำลังเที่ยวเล่นกับประมุขชิง ถึงได้ยืนรออยู่ไม่ไกล แล้วส่งสายตาให้ซ่างกวนชิง
ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างๆ โค้งกายเตือนประมุขชิงที่กำลังพูดคุยยิ้มแย้มทันที “ฝ่าบาท ทูตซ้ายซือหม่ามาแล้วขอรับ”
ประมุขชิงโบกมือทันที เหล่านางสนมที่หาโอกาสอยู่กับฝ่าบาทไม่ได้ง่ายๆ ทำได้เพียงถอยออกไปอย่างไม่เต็ม
ตอนนี้ซือหม่าเวิ่นเทียนถึงได้รีบเดินเข้ามา หลังจากทำความเคารพก็รายงานว่า “ฝ่าบาท สายลับที่อยู่ฝั่งทัพใหญ่แดนรัตติกาลรายงานเข้ามา พบความเคลื่อนไหวผิดปกติของทัพใหญ่แดนรัตติกาล ระดมพลจำนวนเท่าไหร่ไม่ทราบแน่ชัดครับ”
ประมุขชิงร้องอ๋ฮ แล้วถามอีกว่า “ระดมพลไปไหน?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบ “ทิศทางไปไม่ชัดเจน คงจะจำกัดการใช้ระฆังดารา ตัดขาดการติดต่อกับภายนอก นอกจากนี้สายลับที่อยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อก็รายงานด่วนเข้ามา พบว่าหนิวโหย่วเต๋อจับตัวเหวินเจ๋อและคนที่กองทัพองครักษ์ส่งไปเอาไว้หมดแล้ว”
ประมุขชิงสีหน้าบึ้งตึงทันที “แม้แต่คนของข้าก็กล้าจับเหรอ เจ้าโจรทรามนั่นคิดจะทำอะไร อยากก่อกบฏเหรอ?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “สถานการณ์ไม่ชัดเจน สายลับก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รู้เพียงว่าตอนที่กำลังนอน หนิวโหย่วเต๋อได้รับข้อความจากใครบางคน แล้วจู่ๆ ก็บอกว่าเกิดเรื่องแล้ว ออกจากห้องนอนไปทันที จากนั้นถึงได้มีการจับกุมเกิดขึ้น สายลับบอกด้วยว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลเหมือนมีการระดมพล ส่วนสาเหตุและทิศทางการเคลื่อนไหวยังไม่ทราบแน่ชัด!”
……………