พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2019 เรื่องดี
“เกิดเรื่องขึ้นเหรอ?” ประมุขชิงตะลึงเล็กน้อย เอียงหน้ามองไปทางซ่างกวนชิง
ซ่างกวนชิงเข้าใจ จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อพวกเหวินเจ๋อตรงนั้นเสียเลย แต่ติดต่อแล้วไม่ได้ผล ส่ายหน้าเบาๆ ให้ประมุขชิงเพื่อสื่อว่าติดต่อไม่ได้ เท่ากับพิสูจน์รายงานของซือหม่าเวิ่นเทียนแล้ว พวกเหวินเจ๋อถูกจับแล้วจริงๆ
“จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้?” ประมุขชิงสงสัย แล้วถามอีกว่า “ช่วงนี้แดนรัตติกาลมีความเคลื่อนไหวผิดปกติอะไรหรือเปล่า?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ไม่ได้ยินว่ามีอะไรผิดปกติขอรับ…ใช่แล้ว ตรงจุดที่ห่างจากแดนรัตติกาลไม่ไกล ช่วงนี้มีความเคลื่อนไหวผิดปกติเล็กน้อย เหมือนจะมีการระดมพลทัพใต้เร่งด่วน แต่ไม่นานก็สงบลงเหมือนเดิม หน่วยตรวจการซ้ายลองสืบดูนิดหน่อย เหมือนจะเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้ว ส่วนเรื่องรายละเอียดสายลับไม่รู้ชัดเจนขอรับ”
“สืบต่อไป! แล้วก็ฝั่งโจรทรามนั่นด้วย ให้เขาชี้แจงมา บังอาจจับคนของข้า!” ประมุขชิงทำเสียงฮึดฮัด มาจับคนของเขาโดยไม่มีเหตุผล ทำให้เขาไม่พอใจมาก
ซือหม่าเวิ่นเทียนรีบโน้มน้าว “ฝ่าบาท ทางฝั่งหนิวโหย่วเต๋อรอสักสองสามวันแล้วค่อยขอคำชี้แจงได้ไหมขอรับ ทางนั้นเพิ่งจับคนไป ถ้าฝั่งนี้เอาเรื่อง จะไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อสงสัยก็คงยาก จะทำให้สายลับถูกเปิดโปงได้ง่าย ทางที่ดีให้ราชินีสวรรค์ออกหน้าถามจะดีกว่า!”
คำพูดนี้ค่อนข้างมีเหตุผล ประมุขชิงเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็รู้สึกว่าสายลับข้างกายหนิวโหย่วเต๋อมีบทบาทมาก ตอนนี้ได้รับความเชื่อใจจากหนิวโหย่วเต๋ออย่างลึกซึ้ง มีสิ่งที่ไม่อาจแทนที่ได้ คนที่อยู่ในระดับหนิวโหย่วเต๋อ ต่อให้อยากจะแทรกสายลับเข้าไป แต่ก็ใช่ว่าอยากจะเข้าใกล้ก็เข้าใกล้ได้ แม้แต่เขาเองก็ต้องคำนึงถึงสายลับเช่นกัน พยักหน้าบอกว่า “เรื่องนี้เจ้าปรึกษากับซ่างกวนว่าจะทำยังไง”
“ขอรับ!” ทั้งสองโค้งตัวเอ่ยรับพร้อมกัน
ส่วนประมุขชิงในวันนี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีอารมณ์สุนทรีย์ ให้ซ่างกวนชิงเรียกพวกสนมที่ไล่ไปก่อนหน้านี้กลับมาอีก
เมื่อเห็นบรรดาสนมกลับมาพูดคุยยิ้มแย้มข้างกายประมุขชิงอีกครั้ง ซือหม่าเวิ่นเทียนก็รู้สึกเหนือความคาดหมายนิดหน่อย ถูกไล่ไปแล้วเรียกกลับมาอีกเป็นภาพที่พบเห็นได้น้อยมาก เรื่องระหว่างชายหญิงเป็นสิ่งที่ทุกคนเลี่ยงยาก แต่ประมุขชิงก็ไม่นับว่าเป็นคนฝักใฝ่กามารมณ์เท่าไรนัก โดยทั่วไปหลังจากถูกงานรบกวนแล้ว ประมุขชิงก็ยากที่จะมีอารมณ์สนใจต่ออีก วันนี้กลับได้เห็นแล้ว
เขาอดไม่ได้ที่จะมองบรรดาสนมหลายครั้ง พบว่าทั้งหมดแปลกหน้ามาก หรือว่าฝ่าบาทถูกใจคนไหนเข้าแล้ว? เขาจดจำใบหน้าบรรดาสนมไว้ จากนั้นก็ถ่ายทอดเสียงถามซ่างกวนชิงที่เดินออกมาด้วยกัน “รบกวนผู้การใหญ่ส่งรายงานบรรดาสนมเหล่านั้นให้ข้าหน่อย” ผู้หญิงในวังเยอะเกินไป เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจดจำได้ทั้งหมด
ซ่างกวนชิงหยักหน้าเบาๆ เขาใจเจตนาของเขาแล้ว เพราะถ้าฝ่าบาทถูกใจผู้หญิงคนไหนจริงๆ คลุกคลีอยู่กับผู้หญิงคนนั้นค่อนข้างบ่อย เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัยของฝ่าบาท หน่วยตรวจการซ้ายจะต้องสืบกำพืดของผู้หญิงคนนั้นให้ชัดเจน
เพียงแต่ในใจซ่างกวนชิงรู้ชัด เขารู้จักประมุขชิงดีเกินไป รู้ว่าประมุขชิงไม่ได้ชอบใครจริงๆ หรอก แต่หนึ่งในนั้นคงมีวิธีการยั่วยวนความสนใจของประมุขชิง คาดว่าคงโปรดปรานอยู่สักระยะหนึ่ง เป็นความใคร่ระหว่างชายหญิงล้วนๆ ไม่นับว่าเป็นรักแท้อะไร คนที่ประมุขชิงชอบจริงๆ ยังคงเป็นคนที่อยู่ตำหนักเย็น
ทว่าเรื่องพวกนี้เขาไม่มีทางอธิบายให้ซือหม่าเวิ่นเทียนรู้ ซือหม่าเวิ่นเทียนต้องการรายชื่อ เขาก็แค่จัดการให้ตามระเบียบที่มีก็พอแล้ว
ทั้งสองถ่ายทอดเสียงปรึกษากันเรื่องที่ประมุขชิงเพิ่งสั่ง พอออกจากสวนดอกไม้ ก็เดินแยกกันออกไป
ซือหม่าเวิ่นเทียนออกจากพระตำหนักอุทยาน ส่วนซ่างกวนชิงก็มาถึงศาลาริมน้ำแห่งหนึ่งแล้วยืนเอามือไขว้หลัง
ผ่านไปครู่เดียว แม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งก็เร่งฝีเท้าเดินมาข้างหลังซ่างกวนชิง แล้วกุมหมัดคารวะ”ผู้การใหญ่”
คนคนนี้ชื่อตู้เฉียว เป็นหนึ่งในสามลูกน้องคนสนิทของซ่างกวนชิง อีกแรกชื่อเซี่ยงจง รับผิดชอบเรื่องทางการทหาร เป็นผู้บัญชาการองครักษ์เงาเช่นกัน คนที่สองชื่อตวนมู่อู๋ฮวน รับผิดชอบงานในวัง ส่วนอีกคนก็คือตู้เฉียวคนนี้ รับผิดชอบงานนอกวัง
ยามปกติทั้งสามเข้าออกวังสวรรค์ล้วนสวมเกราะรบ ทำแบบนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สะดุดตาเกินไปวังสวรรค์ ได้อยู่ในนามกองทัพองครักษ์ แต่กลับไม่ถูกกองทัพองครักษ์ควบคุม ฟังคำสั่งซ่างกวนชิงโดยตรง
ซ่างกวนชิงกล่าวเสียงเรียบว่า “แดนรัตติกาลเกิดการเคลื่อนไหวผิดปกตินิดหน่อย หลายวันก่อนในอาณาเขตทัพใต้ที่อยู่ติดแดนรัตติกาลก็มีการระดมพลเร่งด่วนเช่นกัน ให้ฝั่งสมาคมวีรชนสืบดูสักหน่อย ดูว่าจะสืบเจอเรื่องอะไรมั้ย”
“ขอรับ!” ตู้เฉียวเอ่ยรับ
ดาวเกาะคราม ระเบียงโพรงถ้ำที่สลักจากหน้าผาที่หันหน้าเข้าหาทะเล หนานโปหลับตารับลมทะเลเงียบๆ เหมือนกำลังไตร่ตรองเรื่องบางอย่าง แล้วก็เหมือนกำลังสัมผัสกับธรรมชาติ
จั่วเอ๋อร์ปรากฏตัวอยู่อย่างหลังเขา กล่าวทำความเคารพ “ผู้อาวุโส!”
พระปีศาจหนานโปหลับตาถามช้าๆ “ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว มีความคืบหน้าหรือยัง?”
จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “กำหนดเป้าหมายลงมือกับฝั่งสมาคมวีรชนแล้ว ตอนนี้กำลังหาวิธีสร้างสถานการณ์ เตรียมจะล่อเป้าหมายออกมา น่าจะใกล้แล้ว ส่วนสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เรื่องนี้เป็นความลับเกินไป คิดไปคิดมา คนที่น่าจะรู้ชัดที่สุดน่าจะเป็นประมุขชิง ส่วนคนที่ทำงานนี้ให้ประมุขชิง ก็น่าจะเป็นลูกน้องคนสนิทอันดับหนึ่งของประมุขชิงอย่างผู้การใหญ่วังสวรรค์ซ่างกวนชิง ถ้าคิดจะลงมือกับสองคนนี้ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้”
“แล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่ผู้การใหญ่วังสวรรค์จะไปเฝ้าการหลอมสมบัติด้วยตัวเอง เบื้องล่างย่อมมีคนช่วยเขาแบ่งเบาภาระอยู่แล้ว? เริ่มลงมือจากเบื้องล่างไม่ได้เหรอ?” หนานโปถาม
จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “เคยพิจารณาทางด้านนี้แล้ว ซ่างกวนชิงมีลูกน้องคนสนิทสามคน คนหนึ่งชื่อเซี่ยงจง คนหนึ่งชื่อตวนมู่อู๋ฮวน อีกคนชื่อตู้เฉียว ถ้าจะบอกว่ามีคนอื่นที่รู้ว่าที่หลอมสมบัติอยู่ที่ไหน ก็คาดว่าคงเป็นสามคนนี้ แต่ทั้งสามปลีกตัวอยู่ที่วังสวรรค์ระยะยาว ต่อให้ออกมาข้างนอกก็ผลุบๆ โผล่ๆ เหมือนผี ไม่มีข้อมูลเส้นทางของสามคนนี้เลย ถ้าในปีนั้นตระกูลอิ๋งยังไม่ล้ม ในวังสวรรค์มีคนช่วยจับตาดูอยู่บ้างก็น่าจะมีวิธี แต่ตอนนี้ไม่รู้จะลงมือจากตรงไหนจริงๆ”
หนานโปลืมตาขึ้น แล้วค่อยๆ หันกลับมาจ้องนาง “เจ้าเตรียมจะบอกสิ่งนี้กับข้างั้นเหรอ?”
“ผู้อาวุโส พวกเรากำลังคิดหาวิธีการ ยังไม่เคยหยุดพักเลย” จั่วเอ๋อร์ค่อนข้างประหม่า
หนานโปจ้องนางอย่างเย็นเยียบนานมาก ก่อนจะบอกว่า “ข้ารอมาแสนนาน เนิ่นนาน ยาวนานเกินไปแล้ว เร่งมือ!” แม้จะไม่ได้ใช้น้ำเสียงข่มขู่ แต่กลับทำให้คนรู้สึกกดดันสุดๆ
“รับทราบ!” จั่วเอ๋อร์ได้แต่เอ่ยรับลูกเดียว
จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ในโถงรับแขก ขณะมองอีกฝ่ายนั่งสมาธิอมยิ้ม เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะเอามือเกาศีรษะ รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย
ไม่ปวดหัวไม่ได้หรอก เรื่องดี พอตาแก่นี่มาถึงก็เอ่ยปากพูดสิ่งที่ทำให้เขาตะลึงค้างแล้ว เปิดประตูเจอภูเขา เปิดเผยโดยตรงว่ามาสู่ขอให้เป่าเหลียน!
พูดตามตรง เหมียวอี้ไม่ได้มีความคิดทางด้านชายหญิงกับเป่าเหลียนเลย อย่างมากก็มีไมตรีเก่ากับลูกน้องเก่า อีกด้านหนึ่ง เรื่องความสวยนั้นเป่าเหลียนสวยแน่นอน แต่ยังไม่นับว่างามเลิศล้ำ ไม่ว่าจะเป็นภายในหรือภายนอกก็ไม่มีจุดไหนที่ดึงดูดเขาได้ ไม่มีทางทำให้เขาใจสั่นได้เลย เป็นลูกน้องจะดีที่สุด แล้วอีกอย่าง ตอนนี้เรื่องที่เขาทำก็ไม่ใช่เล็กๆ จะเอากะจิตกะใจจากไหนมารับเป่าเหลียนเป็นอนุภรรยา?
เขากลุ้มใจแล้ว อวี้หลิงเอาความมั่นใจจากไหนมาคุยเรื่องแต่งงานกับเขา? ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกเป่าเหลียน แต่ฐานะของเขาในตอนนี้ก็เห็นๆ กันอยู่ เจ้าสำนักเล็กๆ คนหนึ่งเอาความกล้าจากไหนมาเอ่ยปากเรื่องนี้? ตามหลักแล้ว เจ้าสำนักอวี้หลิงก็ไม่ใช่คนที่ชอบเกาะขาผู้มีอำนาจ ไม่อย่างนั้นตอนแรกคงรับปากเกาเหยียนที่มาสู่ขอไปแล้ว
หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ เม้มปากยิ้ม
เหมียวอี้กลับอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้าสำนัก ทำไมจู่ๆ ท่านถึงเอ่ยเรื่องนี้?”
อวี้หลิงถอนหายใจ “นายท่านคงจะจำเรื่องเกาเหยียนได้ ใต้หล้าล้วนเข้าใจผิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเป่าเหลียนกับนายท่าน นอกจากนายท่านแล้วใครจะกล้าแต่งงานกับนาง?”
“เอ่อ…” เหมียวอี้พูดไม่ออก เหตุผลนี้ทำให้เขาไม่มีทางโต้เถียงได้ อาศัยฐานะตำแหน่งของเขาในตอนนี้ ก็มีความเป็นไปได้จริงๆ
เมื่อเห็นเขาลังเล อวี้หลิงก็พูดสเสริมว่า “ฮูหยินบอกว่าเรื่องนี้นางสามารถตัดสินใจแทนได้ ก่อนข้ามาก็ได้รับอนุญาตจากฮูหยินแล้ว”
หยางเจาชิงงุนงง
“…” เหมียวอี้อ้าปากค้างอีกครั้ง จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าอวิ๋นจือชิวเคยพูดเรื่องนี้ ตอนนั้นเขานึกว่าอวิ๋นจือชิวแค่พูดเล่น ไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลย สงสัยจะเป็นเรื่องจริง อวี้หลิงคงไม่นำเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมอวี้หลิงถึงมาเอ่ยปากเรื่องนี้
หลังจากได้สติแล้ว เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิวทันที ต่อให้แน่ใจว่าอวี้หลิงจะไม่พูดซี้ซั้ว แต่ก็ต้องยืนยันสักหน่อย
อวิ๋นจือชิวยอมรับแล้ว ตอนแรกยังพูดหยอกเหมียวอี้ สุดท้ายก็บอกว่านางพิจารณาอย่างจริงจัง สาเหตุแรกเป็นเพราะอยากอาศัยเป่าเหลียนควบคุมสำนักลมปราณ สาเหตุรองก็คืออาณาเขตเหมียวอี้ไม่มีสถานที่เติมกำลังทหารสักเท่าไร มีเพียงสำนักลมปราณ หลังจากชุบเลี้ยงสำนักลมปราณให้ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่แค่ช่วยเติมกำลังทหารได้ ถ้าเสริมกำลังพลจนได้ระดับพื้นฐานแล้ว ก็ยังสามารถใช้งานให้เป็นหูเป็นตาได้ด้วย สามารถช่วยเหมียวอี้ควบคุมคนเบื้องล่างได้มากขึ้น
เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ผู้หญิงคนนี้พิจารณาเพื่อเขาจริงๆ จะบอกว่านางพูดผิดก็ไม่ได้ เพียงแต่ช่วงนี้มีบางเรื่องที่ให้นางรู้ไม่ได้ กลัวนางกังวล แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาทำได้เพียงเตือนว่า : น้องชิว ช่วงนี้ข้ากำลังวางแผนแทนที่ฮ่าวเต๋อฟาง ถ้าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย ก็น่าจะทำสำเร็จ
ความหมายที่จะสื่อก็คือ ทัพใต้มีอาณาเขตใหญ่โตขนาดนั้น ยังกลัวว่าจะไม่มีแหล่งเติมกำลังทหารอีกเหรอ?
อวิ๋นจือชิวตกใจไม่เบา ถามว่า : หนิวเอ้อร์ เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ? เจ้าเอาความโลภมาจากไหนเยอะขนาดนั้น?
เหมียวอี้ : เรื่องนี้วางแผนไว้แล้ว เจ้าอยู่ที่พิภพเล็กอย่างสงบใจเถอะ เรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ ส่วนเรื่องเป่าเหลียน ตอนนี้ข้ายังไม่มีอารมณ์คิดเรื่องนี้ ช่างเถอะ
อวิ๋นจือชิวเงียบไปนาน แล้วเตือนอีกว่า : เจ้าไม่เคยควบคุมอาณาเขตที่ใหญ่ขนาดนั้นมาก่อน ยิ่งอาณาเขตใหญ่ก็ยิ่งซับซ้อน เจ้าจะเอาสภาพแวดล้อมของแดนรัตติกาลมาปรียบเทียบเพื่อคุมเบื้องล่างไม่ได้ ข้ารู้สึกว่าเจ้าควรรีบแต่งงานกับเป่าเหลียน เจ้าเคยคิดบ้างหรือเปล่า ต่อให้เจ้าสามารถยึดครองอาณาเขตทัพใต้ได้อย่างราบรื่น แต่ถึงยังไงเจ้าก็ผงาดขึ้นมาเร็วเกินไป รากฐานยังตื้นไปหน่อย เบื้องล่างยังมีคนมากมายที่ไม่ได้ขึ้นมาพร้อมกับเจ้า อีกด้านหนึ่งสำนักลมปราณก็มีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้า ถ้าเป่าเหลียนได้เป็นสำนักลมปราณเจ้าสำนัก เจ้าแต่งงานกับเป่าเหลียน ให้นางช่วยเจ้าฝึกสอนศิษย์ในสำนัก แล้วทยอยเติมเข้ามาเป็นรากฐานให้เจ้า คนพวกนั้นล้วนเป็นหูเป็นตาให้เจ้าได้ อย่างน้อยก็ภักดีต่อเจ้ามากกว่าคนทั่วไป ศิษย์จากสำนักทั่วไปเทียบไม่ติด นี่จะเป็นผลดีต่อเจ้าในอนาคต
ครั้งนี้ถึงคราวที่เหมียวอี้จะเงียบแล้ว หลังจากเงียบไปนาน ก็บอกกับอวิ๋นจือชิวอย่างจริงใจว่า : มีเรื่องหนึ่งที่ข้าเตรียมจะปิดบังเจ้าไว้ก่อน ในเมื่อพูดถึงขั้นนี้แล้ว ข้ารู้สึกว่าควรจะบอกเจ้าไว้ก่อน ก่อนหน้านี้ข้าก็เตรียมจะรับอนุภรรยาอยู่แล้ว เป็นความคิดของหยางชิ่ง แต่คนนั้นไม่ใช่เป่าเหลียน…
ไม่ใช่หวงฝู่จวินโหรวเช่นกัน เรื่องของหวงฝู่จวินโหรวปิดบังจนลุกลามเกินไป เขารู้จักนิสัยอารมณ์ของอวิ๋นจือชิวดี ดังนั้นจึงรู้สึกกินปูนร้อนท้องมาก ไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับแม่เสืออย่างอวิ๋นจือชิวเลย และไม่อยากให้เรื่องนี้ก่อความวุ่นวายในเวลานี้ด้วย
เมื่อได้ฟังสาเหตุว่าต้องการจะรับอนุภรรยา แม้อวิ๋นจือชิวจะไม่ได้พูดดีอะไร ด่าไปแล้วหนึ่งยก แต่ก็ยังฝืนใจตอบตกลง
…………………