พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2025 ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ
หอพิธี เรือนหอ ทั้งหมดถูกจัดเตรียมอย่างรวดเร็ว ข้างนอกมองไม่ออกเลยว่ามีความผิดปกติอะไร มีแค่ต้องเข้ามาในบ้านเท่านั้นถึงจะมองเห็นว่ามีโคมไฟและผ้าประดับงดงาม
ใครจะไปเชื่อว่าที่นี่คือสถานที่จัดงานแต่งงานของลูกสาวจอมพลสายเถาะผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลผู้สง่าผ่าเผย?
ทุกอย่างเรียบง่าย เรียบง่ายธรรมดาจริงๆ
ไม่มีแขกมาร่วมแสดงความยินดี มีเพียงลูกน้องคนสนิทไม่กี่คนของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น
ในห้องงดงามสดใส เพียงแต่ไม่กี่คนที่อยู่ในห้องดูเย็นชา ผังก้วนกับจาหรูเยี่ยนนั่งสง่าอยู่เบื้องบน สวมเสื้อผ้าสวยงามเช่นกัน
เหมียวอี้สวมชุดแต่งงานสีแดง ยืนอยู่ลำพังกลางโถงใหญ่
จาหรูเยี่ยนที่นั่งสง่ากำลังจ้องประเมินเหมียวอี้ ไม่รู้ว่าทำไม ตอนนี้ถึงรู้สึกว่าเหมียวอี้ไม่ได้ดูเลวร้ายขนาดนั้นแล้ว ตอนนี้ดูองอาจห้าวหาญ มีพลังเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา อีกทั้งมีอำนาจมากขนาดนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่น่าเชื่อว่าบุคคลที่โดดเด่นอย่างนี้จะกลายมาเป็นลูกเขยของตน รู้สึกว่ายิ่งมองก็ยิ่งถูกชะตา มุมปากเริ่มอมยิ้มเล็กน้อย
ตอนนี้นางลองคิดดูดีๆ ก็รู้สึกว่าให้ลูกสาวแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อนั้นเหมาะสมแล้วจริงๆ ก่อนหน้านี้ตัวเองถูกความแค้นล้างสมองจนเลอะเลือน พิจารณาเรื่องราวอย่างไร้สติปัญญาเกินไป ยังเป็นผู้ชายของตัวเองที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกล ผู้หญิงอย่างนางเทียบไม่ติด
ฤกษ์งามยามดีมาถึงแล้ว ในโถงด้านข้าง หลินผิงผิงจูงผังเสี้ยวเสี้ยวสวมชุดกระโปรงสีแดงทั้งตัว คลุมผ้าสีแดงที่ศีรษะออกมา คอยชี้แนะบอกให้ไปยืนอยู่ข้างกายเหมียวอี้ จากนั้นหยางเจาชิ่งก็ส่งผ้าสีแดงที่มันเป็นรูปดอกไม้มาให้จูง แบ่งยื่นให้คู่บ่าวสาว
ขณะมองลูกสาว จาหรูเยี่ยนก็คิดเพ้อฝันไปต่างๆ นานา คนเป็นมารดาได้เป็นหวังเฟย ส่วนลูกสาวก็ได้กลายเป็นฮูหยินจอมพลตั้งแต่อายุยังน้อย ใต้หล้านี้ไม่มีแม่ลูกคู่ไหนที่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีหน้ามีตาเหมือนพวกนางอีกแล้ว คิดไปคิดมาก็เบิกบานใจ แค่รอโดนคนอื่นอิจฉาเท่านั้น
หยางเจาชิ่งกล่าวนำพิธี คู่บ่าวสาวคำนับพ่อแม่และกราบไหว้ฟ้าดิน จากนั้นก็ส่งเข้าเรือนหอ
ความคึกคักก่อนหน้านี้ไม่มีแล้ว จาหรูเยี่ยนถึงรู้สึกว่าเงียบเหงา ถึงรู้สึกว่าลูกสาวแต่งงานอย่างเรียบง่ายเกินไปแล้ว นางอดไม่ได้ที่จะปาดน้ำตา “นายท่าน ไม่ยุติธรรมต่อลูกสาวเลยจริงๆ”
ผังก้วนถอนหายใจ “สถานการณ์เป็นอย่างนี้ ทำได้แค่ท่านี้ก่อน เจ้าวางใจเถอะ หลังจากจบเรื่องแล้วข้าจะให้พวกเขาแต่งงานกันอย่างมีหน้ามีตา!”
ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ที่ส่งเจ้าสาวเข้าเรือนหอก็ออกมาอีกแล้ว
ในโถงใหญ่จัดโต๊ะเพียงโต๊ะเดียว ตอนนี้ไม่แบ่งนายแบ่งบ่าวแล้ว นายบ่าวที่มีจำนวนน้อยจนนับนิ้วได้นั่งเบียดอยู่โต๊ะเดียวกัน ร่วมแสดงความยินดี!
หลังจากเลี้ยงฉลองจบแล้ว ผังก้วนและฮูหยินก็ไปพักผ่อนที่เรือนรับแขก หยางเจาชิ่งกับเหยียนซิวเฝ้าอยู่ในลานบ้าน หลินผิงผิงกับเสวี่ยหลิงหลงกำลังช่วยคู่บ่าวสาวทำพิธีอยู่ในห้อง
สวีถังหรานเป็นฝ่ายขอรับหน้าที่ทำงาน ลาดตระเวนอยู่ในจวนผู้สำเร็จราชการอย่างเอาจริงเอาจัว สีหน้าท่าทางเคร่งขรึม แต่ในใจกลับระงับความดีใจไม่อยู่
สาเหตุที่เขาดีใจก็ไม่ได้ซับซ้อน ขนาดเรื่องที่เป็นความลับอย่างนี้เขาก็ยังได้เข้าร่วม จะเห็นได้ว่านายท่านยังเชื่อใจเขาอยู่
ขณะเดียวกันเขาก็เดาได้แล้ว ว่านายท่านแอบแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับผังก้วน ลองคิดดูก็จะรู้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว
ยิ่งคิดก็ยิ่งฮึกเหิม จากประสบการณ์ของเขา เขาไม่กลัวว่านายท่านจะก่อเรื่อง กลัวก็แต่นายท่านจะไม่ขอเรื่อง เพราะทุกครั้งที่นายท่านก่อเรื่อง ก็จะเป็นเวลาที่เขาจะได้เลื่อนตำแหน่งสูงตามไปด้วย ทั้งกังวลทั้งตื่นเต้นอย่างแท้จริง
ภายใต้แสงจันทร์ ทั้งจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลดูปกติทุกอย่าง
ในเรือนหอ เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออก คล้องแขนดื่มสุรา หลินผิงผิงกับเสวี่ยหลิงหลงรู้ว่าไม่มีเรื่องเกี่ยวข้องกับตัวเองแล้ว ไม่สะดวกจะอยู่ต่อให้ทำลายฉากอันงดงามของบ่าวสาว จึงทำความเคารพด้วยรอยยิ้มที่สนิทสนมแล้วถอยออกไป
ผังเสี้ยวเสี้ยวที่สวมชุดสีแดงทั้งตัวนั่งสงบอยู่ข้างเตียง มองไม่ออกว่าระวังตัวและประหม่า สายตาจ้องตรงไปที่เหมียวอี้
แม้จะได้ยินชื่อเสียงของชายคนนี้มานานแล้ว และเคยแอบเพ้อฝันว่าถ้าตัวเองได้เป็นเหมือนอวิ๋นจือชิว ได้เจอผู้ชายแบบหนิวโหย่วเต๋อสักคนจะดีขนาดไหน ทว่าต่อให้ฝันก็นึกไม่ถึง เพิ่งครั้งแรกที่ได้พบผู้ชายคนนี้ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะได้แต่งงานกับเขาแล้ว ตอนนี้ก็เข้าเรือนหอแล้ว
เหมียวอี้ขมวดคิ้วมุ่น เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในเรือนหอ เขาเองก็นับว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวเวลาฆ่าคน คนที่ตายด้วยน้ำมือเขามีเยอะจนนับไม่หมด แต่เวลาทำเรื่องแบบนี้แล้วรู้สึกผิดจริงๆ อดไม่ได้ที่จะแอบด่าว่าหยางชิ่งช่างออกความคิดที่ไม่เข้าท่า
พอนึกถึงแผนที่จะใช้เล่นงานผังก้วนในภายหลัง ถ้าเข้าเรือนหอกับผู้หญิงคนนี้จริงๆ แล้วในภายหลังจะเผชิญหน้าอย่างไรล่ะ?
ขณะกำลังครุ่นคิดว่าจะอยู่ที่นี่สักประเดี๋ยวแล้วค่อยออกไปดีไหม ผลปรากฏว่าบังเอิญไปเห็นผังเสี้ยวเสี้ยวกำลังมองตนอยู่ตลอด ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดเดินอย่างงุนงง
ดวงตาทั้งสี่สบประสานกัน ฉากนี้ทำให้ผังเสี้ยวเสี้ยวแอบรู้สึกเขินอาย ถ้าพูดจากใจจริง นางก็แค่ไม่พอใจที่บิดามารดาเตรียมการอย่างนี้ให้นาง นางไม่ได้รู้สึกแย่กับเหมียวอี้ พอคิดว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว เรื่องนี้กลายเป็นความจริงแล้ว ในใจกลับรู้สึกหวั่นไหวราวกับน้ำที่มีระลอกคลื่น มีความรู้สึกบางอย่างที่บรรยายไม่ถูกกำลังก่อตัวขึ้น
ลักษณะของเหมียวอี้ดูน่าเกรงขาม แต่ผังเสี้ยวเสี้ยวกลับไม่แสดงความอ่อนแอ ข่มความคิดอย่างอื่นในใจเอาไว้ รวบรวมความกล้าพูดเสียงดังฟังชัดว่า “เหตุใดท่านสามีถึงขมวดคิ้วมุ่น เดินไปเดินมา หรือว่ารังเกียจข้า ดูถูกข้า?”
“…” เหมียวอี้อึ้งเล็กน้อย รู้สึกเหนือความคาดหมายนิดหน่อย จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มทันทีว่า “เปล่าเสียหน่อย ชอบต่างหากล่ะ”
ผังเสี้ยวเสี้ยวลุกขึ้นเดินเข้ามา มายืนตรงหน้าเขา “กลัวว่าจะปากไม่ตรงกับใจน่ะสิ เจ้าแต่งงานกับข้าทำไม เจ้ากับข้าต่างรู้อยู่แก่ใจ ไม่จำเป็นต้องพูดจาหลอกลวงแบบนี้หรอก”
“กล่าวเกินไปแล้ว มีใครบ้างไม่ชอบคนสวย จะพูดจาหลอกลวงได้ยังไง” เหมียวอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“งั้นเหรอ!” ผังเสี้ยวเสี้ยวเชิดคางท่าท้ายเขา จากนั้นก็ก้าวเท้าเบาๆ เดินอ้อมตัวเขาพร้อมมองสำรวจ
เหมียวอี้หันมองซ้ายทีขวาที อดไม่ได้ที่จะแอบส่ายหน้า ดูเป็นผู้หญิงอ่อนโยนสุภาพเรียบร้อยมาก นึกไม่ถึงว่าจะเจ้าอารมณ์มาก “เสี้ยวเสี้ยว ข้ารู้ว่าเจ้าโดนพ่อแม่บีบบังคับเรื่องนี้ มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ข้าเป็นคนหูแข็งมาก ไม่ว่าจะพูดอะไรข้าก็รับไหวทั้งนั้น”
เขากำลังคิดว่า ถ้าอีกฝ่ายไม่เต็มใจจริงๆ ก็สามารถเจรจากับนางดีๆ ได้ คิดหาทางให้นางร่วมมือดำเนินการตามแผนจนสำเร็จ หลังจากจบเรื่องค่อยให้อิสระแก่นาง
“มองกระบี่!” จู่ๆ ข้างหลังก็มีเสียงตะคอกของผู้หญิง ผังเสี้ยวเสี้ยวพลันช้อนกระบี่วิเศษมาไว้ในมือ กระบี่วิเศษ แสงสะท้อนคมกระบี่ราวกับกระสวยทอผ้า แสงเย็นสายหนึ่งแทงไปจ่อที่แผ่นหลังของเหมียวอี้โดยตรง
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ร่างกายไม่ขยับด้วย แค่พลิกมือดีดไปข้างหลัง เกิดเสียงดังแกร๊ง คมกระบี่เด้งเบี่ยงออกไปแล้ว
ผังเสี้ยวเสี้ยวกลับไม่ยอมเลิก โจมตีด้วยกระบี่อีกหลายครั้งต่อเนื่องกัน ทว่าเหมียวอี้กลับยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน มีเพียงเงานิ้วที่ดีดต่อเนื่อง มีเสียงแกร๊งๆ ดังไม่หยุด โจมตีกระบี่จนพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ผังเสี้ยวเสี้ยวตกใจไม่เบา ทำไมเหมือนมีตาหลังเลยล่ะ กระโปรงแดงปลิวว่อน พลิกตัวขึ้นมากลางอากาศ จ่อกระบี่ไปบนยอดศีรษะของเหมียวอี้
เงาแขนเหมียวอี้ขยับขึ้นมา ใช้สองนิ้วคีบคมกระบี่เอาไว้ พอออกแรง ก็สะบัดให้ผังเสี้ยวเสี้ยวมาอยู่ตรงหน้าตนทันที
ผังเสี้ยวเสี้ยวที่ตกลงพื้นออกแรงดึงกระบี่ ทว่าคมกระบี่ที่คีบอยู่ตรงนิ้วเหมียวอี้ติดแน่นมาก ขยับไม่ออกเลยสักนิด
อาศัยวรยุทธ์ของนางตอนนี้ แต่อยากจะพาลเกเรต่อหน้าเหมียวอี้ ช่างเป็นเรื่องน่าขำจริงๆ เมื่อสู้กับเหมียวอี้แล้วก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กสามขวบ
ดวงตาเหมียวอี้ฉายแววเย็นเยียบ “ชักกระบี่ที่เรือนหอ ทำไมล่ะ อยากจะวางแผนฆ่าสามีตัวเองเหรอ? มีอะไรไม่พอใจก็นั่งลงคุยกันดีๆ ไม่จำเป็นต้องควงดาบชักกระบี่”
สีหน้าผังเสี้ยวเสี้ยวไร้ซึ่งความหวาดกลัว “ถ้าจะฆ่าเจ้าก็คงไม่เตือนเจ้าหรอก! ขุนพลเป็นวีรบุรุษแห่งยุค ยังจะกลัวดาบในมือข้าเชียวหรือ? ข้าแค่อยากจะเห็นว่าขุนพลเป็นโจรลือชื่อหรือเปล่า ถ้าเป็นวีรบุรุษจริงๆ ข้าก็จะเชื่อฟังเจ้า แต่ถ้าเป็นโจรลือชื่อ ก็ไสหัวออกไปเอง!”
พอนึกได้ถึงคำว่า ‘มองกระบี่’ ที่ฝ่ายเตือนก่อนหน้านี้ ก็ดูไม่เหมือนกันลอบสังหารจริงๆ เหมียวอี้ทั้งโมโหทั้งอยากขำ “อย่างเจ้าเนี่ยนะ?”
“หรือว่ากลัวล่ะ?” ผังเสี้ยวเสี้ยวถาม
“ข้าเนี่ยนะกลัวเจ้า?” เหมียวอี้ถามกลั้วหัวเราะ “ได้ เจ้าจะลงมือยังไงล่ะ?”
ผังเสี้ยวเสี้ยวออกแรงชักกระบี่ออกมา แต่ขยับไม่ได้เลยสักนิด จึงกัดฟันบอกว่า “ข้ารู้ว่าวรยุทธ์ตัวเองสู้เจ้าไม่ได้ ถ้าเจ้าเก่งนักก็อย่าใช้พลังอิทธิฤทธิ์ มาประลองกันอย่างยุติธรรมสักสนาม!”
เหมียวอี้คลายนิ้วออก ชักกระบี่กลับไป ผังเสี้ยวเสี้ยวถือกระบี่คุมเชิง ท่าทางไม่ย่อท้อ
เห็นเพียงผ้าแดงบนศีรษะเหมียวอี้คลายมัดออกโดยไร้เสียง ตกลงในมืออย่างเงียบๆ สองมือถือผ้าแดงมาจ่อตรงตา แล้วมัดไปที่หลังศีรษะ ใช้มือข้างหนึ่งกลัดไว้ข้างหลัง แล้วใช้มืออีกข้างส่งสัญญาณมือเชิญ
“เจ้าคิดจะเอายังไง?” ผังเสี้ยวเสี้ยวไม่เข้าใจ
เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็น “ตามที่เจ้าบอก ไม่ต้องใช้พลังอิทธิฤทธิ์! เพิ่มเงื่อนไขอีกนิดหน่อย ข้าไม่ต้องใช้ดวงตา แค่ยืนอยู่ตรงนี้ ใช้มือเดียวรับมือกับเจ้า ภายในสามร้อยกระบวนท่า หากกระบี่ในมือเจ้าแต่ต้องข้าไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ก็ถือว่าข้าชนะแล้ว!”
ผังเสี้ยวเสี้ยวงุนงง ไม่ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ อาศัยแค่ร่างกายแบบมือเปล่ามาสู้กับกระบี่วิเศษของตน ทั้งยังปิดตายืนอยู่กับที่และใช้มือเดียว แม้แต่บิดาของตนก็คงไม่กล้าปวดเช่นนี้ นางถามด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “พูดจริงเหรอ?”
เหมียวอี้ที่ปิดตาสองข้างตอบเสียงเรียบ “ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ! แต่ถ้าเจ้าแพ้แล้ว ก็ต้องตอบรับเงื่อนไขข้าข้อหนึ่งเหมือนกัน”
“ว่ามา!” ผังเสี้ยวเสี้ยวกล่าว
“ไม่ว่าในภายหลังข้าจะทำอะไร เจ้าก็ห้ามบ่นห้ามเสียใจทีหลัง!”
ผังเสี้ยวเสี้ยวตอบว่า “ได้! ถ้าเจ้าชนะแล้ว ข้าก็จะแต่งกับไก่ตามไก่ แต่งกับสุนัขตามสุนัข ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ข้าก็จะไม่บ่นไม่เสียใจทีหลัง มองกระบี่!” นางตอบอย่างไม่ลังเล ออกกระบี่ยังไม่ลังเลเช่นกัน คมกระบี่แทงออกมาอีกแล้ว
แกร๊ง! เงานิ้วเด้งออกมาอีกแล้ว คมกระบี่สะเทือนออก แทงเบี่ยงไปอีกแล้ว
นี่แค่ท่าเดียว ผังเสี้ยวเสี้ยวก็แอบตกใจแล้ว นางสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์เลยจริงๆ ไม่มีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์เลยสักนิด ต่อให้ไม่ได้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ แต่ก็มือไวกว่าที่นางจินตนาการไว้มาก ทั้งยังไม่ต้องใช้ตาดู ใช้นิ้วคีบได้อย่างสบาย ราวกับบนมือมีดวงตา แม้แต่การหลบมุมที่คมกระบี่แทงออกมาก็แม่นยำไร้ที่เปรียบ
ในเรือนหอมีแสงสะท้อนคมดาบทันที ผังเสี้ยวเสี้ยวใช้วิชากระบี่จนตาลาย แสงเย็นวนเวียนรอบกาย เหาะขึ้นเหาะลงรอบๆ เหมียวอี้
เหมียวอี้ใช้แค่มือปกป้องตัวเอง ร่างกายส่ายไปส่ายมาเล็กน้อย บางครั้งก็เอนหน้าเอนหลัง เดี๋ยวก็นั่งลงเดี๋ยวก็ยืนขึ้น แต่สองเท้ายังอยู่ที่เดิม ไม่ก้าวไปไหนเลยจริงๆ
“สิบ…ยี่สิบ…สามสิบ…” เหมียวอี้นับทุกๆ สิบกระบวนท่า
ในเรือนหอมีเสียงแกร๊งๆ ไม่หยุด หยางเจาชิ่งกับเหยียนซิวที่อยู่ในลานบ้านด้านนอกมองหน้ากันเลิกลั่ก ในเรือนหอมีกิจกรรมนี้ด้วยเหรอ?
สุดท้ายดหยียนซิวก็ทนไม่ไหว กังวลว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับเหมียวอี้ ถลันตัวไปตรงประตูเรือนหอ ตะโกนเรียกว่า “นายท่าน!”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า!” เหมียวอี้ตอบ เหยียนซิวถึงได้ถลันตัวออกไป
ผังเสี้ยวเสี้ยวยิ่งโจมตีก็ยิ่งตกใจ ถ้าจะบอกว่าอีกฝ่ายมองลอดผ่านผ้าปิดตา แต่ตอนที่ตัวเองอ้อมไปโจมตีข้างหลังอีกฝ่ายล่ะ จะอธิบายอย่างไร แถมอีกฝ่ายยังแบ่งสมาธิมานับได้อย่างสบายๆ อีก นับกระบวนท่าที่นางลงมือ
“สองร้อย!” เหมียวอี้ที่นับจำนวนสองร้อยกำลังโยกร่างกายอยู่ท่ามกลางกระบี่ กล่าวอย่างใจเย็นว่า “ข้าไปมาได้อิสระท่ามกลางกำลังพลมากมาย ฝีมือเล็กน้อยเท่านี้ยังกล้ามาประลองกับข้าอีกเหรอ? ไม่พอ! สองร้อยสาม…”
ลักษณะท่าทางสบายๆ ยามอยู่ท่ามกลางกองทัพนับพันหมื่นแบบนั้น ทำให้ผังเสี้ยวเสี้ยวที่กำลังรุกโจมตีไม่หยุดตาเป็นประกาย ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าเป็นขุนพลผู้ห้าวหาญสมคำร่ำลือ
………………