พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2046 เคลื่อนทัพออกจากแดนรัตติกาล
การเคลื่อนทัพใหญ่นั้นต้องให้เหตุผลที่สามารถทำให้กำลังพลเบื้องล่างไปสู้อย่างสุดกำลัง หล่อหลอมขวัญกำลังใจทหาร เพราะมีใครอยากหลับหูหลับตาเอาชีวิตไปทิ้ง
ผังก้วนมีเหตุผลว่าจะล้างความอัปยศให้ลูกสาว การได้แทนที่ฮ่าวเต๋อฟางล้วนเป็นผลประโยชน์ของทุกคน
ส่วนฮ่าวเต๋อฟางก็ปราบกบฏ คนเบื้องล่างดิ้นรนสู้สุดชีวิตก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง หลังจากผ่านศึกเลือดที่ไปแล้ว ผู้ที่สร้างผลงานก็จะได้เลื่อนตำแหน่งพรวดพราดราวกับทะยานขึ้นไป
นี่ไม่ใช่การเข่นฆ่าระหว่างคนไม่กี่คนเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่มิตรภาพหรือความรักจะบีบบังคับให้ทำได้ แต่นี่คือศึกสำหรับคนจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่ว่าเหตุผลที่ให้ไปจะฟังดูดีหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ต้องทำให้รู้ว่าสู้ไปเพื่ออะไร!
การต่อสู้ระหว่างผังก้วนกับฮ่าวเต๋อฟาง ไม่รู้ว่ากวางจะตกอยู่ในมือใคร ไม่รู้ว่าใครจะชนะ สองวีรบุรุษสู้กัน ฝ่าบาทให้สัญญาแล้ว นี่คือโอกาสดีที่ทัพใหญ่ฝ่ายเราจะได้ครอบครองสายเถาะ!…นี่คือคำพูดที่เหมียวอี้สั่งให้บรรดาแม่ทัพถ่ายทอดลงไปต่อทัพใหญ่ บอกทุกคนอย่างสง่าผ่าเผยว่าต้องการจะครอบครองอาณาเขตสายเถาะ!
ประโยคสั้นๆ ไม่กี่ประโยค แต่กลับทำให้ทั้งทัพใหญ่แดนรัตติกาลเดือดพล่าน ถูกขังอยู่ที่แดนรัตติกาลมาหลายปี เกียรติยศความร่ำรวยที่เคยสูญเสียไป ความหวังถูกจุดประกายขึ้นมาในชั่วพริบตาเดียว
ระดมทัพใหญ่ ลับฟันเหลาเล็บมาหลายปี ก็เพื่อวันนี้เท่านั้น ราวกับมังกรเร้นกายออกจากหุบเขา เคลื่อนทัพออกจากแดนรัตติกาล!
กำลังพลหลายสิบล้านพลันปรากฏตัวที่ตลาดผี ล้อมตึกศาลาสัตยพรตเอาไว้ เป็นกำลังพลที่เฝ้าแดนรัตติกาล
ในตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านยืนริมหน้าต่าง กำลังมองแสงโคมริบหรี่ด้านนอก ถามอย่างเฉื่อยชาว่า “ทัพใหญ่แดนรัตติกาลออกเดินทางแล้วเหรอ?”
“เคลื่อนทัพแล้วขอรับ ไม่รู้ว่าศึกนี้หนิวโหย่วเต๋อจะทำอย่างไร?” เว่ยซูที่อยู่ข้างหลังตอบ
“ไม่รู้ชัด เขาไม่ยอมคายแผนการรบให้รู้เลย แค่ให้ฝั่งนี้ให้ความร่วมมือเท่านั้น ตอนนี้ทำได้เพียงคาดเคทีละก้าวตามสถานการณ์ แบบนี้ก็จี้โดนจุดอ่อนของพวกเราเหมือนกัน ท่านพ่อคุ้นเคยกับการซ่อนกำลังพลของตระกูลไว้หลังม่าน หลายปีมานี้ของตระกูลเซี่ยโห้ว คนระดับแกนกลางภายในยังขาดสายตาในการบัญชาการทัพทำศึก” เฉาหม่านกล่าว
เว่ยซูพยักหน้าเบาๆ “ว่ากันว่าเขาเชี่ยวชาญการรบ ทั้งยังวางแผนไว้นานแล้ว คาดว่าคงทำได้ไม่แย่นักหรอกขอรับ”
ตำหนักสวรรค์ พระตำหนักอุทยาน ในตำหนักใหญ่
“หนิวโหย่วเต๋อส่งกำลังพลไปล้อมตึกศาลาสัตยพรต?” ประมุขชิงหันตัวมาถามอย่างสนใจ
ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้า “ขอรับ ทางตลาดผีส่งข่าวมา ข่าวนี้ยืนยันแล้ว”
“เห็นได้ชัดว่ากลัวฝั่งตระกูลเซี่ยโห้วฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวาย ตัดปัญหาที่จะตามมาในภายหลังก่อน เป็นคนที่ใช้งานทหารได้อย่างเฉียบขาด” อู๋ฉวี่ที่กำลังยืนหน้าแผนที่ดาวเงยหน้าถาม
ประมุขชิงเลิกคิ้ว “ในเมื่อตระกูลเซี่ยโห้วให้การสนับสนุนผังก้วนมากขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะมีวิธีการอะไรสร้างอุปสรรคให้หนิวโหย่วเต๋อ ข้าจะตั้งตารอดู”
“หนิวโหย่วเต๋อกับเฉาหม่านยักคิ้วหลิ่วตาใส่กันมานานมาก เกรงว่าในบรรดากลุ่มอำนาจหลายฝ่าย ตระกูลเซี่ยโห้วจะรบกวนหนิวโหย่วเต๋อได้น้อยที่สุดขอรับ” ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าว
กำลังพลแดนรัตติกาลล้อมตึกศาลาสัตยพรต ชั่วพริบตาเดียวก็สะเทือนไปถึงอำนาจแต่ละฝ่ายแล้ว
ในห้องหนังสือของจวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงถามคำถามเดียวกับประมุขชิง “หนิวโหย่วเต๋อส่งกำลังพลไปล้อมตึกศาลาสัตยพรตเหรอ?”
ในจวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีที่กำลังจ้องแผนที่ดาวถามอย่างไม่แน่ใจ “ล้อมตึกศาลาสัตยพรตเหรอ? สงสัยหนิวโหย่วเต๋อจะเคลื่อนทัพตามคำสั่งแล้วจริงๆ ไม่รู้ว่าประมุขชิงให้สัญญาผลประโยชน์อะไรกับเขา!”
“นอกจากแบ่งเขตแดนให้ขุนนางใหญ่แล้ว คาดว่าตอนนี้คงไม่มีสิ่งอื่นที่ทำโน้มน้าวเขาได้” ถังเฮ่อเหนียนกล่าว
โค่วเจิงหยุดเขย่าระฆังดาราในมือ แล้วรายงานว่า “สายลับฝั่งแดนรัตติกาลส่งข่าวสุดท้ายมาก่อนที่ทัพใหญ่จะระดมพลและปิดการติดต่อ จุดประสงค์ของหนิวโหย่วเต๋อชัดเจนมาก ประมุขชิงสัญญาว่าจะให้สายเถาะกับเขา”
ถังเฮ่อเหนียนบอกว่า “เป็นอย่างนี้จริงๆ ด้วย ประมุขชิงเตรียมการไว้อย่างดีแล้วจริงๆ ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อกู้สถานการณ์ให้ฮ่าวเต๋อฟางได้ แต่มีหรือที่ฮ่าวเต๋อฟางจะยอมให้ง่ายๆ”
โค่วหลิงซวีเอามือลูบเคราพลางหรี่ตา “ทัพใหญ่แดนรัตติกาลสะสมกำลังมานานแล้ว ขวัญกำลังใจทหารใช้งานได้ ใครที่ได้ครองทัพใต้ก็เกรงว่าต้องปวดหัวทั้งนั้น!”
ดาราจักรกว้างใหญ่ไพศาล คนจำนวนหนึ่งร้อยเบิกทางอยู่ข้างหน้า มีร้อยคนรั้งท้ายขบวนอยู่ข้างหลัง ร้อยคนคุ้มครองอยู่ทางซ้ายขวาบนล่างเป็นสี่ปีก ร้อยคนที่อยู่ตรงกลางเป็นศูนย์กลาง ระยะห่างระหว่างกันสามารถใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองแล้วเห็นกันได้ เหาะอย่างรวดเร็วอยู่ในดาราจักรตลอดทาง เหาะด้วยความเร็วสุดขีดจำกัด แต่ละคนบ้างก็มีแววตาฮึกเหิม บ้างก็มีแววตาเย็นเยียบล้ำลึก ในดวงตาเผยเจตจำนงที่จะหวนคืนสู่อำนาจอีกครั้ง
กำลังพลที่หนาแน่นอยู่ในกระเป๋าสัตว์ บ้างก็นั่งสมาธิ บ้างก็เช็ดถูอาวุธในมือ
ซิงอยู่ตรงทัพกลาง แม้จะใส่หน้ากากบนใบหน้าแล้ว แต่บนตัวกลับสวมเกราะรบ ในกระเป๋าสัตว์บนตัวนาง เหมียวอี้กับบรรดาแม่ทัพหลักล้อมอยู่หน้าแผนที่ดาว กำลังคาดคะเนสถานการณ์รบไม่หยุด คอยถ่ายทอดคำสั่งออกไปเป็นระยะ
ตรงจุดที่ไม่ไกลจากพวกเขา กลุ่มกำลังพลเดิมของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลส่งข่าวไปยังศูนย์กลาง คอยรับข่าวจากกำลังพลของผังก้วนกับฮ่าวเต๋อฟางเรื่อยๆ คอยระบุตำแหน่งบนแผนที่ดาวอย่างรวดเร็ว แล้วรายงานสถานการณ์ต่อมายังฝั่งพวกเหมียวอี้
พวกเหิงอู๋เต้ารู้สึกทึ่งกับความสามารถในการรวบรวมข่าวกรองของฝั่งเหมียวอี้ ที่รู้ทิศทางการเคลื่อนไหวของฮ่าวเต๋อฟางก็ยังพอเข้าใจได้ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะรู้ทิศทางความเคลื่อนไหวกำลังพลของผังก้วนชัดเจนด้วยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าในหลายปีมานี้ผู้ตรวจการใหญ่ลงทุนกับอาณาเขตทัพใต้ไปมากขนาดไหน
สิ่งที่เรียกว่าวางแผนรอบคอบคิดการณ์ไกลคืออะไรล่ะ แบบนี้ไงที่เรียกว่าวางแผนรอบคอบคิดการณ์ไกล จะเห็นได้ว่าผู้ตรวจการใหญ่เตรียมตัวให้ทัพใหญ่โจมตีออกจากแดนรัตติกาลมาตลอด แค่ความสามารถในการรวบรวมข้อมูลพวกนี้ ก็ทำให้พวกเหิงอู๋เต้าเกิดความรู้สึกนับถือแล้ว สำหรับการออกรบในสนาม ยังมีอะไรที่สำคัญกว่าข่าวกรองอีกล่ะ? ถ้าคาดคะเนแผนการของฝ่ายตรงข้ามได้ล่วงหน้า ก็หมายความว่าสามารถตัดสินได้แม่นยำ ทำให้ลดสถานการณ์ที่ไม่เป็ลผลดีกับตัวเองได้เยอะมาก ลดความเสียหายได้ในระดับสูงสุด
ทัพใหญ่มุ่งตรงเข้าไปในประตูดวงดาวแห่งหนึ่ง ตอนที่โผล่ออกมากลางอากาศ กำลังพลของฮ่าวเต๋อฟางก็หลีกทางให้ ได้แต่มองส่งทัพใหญ่แดนรัตติกาลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“ผ่านไปอย่างราบรื่น!”หนานกงหรูอวี้ออกมาข้างนอกชั่วคราว พอกลับเข้ามาที่ศูนย์บัญชาการในกระเป๋าสัตว์อีกครั้ง นางก็รายงานให้ทุกคนรู้
หวงลี่ชี้ตำแหน่งที่ทัพใหญ่กำลังเดินทางไปบนแผนที่ดาวทันที “ผู้ตรวจการใหญ่ ถ้าตรงไปอีก ในประตูดวงดาวถัดไปก็คืออาณาเขตสายเถาะแล้ว นี่นับว่าเป็นด่านยุทธศาสตร์ที่ค่อนข้างสำคัญ ตรงนั้นสะสมกำลังพลไว้สิบล้าน เกรงว่าจะต้องทำศึกใหญ่กันยกหนึ่ง!”
เหมียวอี้จ้องแผนที่ดาว “นี่ไม่ใช่เป้าหมายของพวกเรา หลังจากเข้าไปแล้วก็สังหารฝ่าไปเลย อย่าพัวพัน!”
ทุกคนสบตากันแวบหนึ่ง นี่หมายความว่าอะไร?
เหมียวอี้เคลื่อนไหวนิ้วชี้บนแผนที่ดาวเร็วมาก ปรับขยายแผนที่ดาวส่วนหนึ่งขึ้นมา ชี้ตรงประตูดวงดาวแห่งหนึ่งพร้อมบอกว่า “ตรงนี้ ทางเข้าจากน่านฟ้าชวดอู้ไปน่านฟ้าขาลกุ่ย”
ทุกคนจ้องไปตรงนั้น เหิงอู๋เต้ากล่าวอย่างลังเล “น่านฟ้าขาลกุ่ยคือรังของผังก้วน เส้นทางระหว่างน่านฟ้าชวดอู้กับน่านฟ้าขาลกุ่ยคือทางที่ใกล้ที่สุดของทัพอารักขาที่จะมาช่วยฮ่าวเต๋อฟาง หรือพูดได้อีกอย่างว่า เป็นทางที่ทัพอารักขาของฮ่าวเต๋อฟางจะต้องผ่านแน่นอน”
เหมียวอี้พยักหน้า “ใช่แล้ว ทัพอารักขาที่มาช่วยฮ่าวเต๋อฟางบุกหน้าเหมือนผ่าลำไผ่ กำลังเร่งเดินทางมาที่นี่ พวกเขารีบไปช่วยฮ่าวเต๋อฟาง เป็นไปไม่ได้ที่จะอ้อมเส้นทาง มีแต่ต้องโจมตีจุดยุทธศาสตร์นี้ให้แตกเท่านั้น ถึงจะกู้สถานการณ์ให้ฮ่าวเต๋อฟางได้เร็วที่สุด เห็นได้ชัดว่าผังก้วนก็ตระหนักได้ถึงจุดนี้แล้วเช่นกัน ดูจากข่าวกรองที่ส่งมา ผังก้วนกำลังระดมพลกลุ่มใหญ่เร่งมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ จะต้องพยายามสกัดไว้อย่างสุดกำลังแน่นอน กำลังพลของฮ่าวเต๋อฟางถูกตระกูลเซี่ยโห้วเล่นงานจนเรียกรวมลำบาก ให้ความร่วมมือกับผังก้วนในการโจมตีก่อกวน ทุกที่ล้วนถูกตรึงไว้ ส่วนฝั่งผังก้วนก็ไม่มีปัญหานี้อยู่ กำลังพลทัพอารักขาที่จะมาช่วยฮ่าวเต๋อฟางก็ไม่มีปัญหานี้อยู่เช่นกัน ดังนั้นตรงนี้จึงกลายเป็นกุญแจสำคัญของศึกตัดสิน เรื่องราวดูคึกคักขนาดนี้ ถ้าขาดพวกเราเข้าไปประสมโรงด้วยก็อาจจะน่าเสียดายเกินไป!”
ทุกคนมองหน้ากันะลิกลั่ก กุญแจสำคัญของศึกตัดสินมันก็สำคัญอยู่หรอก แต่ถ้าถ่อไปยังจุดที่สำคัญขนาดนี้โดยตรง พวกเราจะทนไหวเหรอ?
ม่ายจื่อบอกตรงๆ เลยว่า “ผู้ตรวจการใหญ่โปรดไตร่ตรอง ทัพอารักขาของฮ่าวเต๋อฟางเป็นทหารที่ฝีมือดีที่สุดในบรรดากำลังพลทั้งหมดของฮ่าวเต๋อฟาง มีประมาณแปดสิบล้านนาย ถ้าผังก้วนจะโจมตีสกัดไว้ อย่างน้อยก็ต้องระดมพลให้มากกว่าสองเท่า กำลังพลสองสามร้อยล้านตะลุมบอนกัน ถ้ากำลังพลห้าสิบล้านของพวกเราเข้าไปร่วมด้วย เกรงว่าจะสร้างความเสียหายหนักมาก!”
เหมียวอี้อธิบายว่า “เพื่อที่จะไปช่วยฮ่าวเต๋อฟางให้เร็วที่สุด ทัพเกรียงไกรแปดสิบล้านมีแต่ต้องโจมตีฝ่าไป ตลอดทางที่โจมตีมานี้ก็เสียหายไปประมาณสิบล้านแล้ว กำลังพลของผังก้วนยังต้องผนึกกำลังกับตระกูลเซี่ยโห้วเพื่อตรึงกองหนุนสายอื่นอีก สุดท้ายกำลังพลที่มารวมตัวกันที่นี่ได้คงเหลือประมาณสองร้อยล้าน พอกำลังพลพวกนี้มรวมตัวกัน ก็เท่ากับเจียดเวลาให้กำลังพลที่อยู่ใกล้รังของผังก้วนแล้ว จะระดมกองหนุนขึ้นมาอีกภายในเวลาสั้นๆ นั้นเป็นเรื่องยาก หลังจากทัพเกรียงไกรของฮ่าวเต๋อฟางกับทัพสกัดของผังก้วนทำศึกเลือดกันแล้ว ผลที่ตามมาจะเป็นยังไงล่ะ? รอจนพวกเราไปถึง อย่างน้อยทั้งสองฝ่ายก็เสียหายเกินครึ่ง ทั้งยังเป็นทหารที่สู้จนหมดแรง พอพวกเราไปถึง ก็เพียงพอให้โค่นล้มฝั่งหนึ่งได้อย่างง่ายดาย!”
ทุกคนได้ยินแล้วสับสนนิดหน่อย ไม่รู้เหมียวอี้กำลังเอาอะไรมาเชื่อมโยงกัน ฟังดูเหมือนเข้าท่า แต่ในนั้นล้วนมีช่องโหว่ ผู้ตรวจการใหญ่น่าจะไม่เลอะเลือนถึงขนาดนั้นสิ คิดจะทำอะไรกันแน่?
“รอให้พวกเราไปถึงที่นั่น เกรงว่าพวกเขาคงสู้จนได้ผลแพ้ชนะแล้ว” หนานกงหรูอวี้กล่าว
เหมียวอี้เคาะบนแผนที่ดาว “ก็เลยต้องไปทางลัดไง ไปในเส้นทางที่ใกล้ที่สุด ทะลุผ่านไปเลย!”
ทุกคนตกใจทันที เหิงอู๋เต้านับนิ้ว แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ สายเถาะ สายมะโรง สายมะเส็ง สามอาณาเขตนี้เชื่อมต่อและติดกัน ถ้าเริ่มจากตรงที่พวกเราอยู่แล้วไปทางลัดเลย ก็ยังต้องผ่านประตูดวงดาวอีกสามสิบสามแห่ง ในระหว่างนั้นผ่านในสายเถาะสิบสามครั้ง ผังก้วนไม่มีทางปล่อยพวกเราผ่านไปโดยตรง ระหว่างทางมีโจมตีสกัดแน่นอน หลังจากไปถึงแล้วพวกเราก็จะกลายเป็นหทารที่อ่อนเพลียหมดแรง ผู้ตรวจการใหญ่ ทะลุผ่านไปโดยตรงไม่เหมาะสม!ข้าน้อยรู้สึกว่า ทีจริงแล้วจะช่วยฮ่าวเต๋อฟางได้หรือไม่ก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือพวกเราออกแรงแล้ว ตอนนี้ทางเลือกที่ดีที่สุดของพวกเราก็คือ รวมกับกำลังพลของฮ่าวเต๋อฟางแล้วกำจัดกำลังพลของผังก้วนให้ได้มากที่สุด แบบนี้ผังก้วนก็จะไม่เป็นโล้เป็นพายเช่นกัน สามารถรักษากำลังของพวกเราไว้ได้มากที่สุด ในอนาคตเวลาแบ่งอาณาเขตแล้ว พวกเราจะได้ไม่ถึงขั้นขาดคนทำงาน!”
“เจ้าคิดว่าอีกฝ่ายจะมอบอาณาเขตสายเถาะให้ง่ายๆ เหรอ? เกรงว่าหลังจากจบเรื่องแล้ว คงถึงคราวที่พวกเราจะได้สู้ตายกับกำลังพลฝั่งตระกูลฮ่าวน่ะสิ!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ ไม่เอ่ยอะไรมากอีก นกมือพูดตัดบทว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องเถียงกันอีกแล้ว ข้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ความรวดเร็วคือหัวใจของการทำศึก จัดการตามนี้!”
ทุกคนตรงนี้ทั้งรู้สึกจนใจทั้งรู้สึกว่ามีเงื่อนงำ พากันแอบครุ่นคิดเงียบๆ
ใช้เวลาไม่นาน หลังจากทัพใหญ่ผ่านประตูดวงดาวแห่งแรกแล้ว ในที่สุดก็เผชิญหน้ากับกำลังพลสายตระกูลผัง
ทัพใหญ่แดนรัตติกาลออกมาหมด พอพุ่งใส่ก็โจมตีจนแตกกระเจิง แทบจะไม่เปลืองแรงอะไรเลย พวกเหมียวอี้ก็แค่โผล่หน้าออกมานิดหน่อยเท่านั้น จากนั้นก็หลบเข้าไปในศูนย์บัญชาการอีกเพื่อเร่งเดินทางต่อไป
กำลังพลสายตระกูลผังสิบล้านที่คอยสกัดถูกตีแตกไปอย่างนี้แล้ว ขั้นตอนที่ราบรื่นนี้ทำให้พวกเหิงอู๋เต้ารู้สึกเหลือเชื่อ ทัพใหญ่แดนรัตติกาลนอนจำศีลมาไม่กี่ปี อย่าบอกนะว่าดุดันห้าวหาญถึงระดับนี้แล้ว?
ขั้นตอนที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลทะลวงผ่านในครั้งต่อๆ มาก็สุดแสนจะราบรื่นเช่นกัน ตอนที่ผ่านสายมะโรงกับสายมะเส็ง กำลังพลฝั่งตระกูลฮ่าวก็ย่อมเปิดทางให้ตลอด ส่วนกำลังพลสายตระกูลผังที่มาสกัดไว้เป็นระยะก็ถูกทัพใหญ่แดนรัตติกาลโจมตีแตกได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่ได้เห็นได้เจอมาตลอดทางทำให้พวกเหิงอู๋เต้าพบว่าตัวเองตัดสินสถานการณ์ผิดไป เหมือนตัวเองจะประเมินศักยภาพฝ่ายตัวเองต่ำไป สิ่งที่ผู้ตรวจการใหญ่วินิจฉัยไว้ก่อนหน้านี้ต่างหากที่ถูกต้องแม่นยำ
ศึกที่ทำมาตลอดทางนี้ ทำให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเกิดขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้นหลายเท่า พบว่าที่แท้แล้วพวกเราเก่งกาจขนาดนี้เลยเหรอ ทัพฝ่ายศัตรูที่เจอกับพวกเราทนการโจมตีไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว ความวิตกกังวลเล็กน้อยก่อนออกรบหายไปหมดสิ้นแล้ว
ในเรือนลึกของจวนตระกูลโค่ว โค่วหลิงซวีที่ยืนอยู่หน้าแผนที่ดาวเอียงหน้าช้าๆ มองถังเฮ่อเหนียนที่อยู่ข้างกัน ถามว่า “ตีฝ่าไปได้อย่างราบรื่นอีกแล้ว?”
ถังเฮ่อเหนียนตอบด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง “นี่เป็นครั้งที่ห้าที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลโจมตีกำลังพลที่คอยสกัดแตกพ่าย ลองนับรวมทั้งตอนแรกและตอนหลัง โจมตีกำลังพลสายตระกูลผังไปเจ็ดสิบล้านกว่าแล้วขอรับ!จากรายงานของสายลับที่อยู่ตามรายทาง ทัพใหญ่แดนรัตติกาลโจมตีได้เหี้ยมโหดดุดัน กำลังพลสายตระกูลผังต้านไม่ไหวเลย ไม่มีทางถ่วงไว้ได้ เมื่อเทียบกันแล้ว กำลังรบของฮ่าวเต๋อฟางยังห่างชั้นเลยขอรับ!”
โค่วหลิงซวีอดไม่ได้เทียบกำลังรบของตัวเองกับกำลังรบของฮ่าวเต๋อฟาง เขามือสั่นทันที ถอนเคราเส้นหนึ่งออกมาโดยไม่รู้ตัว พึมพำช้าๆ ว่า “พยัคฆ์ร้ายออกจากภูเขาแล้ว!”
…………