พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2050 สิ้นอนาคตแล้ว
เมื่อฟังรายงานจบ ในดวงตาฮ่าวเต๋อฟางก็ฉายแววเดือดดาล พอนึกได้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองสั่งให้ลูกน้องปล่อยทัพใหญ่แดนรัตติกาลผ่านเข้ามา มีหรือที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะมาถึงเร็วขนาดนี้ เขาเข้าใจแล้ว ว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังเล่นละครกับผังก้วน ที่บอกว่าโจมตีกำลังพลร้อยล้านแตกได้ในชั่วพริบตาเดียวล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล!
ความเดือดดาลมาเร็วไปเร็ว เขาสงบนิ่งผิดปกติทันที จากนั้นหันหน้ากลับมาช้าๆ สายตาจ้องผังก้วนที่กำลังตื่นเต้นดีใจอยู่ไกลๆ ชูดาบในมือขึ้นมา แล้วตะโกนเสียงต่ำว่า “ตามข้าฝ่าวงล้อมไป ฆ่า!”
“ฆ่า!” กำลังพลเหลือไม่ถึงหนึ่งล้าน แต่กลับติดตามเขาฝ่าออกไปอย่างห้าวหาญไม่กลัวตาย
ฮ่าวเต๋อฟางองอาจห้าวหาญจริงๆ พอเขาลงมือ ก็นำกำลังพลสังหารฝ่าวงล้อมออกมาแล้ว ดันทุรังโจมตีฝ่าออกมาได้
ตามทิศทางที่ฮ่าวเต่อฟางฝ่าวงล้อมออกมา พลธนูที่รวมตัวกันอยู่ด้านนอกก็รีบทอดข้ามมาง้างธนูรออยู่ด้านหน้า พอพวกฮ่าวเต๋อฟางสังหารฝ่าวงล้อมออกมา ผังจื่อฉางก็ตะโกนสั่งทันที “ยิงธนู!”
ชั่วพริบตาเดียวลำแสงจำนวนมากก็ยิงใส่ตรงช่องโหว่ที่มีกลุ่มคนฝ่าออกมา
“ท่านอ๋อง!” กลุ่มแม่ทัพร้องตกใจ ดิ้นรนถลันตัวมาข้างหน้า ยกโล่คุ้มครองฮ่าวเต๋อฟาง
เสียงระเบิดดังตูมตาม คนนับพันถูกกำจัดในชั่วพริบตาเดียว ต่อให้ฮ่าวเต๋อฟางจะองอาจสักแค่ไหน แต่ก็จำต้องถูกบีบให้ถอยกลับออกไป ทัพใหญ่ที่ล้อมโจมตีรีบหุบไว้ ทำให้เขาตกอยู่ในวงล้อมอีกครั้ง
ฮ่าวเต๋อฟางเปลี่ยนทิศทางฝ่าวงล้อมอีก ทว่าทุกครั้งที่ทำเช่นนี้ก็ล้วนถูกกลุ่มธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยับยั้งไว้ ถูกกดดันให้กลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่มีทางฝ่าวงล้อมออกไปได้เลย กลับทำให้ลูกน้องตายเปล่า ฮ่าวเต๋อฟางจึงต้องกลับเข้ามาในทัพกลางอีกครั้ง มีแค่ความองอาจห้าวหาญ แต่กลับไม่มีที่ให้แสดงความองอาจ มองดูกำลังพลรอบข้างที่น้อยลงเรื่อยๆ ฮ่าวเต๋อฟางก็เริ่มหนักใจ
จุดยุทธศาสตร์ระหว่างน่านฟ้าชวดอู้กับน่านฟ้าขาลกุ่ย ศึกใหญ่จบลงไปฝั่งหนึ่งแล้ว
กำลังพลฝั่งตระกูลฮ่าวส่วนใหญ่โดนฆ่าตายหมด คนที่ยอมแพ้ก็โดนฆ่าตายเหมือนเดิม ผังก้วนบอกไว้ชัดเจนแล้วว่าต้องการสังหารกำลังพลสายฮ่าวเต๋อฟางให้หมดสิ้น
มีเพียงคนกลุ่มเดียวที่รอดชีวิต นั่นก็คือบรรดาอนุภรรยานับร้อยของฮ่าวเต๋อฟาง กำลังพลสายตระกูลผังยังปรานี แต่ละคนเป็นสาวงามหยาดเยิ้ม ล้วนเป็นเป็นรางวัลจากสนามรบ เรียกได้ว่าเป็นของดีที่สามารถเอาไว้ตบรางวัลได้
กำลังพลส่วนใหญ่กำลังเก็บกวาดสนามรบ ลู่หลงคุมตัวผู้หญิงนับร้อยเข้ามา ยื่นมือบอกใบ้เหมียวอี้ด้วยสีหน้าร่าเริง
เหมียวอี้กวาดสายตามองบนตัวผู้หญิงกลุ่มนี้ แต่ละคนเลือดท่วมตัว สีหน้าเศร้าโศกหวาดกลัว มองไม่ออกว่างดงามอย่างไร แต่ก็สามารถจินตนาการได้ คนที่ฮ่าวเต๋อฟางรับเป็นอนุภรรยาจะต้องเป็นยอดหญิงงามที่พบได้น้อยในใต้หล้าแน่นอน ดูจากรอยยิ้มชั่วร้ายของกำลังพลสายตระกูลผังก็รู้แล้วว่าหมายความว่าอะไร เห็นได้ชัดว่ากระหายอยากได้ส่วนแบ่งความสำราญนี้ ผู้หญิงของฮ่าวเต๋อฟางใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสได้นอนด้วย
“แม่ทัพลู่ หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ
ลู่หลงตอบกลั้วหัวเราะ “ทัพใหญ่แดนรัตติกาลมาช่วยตั้งไกล จะให้พี่น้องแดนรัตติกาลเหนื่อยเปล่าไม่ได้ เพื่อแสดงน้ำใจ พี่น้องเบื้องล่างก็ไม่ว่าอะไร ผู้ตรวจการใหญ่เชิญเลือกก่อนได้เลย ให้พี่น้องแดนรัตติกาลเลือกไปก่อนครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือฝั่งพวกเราค่อยแบ่งกัน ผู้ตรวจการใหญ่คิดว่ายังไง?” เขารู้สึกว่าตัวเองทำอย่างนี้ถือว่าใจกว้างมากแล้ว
เมื่อกล่าวเช่นนี้ ซิง ชิงเยว่ หนานกงหรูอวี้ ม่ายจื่อและคนอื่นๆ ขมวดคิ้ว ถึงอย่างไรก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน บางคนถึงขั้นแค้นว่าทำไมผู้หญิงพวกนี้ถึงความเด็ดเดี่ยวเอาเสียเลย ไม่สู้ฆ่าให้ตายไปตอนรบดีกว่า จะได้ไม่ทำให้ผู้หญิงด้วยกันเสียหน้า
ทว่าพวกนางมีตำแหน่งสูง คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว[1] สำหรับยุคนี้ เพื่อที่จะมีชีวิตรอด ผู้หญิงพวกนี้เลือกอย่างนี้ก็พอจะเข้าใจได้ ในใต้หล้านี้ นี่คือวิธีเอาชีวิตรอดของผู้หญิงจำนวนไม่น้อย ต่อให้เป็นโลกมนุษย์ มีผู้หญิงตั้งมากมายเท่าไรที่ต้องเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้มีชีวิตรอด
พวกชิงเยว่เข้าใจได้เช่นกัน ศึกใหญ่ควรมีรางวัล สาวงามเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตบรางวัลให้ทหาร ถ้าเปลี่ยนให้พวกนางเป็นแม่ทัพหลัก เมื่อเจอกับสถานการณ์แบบนี้ก็ต้องทำอย่างนี้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นทุกคนจะฆ่ากันเอาเป็นเอาตายไปเพื่ออะไรล่ะ ไม่ใช่เพื่ออำนาจ เงินทองและสาวงามหรอกหรือ บางคนถึงขั้นยอมทิ้งอำนาจบางส่วนหรือทรัพย์สินบางอย่างเพื่อสาวงามด้วยซ้ำ บางคนก็ยิ่งรักหญิงงามแต่ไม่รักแผ่นดิน ด้วยเหตุนี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าสาวงามมีแรงดึงดูดขนาดไหน โดยเฉพาะผู้หญิงที่ติดยี่ห้อฮ่าวเต๋อฟางเอาไว้ พวกนางยิ่งมีแรงดึงดูด
“แม่ทัพลู่ ขออภัยที่ข้าพูดตรง พวกนางล้วนเป็นผู้หญิงของฮ่าวเต๋อฟาง เก็บไว้เกรงว่าจะเป็นปัญหาในภายหลัง!” เหมียวอี้กล่าวอย่างเย็นชา
ผู้หญิงกลุ่มนี้ได้ยินแล้วเงยหน้าขึ้นอย่างหวาดกลัว ทำไมพวกนางถึงยอมแพ้ล่ะ ยอมแพ้ก็เพื่อเอาชีวิตรอดไม่ใช่หรอกหรือ? คนที่มีปณิธานแน่วแน่รบตายไปหมดแล้ว พวกนางจึงขอร้องด้วยน้ำเสียงเศร้าโวก
“ผู้ตรวจการใหญ่โปรไว้ชีวิต”
“ข้ายินดีปรนนิบัติผู้ตรวจการใหญ่เหมือนวัวเหมือนม้า”
“ข้าไม่กล้ามีใจคิดเป็นอื่นแน่นอน”
“ผู้ตรวจการใหญ่ พวกเราก็โดนกดดันเหมือนกัน ถึงได้มาเป็นศัตรูกับผู้ตรวจการใหญ่ ต่อไปไม่กล้าแล้วค่ะ!”
ลู่หลงกล่าวกลั้วหัวเราะ “ผู้ตรวจการใหญ่ก็เห็นหมดแล้ว ผู้หญิงพวกนี้ไม่เป็นโล้เป็นพาย ลูกสาวหลานสาวของฮ่าวเต๋อฟางย่อมไม่กล้าเก็บไว้อยู่แล้ว ฆ่าตายไปหมดแล้ว ส่วนคนพวกนี้ถ้าจับตาดูใกล้ชิดสักหน่อย ก็ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ฮ่าวเต๋อฟางมีอำนาจมาหลายปี ย่ำยีผู้หญิงของเขาจะเกินไปหน่อยหรือเปล่า? แม่ทัพลู่ไว้หน้าข้าสักครั้ง ไว้หน้าฮ่าวเต๋อฟางสักหน่อยเถอะ!”
“เอ่อ…” ลู่หลหันกลับไปมองพี่น้องที่มองตาปริบๆ แวบหนึ่ง ศึกนี้สู้ลำบากเกินไปแล้ว คนตายไปตั้งเท่าไร พอเหมียวอี้พูดแบบนี้ ก็ทำให้เขาลำบากใจมาก ถ้าไม่ตอบตกลงก็จะฟังดูเหลวไหล เพราะอีกฝ่ายช่วยเหลือไว้ตั้งมากมาย
เหมียวอี้ไม่สนใจเช่นกันว่าเขาจะตอบตกลงหรือไม่ เขายกมือขึ้นมา แล้วเอียงหน้าส่งสัญญาณให้ชิงเยว่
“เตรียมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!” ชิงเยว่สั่งทันที
กำลังพลกลุ่มหนึ่งรีบง้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เล็งไปที่ผู้หญิงกลุ่มนั้น ทำเอากำลังพลสายตระกูลผังที่คุมตัวพวกนางอยู่ตกใจจนรีบถลันหลบ
“ผู้ตรวจการใหญ่…” ผู้หญิงกลุ่มนั้นกล่าววิงวอนขอชีวิต
“ยิงธนู!” ชิงเยว่ออกคำสั่งอย่างไม่ลังเล เด็ดเดี่ยวกว่าเหมียวอี้เสียอีก ในฐานะผู้หญิงด้วยกัน นางไม่อยากเห็นพวกนางปล่อยไก่ให้อับอาย
ปั้งๆๆ ลำแสงยิงออกไปเป็นระลอก เสียงกรีดร้องที่ดังสนั่นหายไปแล้ว กลุ่มยอดหญิงงามกลายเป็นหมอกเลือดไปแล้ว เกราะรบโลหะปลิวว่อน
กลุ่มยอดหญิงงามหายไปอย่างนี้แล้ว ในกำลังพลของทั้งสองฝ่าย มีคนไม่น้อยที่รู้สึกปวดใจและเสียใจ ปวดใจสุดๆ แต่ละคนมองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่เหมือนมองสัตว์ประหลาด ลู่หลงถึงขั้นสงสัย ว่าท่านนี้คงไม่ได้แสร้งเป็นรักษาตัวให้บริสุทธิ์เพื่อให้คุณหนูเสี้ยวเสี้ยวเห็นหรอกใช่มั้ย? ถึงขั้นนั้นเชียวหรือ ถ้าเจ้าจะรับสาวงามไว้สักสองสามคน จอมพลผังคงไม่ว่าอะไรหรอก จำเป็นต้องฆ่าให้หมดด้วยเหรอ ถ้าไม่เอาจริงๆ ก็มอบเป็นรางวัลให้ลูกน้องไปสิ
หลังจากชิงเยว่โบกมือให้ลูกน้องเก็บธนู ก็กุมหมัดคารวะเหมียวอี้อีกเพื่อรายงานผลการปฏิบัติงาน
เหมียวอี้สีหน้าเย็นชา แต่ในใจกลับรู้แจ่มแจ้ง ว่าพวกผู้หญิงที่แต่งงานกับฮ่าวเต๋อฟาง อาจจะไม่ได้มีความรักต่อฮ่าวเต๋อฟางเท่าไรนัก พูดตรงๆ ก็คือล้วนหวังจะมีชีวิตรอด หวังจะใช้ชีวิตให้สบายขึ้นสักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงของฮ่าวเต๋อฟางหรือผู้หญิงของคนอื่นก็ล้วนเป็นอนุภรรยา เขาทำแบบนี้ไม่ยุติธรรมต่อพวกนาง
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไป เขาก็อาจจะปิดตาข้างเดียวตามเสียงส่วนใหญ่ แต่สำหรับฮ่าวเต๋อฟาง เขายังต้องไว้หน้าสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องทำให้เสียเกียรติ
เขาสั่งฆ่าผู้หญิงพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นการทำเรื่องเลวอย่างเลือดเย็น แต่พวกหนานกงหรูอวี้กลับมองเหมียวอี้ด้วยแววตาชื่นชม
“แม่ทัพลู่ ขออภัย ก่อกวนอารมณ์สุนทรีของพี่น้องแล้ว แต่ได้โปรดเข้าใจ เพราะถึงยังไงเมื่อก่อนฮ่าวเต๋อฟางก็เป็นพันธมิตรกับข้าข้าต้องไว้หน้าเขาสักหน่อย!” เหมียวอี้กล่าวขณะโบกมือชี้ไปรอบๆ “ของเชลยศึกอย่างอื่นล้วนเป็นของพวกเจ้า พวกเราไม่เอาสักอย่างเดียว!”
พอเขาพูดแบบนี้ ในใจลู่หลงก็สบายขึ้นมาหน่อย คำพูดชี้ทำให้เขาชี้แจงต่อเบื้องล่างได้สะดวก จึงหัวเราะแหง้ๆ แล้วบอกว่า “ในเมื่อผู้ตรวจการใหญ่พูดแล้ว ลู่ยังจะพูดอะไรได้อีก คิดเสียว่าผู้หญิงพวกนี้ถูกผู้ตรวจการใหญ่รับไว้หมดแล้ว”
“ข้าไม่มีเวลาอยู่ตรงนี้แล้ว แม่ทัพลู่โปรดรีบเก็บกวาดสนามรบให้ไว จากนั้นรีบโจมตีรังของฮ่าวเต๋อฟาง กวาดล้างผู้รอดชีวิตของฮ่าวเต๋อฟางให้หมดสิ้น!” เหมียวอี้กล่าว
นี่เป็นงานที่สบาย ที่รังของฮ่าวเต๋อฟางไม่มีใครขัดขืนแล้วแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะได้ของดีเยอะกว่านี้ก็ได้ ลู่หลงย่อมไม่มีเหตุผลให้ไม่เต็มใจ เพียงแต่ยังขมวดคิ้วบอกว่า “จอมพลมีคำสั่ง สั่งให้ฝั่งนี้รีบถอนกำลังกลับไปสนับสนุน!”
เหมียวอี้บอกว่า “ทางฝั่งจอมพลผังข้าย่อมไปสนับสนุนเอง เจ้าไม่ต้องกังวล” ขณะที่พูดก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อผังก้วน
เมื่อได้ยินว่ากำลังพลของฮ่าวเต๋อฟางที่อยู่ฝั่งนี้ถูกปราบหมดแล้ว ผังก้วนก็ดีใจสุดๆ เขาไม่ให้ลู่หลงไปที่รังของฮ่าวเต๋อฟาง เพราะเมื่อฮ่าวเต๋อฟางที่อยู่ฝั่งนี้ถูกกำจัด ทหารเล็กๆ ที่เฝ้ารังก็คงจะหอบข้าวของหนีไปแล้ว ยังจะมีอะไรให้กินอีก กลับเป็นที่อื่นที่มีกำลังทหารไม่พอ ต้องการกำลังพลไปสนับสนุนเร่งด่วน ส่วนฝั่งนี้มีกำลังพลหลายสิบล้านของหนิวโหย่วเต๋ออยู่ เพียงพอที่จะรับมือทุกอย่างได้ ปลอดภัยเชื่อถือได้กว่าทหารที่อ่อนล้าหมดแรงของลู่หลง
ลู่หลงถือคำสั่งมาคุยกับเหมียวอี้ตามมารยาท จากนั้นต่างคนก็ต่างทำงานของตัวเอง
เหมียวอี้เก็บรวมกำลังพลแล้วเข้าประตูดวงดาวที่เปิดทางให้ เร่งเดินทางไปที่น่านฟ้าขาลกุ่ย
ในทัพกลาง เหมียวอี้ประกาศกลยุทธ์ใหม่อีกครั้ง เป็นกลยุทธ์สุดท้ายของศึกนี้เช่นกัน
ในที่สุด จุดประสงค์แท้จริงที่เคลื่อนทัพใหญ่ออกจากแดนรัตติกาลก็เปิดเผยออกมาแล้ว เรียกได้ว่าทำให้พวกเหิงอู๋เต้าตกตะลึงพรึงเพริด ปณิธานของผู้ตรวจการใหญ่น่าตกใจจริงๆ ความปรารถนาก็ยิ่งใหญ่จนทุกคนตระหนก ทำให้พวกเขาโน้มน้าวอยู่พักหนึ่ง ผลปรากฏว่าพอเหมียวอี้พูดสองสามประโยค พวกเขาก็เงียบแล้ว อีกทั้งแต่ละคนยังตาเป็นประกายด้วย ตื่นเต้นดีใจที่สุด
“ยินดีฟังคำสั่งผู้ตรวจการใหญ่!” พวกเหิงอู๋เต้ากุมหมัดคารวะเป็นเสียงเดียวกัน นับถือจนแทบจะหมอบกราบแล้ว อุบายห่วงโซ่ที่เป็นแผนซ้อนแผนแบบนี้ทำให้คนเลื่อมใสศรัทธาจริงๆ เจ้าแผนการขนาดนี้ ไม่แปลกใจที่ผงาดขึ้นมาได้เร็ว!
“อะไรนะ?”
ในจวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีตกใจมาก อุทานเสียงหลง
ถังเฮ่อเหนียนพยักหน้ายืนยันอีกครั้ง “ที่จริงแล้วทัพใหญ่แดนรัตติกาลเป็นกองหนุนของผังก้วน ทัพอารักขาของฮ่าวเต๋อฟางตกหลุมพราง แพ้ย่อยยับหมดแล้ว!”
โค่วเจิงแสยะยิ้ม “แสดงละครกับผังก้วนอยู่ตั้งนาน ข้าก็สงสัยว่าทำไมเขาบุกหน้าเหมือนผ่าลำไผ่ตลอดทาง เพราะฮ่าวเต๋อฟางเปิดทางให้ แล้วผังก้วนก็แสร้งทำ จะไม่บุกผ่านตลอดทางได้ยังไง!เกรงว่าสถานการณ์กองทัพของสองฝั่งจะอยู่ในมือเขาหมดแล้ว มีผังก้วนให้ความร่วมมืออีก ไม่แปลกใจที่จะมาถึงจุดทำศึกตัดสินได้ล่วงหน้า ที่บอกว่าโจมตีกำลังพลร้อยล้านแตกพ่ายก็เป็นแค่มุขตลกเท่านั้น!”
โค่วหลิงซวีเงยหน้าถอนหายใจ “ฮ่าวเต๋อฟางสิ้นอนาคตแล้ว!” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเศร้ารันทด ส่ายหน้าไม่หยุด
ตำหนักสวรรค์ ใจพระตำหนักอุทยาน ประมุขชิงเดือดดาลสุดขีด ใช้กำปั้นทุบแผนที่ดาวคว่ำ ตะโกนด่าว่า “สารเลว บังอาจทรยศข้า ดูหมิ่นบัญชาข้า!”
บรรดาลูกน้องคนสนิทเงียบงัน ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงจริงๆ วุ่นวายอยู่ตั้งนาน ที่แท้หนิวโหย่วเต๋อก็เป็นคนของผังก้วน แต่ถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็เหมือนจะไม่แปลก ผังก้วนกล้ากบฏต่อฮ่าวเต๋อฟาง แปลกเหรอที่จะสามารถดึงทัพใหญ่แดนรัตติกาลมาเป็นพวกได้?
“เจ้ายังกล้าพูดอักมั้ยว่าเขาไม่ใช่ขุนนางใจคด ยังกล้าพูดว่าข้าบีบเขาอีกมั้ย?” ประมุขชิงหันกลับไปชี้หน้าด่าโพ่จวิน
โพ่จวินเถียงไม่ออก
กลับเป็นเกาก้วนที่จู่ๆ ก็กุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ ตอนนี้ไม่ใช่ว่าโมโห ที่จริงจะว่าไปแล้วกลับเป็นเรื่องดีขอรับ!”
“เรื่องดี!” ประมุขชิงชี้หน้าเกาก้วนทันที ตะคอกอย่างโมโหว่า “น้ำเข้าสมองเจ้าแล้วหรือไง? ใต้หล้ารู้กันหมดว่าเป็นบัญชาของข้า ใต้หล้ารู้กันหมดว่าข้าโดนไอ้สารเลวปั่นหัว ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”
เกาก้วนกล่าวอย่างสุขุมว่า “ในศึกนี้ กำลังพลของผังก้วนได้รับความเสียหาย ฝ่าบาทสามารถติดต่อกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนได้ สั่งให้สองคนนั้นไปปราบผังก้วนกับหนิวโหย่วเต๋อ พอฮ่าวเต๋อฟางล้มแล้ว สองคนนั้นไม่มีอะไรให้ห่วงหน้าพะวงหลัง เกรงว่าคงยินดีที่จะได้เป็นเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อคนที่สอง มีหรือที่จะไม่ถวายชีวิตรับใช้ฝ่าบาท!พวกเขาสู้กันไปสู้กันมา เท่ากับกำลังช่วยทำให้แผนแบ่งอาณาเขตทัพใต้ของฝ่าบาทสำเร็จ ฝ่าบาทได้บรรลุเป้าหมายโดยไม่เปลืองแรงสักนิด จะไม่ใช่เรื่องดีเชียวหรือขอรับ?”
“ข้าน้อยเห็นด้วย!” ซือหม่าเวินเทียนกุมหมัดคารวะทันที
“ข้าน้อยเห็นด้วย!” พวกโพ่จวินกล่าวสนับสนุนเช่นกัน
ประมุขชิงอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็หัวเราะลั่น “ดี!ซ่างกวน ถ่ายทอดบัญชาของข้าไปให้กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวน!”
……………