พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2051 ใครเป็นโจรกบฏ?
เดิมทีเป็นสถานที่จัดการใหญ่โต แต่ตอนนี้กลับถูกกำลังทหารจำนวนมากล้อมไว้ อีกทั้งเจ้าบ่าวยังโดนพ่อตาฆ่าตายในวันแต่งงาน เรื่องแบบนี้ยังไม่ต้องพูดถึงว่าหาพบได้ยาก ทำให้คนสะเทือนใจจริงๆ
ที่คฤหาสน์ยังคงประดับผ้าและโคมไฟ แต่บรรยากาศไม่ใช่อย่างนั้นเลย
คนในบ้านยังสื่อสารพูดคุยกันได้ เพียงแต่ตอนนี้ขาดอิสระก็เท่านั้นเอง ตอนแรกก็ยังตกใจกลัวอยู่บ้าง แต่ตอนหลังอำนาจที่อยู่เบื้องหลังแต่ละคนล้วนรับประกันว่าจะไม่เป็นอะไร ทุกคนก็คิดเสียว่าลองสัมผัสประสบการณ์เลวร้ายสักครั้ง
ตอนแรกทุกคนคุยกันว่าเจ้าบ่าวโดนฆ่า ศึกระหว่างผังก้วนกับฮ่าวเต๋อฟาง ตอนหลังก็ได้ยินว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลมาช่วย แล้วทุกคนก็กำลังเดาผลแพ้ชนะของสองวีรบุรุษ
ตอนนี้ จู่ๆ ก็ได้ยินข่าวว่าฮ่าวเต๋อฟางตกหลุมพราง ที่จริงหนิวโหย่วเต๋อเป็นกองหนุนของผังก้วน เรียกได้ว่าสร้างความฮือฮาอยู่พักหนึ่ง ต่างก็บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อในกล้าจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าขัดบัญชาอย่างเปิดเผย!
เรื่องขัดบัญชาอย่างเปิดเผย ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าทำ ยังไม่ต้องพูดถึงเจ้าอาณาเขตแต่ละแห่งที่อาศัยกำลังพลแข็งข้อต่อเบื้องบน คนที่ตบหน้าประมุขชิงอย่างเปิดเผยล้วนมีจุดจบที่ไม่ดี บรรดาอ๋องสวรรค์ไม่มีใครกล้าทำอย่างนี้ แต่หนิวโหย่วเต๋อดันทำไปแล้ว ทุกคนต่างก็จับกลุ่มกันสองสามคนเพื่อเดาว่าหนิวโหย่วเต๋อจะมีจุดจบอย่างไร
หวงฝู่จวินโหรวกับก่วงเม่ยเอ๋อร์จับกลุ่มอยู่ด้วยกัน ไม่มีอะไรน่าสนทนา พวกนางกำลังเก็บซ่อนความกลัดกลุ้มไว้ ต่างก็เป็นห่วงเหมียวอี้
พวกนางไม่เคยเข้าร่วมศึกใหญ่ขนาดนี้ และไม่เคยมีอำนาจทางทหารมากขนาดนี้ด้วย การปลุกปั่นสถานการณ์ในใต้หล้าระหว่างผู้ชายพวกนี้ ทำเอาเกิดลมคาวฝนเลือด บางครั้งการตัดสินใจเลือกของพวกเขาก็ทำให้พวกนางไม่เข้าใจ
ในขณะนี้เอง ด้านนอกก็มีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย กำลังพลที่ล้อมอยู่ถอนกำลังออกไปแล้ว
ทุกคนกำลังจะออกไปดูความเคลื่อนไหว แต่ใครจะคิดว่าจะเปลี่ยนกำลังพลกลุ่มใหม่มาล้อมพวกเขาแทน แม่ทัพหลักที่โผล่หน้ามาก็คือม่ายจื่อ ม่ายจื่อเหาะลาดตระเวนอยู่บนฟ้ารอบหนึ่ง
มีคนไม่น้อยที่จำม่ายจื่อได้ และจำแม่ทัพคนอื่นๆ ของแดนรัตติกาลได้เช่นกัน บรรดาแขกเหรื่อที่ถูกล้อมไว้เริ่มฮือฮาอีกครั้ง
“ทัพใหญ่แดนรัตติกาล!”
“หนิวโหย่วเต๋อมาถึงแล้วเหรอ?”
ทุกคนเงยหน้ามองไปรอบๆ แต่กลับไม่เห็นเงาเหมียวอี้ หวงฝู่จวินโหรวกับก่วงเม่ยเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง
นอกลานบ้าน ซูชิงฉวนที่เก็บกำลังพลแล้วไปเจอเหมียวอี้ แลวกุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้ม “ผู้ตรวจการใหญ่บุกโจมตีมาไกล ลำบากแล้ว”
เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ “คนบ้านเดียวกันไม่พูดจาเป็นอื่น ตัวประกันข้างในเป็นยังไงบ้าง?” เขากังวลนิดหน่อยว่าหวงฝู่จวินโหรวจะเป็นอะไรไป
“ไม่เป็นอะไร ทุกคนว่านอนสอนง่าย” ซูชิงฉวนตอบส่งเดช แล้วบอกอีกว่า “ทางฝั่งนี้ส่งต่อให้ผู้ตรวจการใหญ่แล้ว ข้าจะนำคนไปช่วยจอมพลอีกแรง”
“ดี!” เหมียวอี้พยักหน้า กุมหมัดคารวะ แล้วมองส่งซูชิงฉวนนำคนเหาะขึ้นฟ้าไป
ตั้งแต่นี้ไป ก็เท่ากับเขารับช่วงต่อคุมตัวประกันเหล่านี้อย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับแผนการของเขา เขาต้องจับตัวประกันกลุ่มนี้ไว้ในมือตัวเอง ผู้คุ้มกันที่แขกเหล่านี้พามาด้วยมีไม่น้อยเลย ถ้าเสียการควบคุมเมื่อไร ก็หมายความว่ากำลังพลกลุ่มใหญ่ด้านนอกจะเสียการควบคุม
ส่วนเหตุผลที่เหมียวอี้บอกผังก้วนก็คือ เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับฮ่าวเต๋อฟาง
สำหรับเหตุผลนี้ ผังก้วนก็พอเข้าใจได้ อย่างไรเสียก่อนหน้านี้อีกฝ่ายคือพันธมิตรขิงฮ่าวเต๋อฟาง จะให้เผชิญหน้ากับฮ่าวเต๋อฟางก็คงอึดอัด ไม่จำเป็นต้องโดนฮ่าวเต๋อฟางตะโกนด่าต่อหน้าทุกคน การถูกแดกดันว่าทรยศพันธมิตรต่อหน้าฝูงชนไม่ใช่เรื่องที่มีเกียรติอะไร ขอเพียงหนิวโหย่วเต๋อยินดีส่งกำลังพลไปช่วยก็พอแล้ว
ส่วนเหมียวอี้ก็ส่งกำลังพลไปสนับสนุนแล้วจริงๆ
ในขณะนี้เอง จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงตะโกนเรียกที่ปลาบปลื้มยืนดีของจาหรูเยี่ยนดังขึ้น “ลูกเขย!”
เหมียวอี้หันกลับไปมอง เห็นเซียวผิงโป ผู้บัญชาการทหารอารักขาประจำจวนจอมพลนำกำลังพลกลุ่มหนึ่งคุ้มกันจาหรูเยี่ยนและครอบครัวเดินเข้ามา สองพี่น้องแซ่ผังก็อยู่เช่นกัน ยังมีกลุ่มอนุภรรยาของผังก้วนด้วย เมื่อผังเสี้ยวเสี้ยวเห็นสามีตัวเองมาช่วยอย่างที่คาดไว้ บนใบหน้าก็เผยความรู้สึกปลาบปลื้ม ทั้งยังเจือด้วยความขวยเขินเล็กน้อย
คำว่า ‘ลูกเขย’ ทำให้ผังอวี้เหนียงตะลึงไปชั่วขณะ บรรดาอนุภรรยาของผังก้วนก็มีสีหน้างุนงงเช่นกัน ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป
ที่จริงการพบกันวันนี้คือเจตนาของผังก้วน จนป่านนี้แล้ว ผังก้วนต้องการประกาศความสัมพันธ์ระหว่างเหมียวอี้ จะได้นำมาขู่อำนาจฝ่ายอื่นได้บ้าง ทำให้ขวัญกำลังใจทหารมั่นคงด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะผังก้วนเอ่ยปาก มีหรือที่จาหรูเยี่ยนจะกล้าประกาซความลับนี้
ฝั่งกำลังพลแดนรัตติกาลก็มีคนงงไม่น้อยเช่นกัน
เห็นเพียงเหมียวอี้ใบหน้าเจือรอยยิ้ม รีบเดินเข้าไปกุมหมัดโค้งกายให้จาหรูเยี่ยน “คำนับท่านแม่ยาย!”
“ครอบครัวเดียวกันไม่ต้องมากพิธี!” จาหรูเยี่ยนรีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า ประคองเหมียวอี้ให้ยืนตรงด้วยตัวเอง จากนั้นคว้าข้อมือเหมียวอี้ อัธยาศัยดีสุดๆ ย่อมไม่ลืมที่จะเรียกว่า “ลูกเขย ฮ่าวเต๋อฟางสิ้นอนาคตแล้วเหรอ?”
เหมียวอี้พยักหน้า “กองหนุนของฮ่าวเต๋อฟางถูกลูกเขยปราบหมดแล้ว เรื่องเด็ดหัวฮ่าวเต๋อฟางก็ง่ายแค่ชั่วดีดนิ้ว ไม่อย่างนั้นลูกเขยไม่มาอยู่ที่นี่หรอก”
“ดีๆๆ!” จาหรูเยี่ยนหน้าชื่นตาบานทันที นางไม่รู้ว่าหลังจากกำจัดฮ่าวเต๋อฟางแล้วจะมีเรื่องดีๆ ตามมาอีกเท่าไร รู้เพียงว่าในเมื่อฮ่าวเต๋อฟางแพ้แล้ว ผู้ชายของนางจะได้เป็นอ๋องสวรรค์แล้วแน่นอน เช่นนั้นนางก็จะได้เป็นหวังเฟย ตอนนี้ไม่ว่าจะมองเหมียวอี้อย่างไรก็ถูกตาต้องใจ
เหมียวอี้ถูกผู้หญิงอย่างนางจ้องมองต่อหน้าฝูงชนจนรู้สึกอึดไปทั้งตัว ไม่เห็นหรือว่าพวกลูกน้องกำลังมองข้าด้วยสายตาแปลกๆ
เหมียวอี้จำเป็นต้องกระแอมหนึ่งที แล้วมองไปที่ผังเสี้ยวเสี้ยว “เสี้ยวเสี้ยวมาแล้วเหรอ”
จาหรูเยี่ยนรีบปล่อยมือ จากนั้นกวักมือเรียกผังเสี้ยวเสี้ยวที่อยู่ข้างหลัง “นางหนูนี่ ยังไม่รับมาคำนับสามีตัวเองอีก”
ผังเสี้ยวเสี้ยวกัดริมฝีปาก ท่ามกลางสายตาฝูงชน นางก้าวขึ้นมาช้าๆ อย่างกระบิดกระบวน “ผู้น้อยคำนับท่านสามี!”
นางเองก็รู้เช่นกัน ว่าตั้งแต่นี้ไป ควาสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับหนิวโหย่วเต๋อก็จะประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว
เหมียวอี้ก้าวข้าไปประคองนาง กุมมือที่เรียวสวยของนางไม่ปล่อยต่อหน้าฝูงชน แล้วกล่าวกับจาหรูเยี่ยนด้วยรอยยิ้มอีกว่า “ท่านแม่ยายกล้าไปกับลูกเขยเพื่อเป็นสักขีพยานตอนฮ่าวเต๋อฟางถูกกำจัดมั้ย?”
จาหรูเยี่ยนฟังแล้วลังเลนิดหน่อย ค่อนข้างกลัวที่จะดูฉากทัพใหญ่ทำศึกเข่นฆ่ากันจนเกิดคามเลือด เพียงแต่เหมียวอี้พูดแบบนี้ต่อหน้าทุกคนแล้ว ข้างหลังยังมีพวกนางตัวดีมองอยู่ จะแสดงท่าทีอ่อนลงได้อย่างไร พยักหน้าทันที “ได้!”
ดังนั้นคนกลุ่มหนึ่งจึงเหาะขึ้นฟ้าไป ก่อนไปเหมียวอี้ก็ส่งสายตาให้หวงลี่ บอกใบ้ว่าให้เฝ้าที่นี่ให้ดี
พอขึ้นมาถึงดาราจักรแล้วเห็นความเคลื่อนไหว เหมียวอี้ก็แอบนับถือฮ่าวเต๋อฟางเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะยังดิ้นรนเหมือนสัตว์ป่าที่เอาชีวิตรอด ยังยืนหยัดมาได้จนถึงตอนนี้
แต่ก็จินตนาการได้เลย มาถึงขั้นนี้แล้ว คนข้างกายฮ่าวเต๋อฟางที่รอดมาได้จนถึงตอนนี้ ล้วนเป็นผู้มีกำลังรบแข็งแกร่งที่ถูกคัดมาแล้ว
ส่วนฮ่าวเต๋อฟางก็ยอมแลกทุกอย่างแล้วจริงๆ ตั้งแต่ติดต่อกำลังพลฝั่งอินสวี่ไม่ได้ เขาก็รู้ว่ามีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าจะตายหมดแล้ว ความหวังสุดท้ายพังทลายหมดสิ้น จึงนำกำลังพลลงมือด้วยตัวเองอีกครั้ง ไม่ได้ฝ่าวงล้อม แต่เข่นฆ่าเพื่อถ่วงกำลังพลสายตระกูลผังเอาไว้ ถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายมือว่าง จะต้องโดนกลุ่มธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงถล่มแน่นอน
ตอนนี้กำลังพลเหลืออยู่ไม่กี่แสน เกาะกลุ่มกันแน่นอยู่ท่ามกลางทัพใหญ่หลายล้าน ไม่ให้โอกาสทัพฝ่ายศัตรูตัดแบ่งออกจากกัน หลับหูหลับตาพุ่งใส่อย่างไม่หวาดกลัว ประชิดเข้าใกล้ทัพกลางของผังก้วนครั้งแล้วครั้งเล่า บีบให้ผังก้วนถอยหลายครั้ง
ผังก้วนทำอะไรคนพวกนี้ไม่ได้ ถ้าจะยิงตอนนี้ จะต้องฆ่าคนของตัวเองไปด้วยแน่นอน กลัวลูบหน้าปะจมูก มีกำลังพลกลุ่มใหญ่แต่กลับแสดงความสามารถไม่ได้
ส่วนฮ่าวเต๋อฟางก็ยอมทุ่มทุกอย่างแล้วจริงๆ สู้ตายโดยคิดว่าถ้าฆ่าได้เพิ่มสักคนก็ถือว่าได้กำไรแล้ว สู้ตายไม่ยอมถอย ไม่มีใครยอมแพ้ลับหลังฮ่าวเต๋อฟางด้วย สมกับเป็นกำลังพลคนสนิทของฮ่าวเต๋อฟาง
เมื่อเห็นพวกเหมียวอี้ปรากฏตัว ผังก้วนที่หันกลับมามองแวบหนึ่งก็ค่อนข้างงง หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าไม่อยากเจอหน้าฮ่าวเต๋อฟางไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้มาได้อย่างไร?
เขาเข้าใจผิดว่าเป็นความคิดของจาหรูเยี่ยน หวังดีจะให้หนิวโหย่วเต๋อมาช่วย หนิวโหย่วเต๋อจึงไม่สะดวกจะปฏิเสธ
ผังก้วนแอบด่าในใจ ผู้หญิงโง่คนนี้ทำให้อีกฝ่ายลำบากใจ
เหมียวอี้ที่จูงผังเสี้ยวเสี้ยวกับเร่งความเร็ว ทิ้งห่างจากพวกจาหรูเยี่ยนที่ตามอยู่ข้างหลัง
พวกจาหรูเยี่ยนกำลังจะตามไป แต่กลับถูกกำลังพลกลุ่มหนึ่งแทรกเข้ามา กันเหมียวอี้กับพวกเขาออกจากกันโดยตรง
การเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจเกิดขึ้นตอนนี้ ทัพใหญ่แดนรัตติกาลพลันปรากฏตัวทั้งหมด ล้อมทัพใหญ่หลายล้านของผังก้วนกับกำลังพลฝั่งตระกูลฮ่าวที่กำลังสู้กันเอาไว้
ด้านหลังพวกจาหรูเยี่ยนถูกมีกำลังพลโผล่มาล้อมไว้เช่นกัน
“เตรียมตัว!” ตามด้วยเสียงเหิงอู๋เต้าที่ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกน
ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเผยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมาหมด เล็งไปยังทุกคนที่ถูกล้อม
เซียวผิงโปผู้บัญชาการทัพอารักขาประจำจวนตระกูลผังเฝ้าระวังอย่างสูง รีบนำกำลังพลข้างกายมาปกป้องพวกจาหรูเยี่ยนเอาไว้
จาหรูเยี่ยนถามอย่างประหลาดใจ “เป็นอะไรไป? เกิดอะไรขึ้น? เป็นอะไรกันไปแล้ว?” นางตกใจว่าทำไมอาวุธถึงเล็งมาที่ตัวเอง
“ท่านสามี!” ผังเสี้ยวเสี้ยวหันกลับมามองด้วยความตกใจสุดขีด ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร
เหมียวอี้ไม่สนใจนาง จับมือนางไม่ปล่อย มองกำลังพลสองฝ่ายที่ถูกล้อมโดยไม่พูดอะไร
บรรยากาศของสนามรบเริ่มเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดแล้ว
ฮ่าวเต๋อฟางก็สังเกตเห็นความผิดปกติแล้วเช่นกัน รีบดึงซูอวิ้นเข้ามาอยู่ในการคุ้มครองของกำลังพลที่เหลือ ส่งสัญญาณมือให้กำลังพลของตัวเอง มองเหมียวอี้อย่างไม่ค่อยเข้าใจ ตระหนักได้ว่าเกิดเรื่องที่เหนือความคาดหมายแล้ว ดีไม่ดีอาจจะเป็นโอกาสพลิกสถานการณ์ของตัวเองก็ได้
สองฝ่ายที่กำลังเข่นฆ่ากันอยู่ในวงล้อมเริ่มหยุดแล้ว ต่างก็มองทัพใหญ่แดนรัตติกาลที่มาล้อมทุกคนไว้ด้วยความงุนงง
ผังก้วนที่ระแวดระวังรอบๆ อยู่พักหนึ่งหันไปจ้องเหมียวอี้ แล้วตะคอกถาม “ลูกเขย หมายความว่าอะไร?”
เหมียวอี้สบตากับเขาเงียบๆ แล้วจู่ๆ ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนอย่างมีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม “ทัพใหญ่แดนรัตติกาลได้รับบัญชาจากฝ่าบาทให้มาปราบโจรกบฏ!”
แค่ประโยคนี้ ชั่วพริบตาเดียวก็ดึงตัวเองออกจากพฤติกรรมขัดคำสั่งมาเป็นปฏิบัติตามคำสั่งแล้ว
ผังก้วนโบกดาบชี้มา แล้วตะคอกถามเสียงดุดัน “ใครเป็นโจรกบฏ?”
เหมียวอี้ไม่ตอบ รู้สึกได้ว่าตอนนี้ผังเสี้ยวเสี้ยวกำลังมองตนอยู่ ส่วนมือนางที่ตัวเองจับไว้ก็กำลังสั่น
ผังเสี้ยวเสี้ยวมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
พวกจาหรูเยี่ยนก็ถลึงตามองมาทางนี้เช่นกัน
เหมียวอี้เย็นชา สีหน้าไร้ความรู้สึก เอียงศีรษะบอกใบ้ชิงเยว่เล็กน้อย
พอชิงเยว่โบกมือ กำลังพลที่ล้อมพวกจาหรูเยี่ยนก็เปิดทางให้ ปล่อยพวกนางเหาะไปหาผังก้วน
“นายท่าน นี่ …เป็นอะไรไปแล้ว?” จาหรูเยี่ยนวิตกกังวลสุดๆ ลูกเขยที่ก่อนหน้านี้ยังทำให้ตัวเองรู้สึกภูมิใจ ทำไมชั่วพริบตาเดียวถึงทำให้ตัวเองหวาดกลัวตัวสั่นแล้วล่ะ!
ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้กล่าวช้าๆ ว่า “จอมพล ท่านกับข้าแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กัน อย่ากดดันให้ลูกเขยต้องลงมือ ให้พวกพี่น้องวางอาวุธเถอะ มอบโอกาสรอดชีวิตให้พวกเขา!”
ผังก้วนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงถี่มาก ตะคอกอย่างเดือดดาลว่า “อาณาเขตสายเถาะที่ข้ารับปากจะให้เจ้า ข้าไม่กลืนคำพูดแน่ ทุกคนตรงนี้เป็นพยานได้ ถ้าข้าผิดคำสาบาน ขอให้ฟ้าดินลงโทษ!”
เขาทำได้เพียงพยายามกู้สถานการณ์ กำลังพลที่อยู่ตรงหน้าส่วนใหญ่อ่อนล้าหมดแรง มีหรือที่จะต้านทัพใหญ่แดนรัตติกาลไหว ถ้าลงมือขึ้นมา ก็ไม่มีใครมาช่วยเขาทัน
เหมียวอี้บอกว่า “ถ้าอยากได้อาณาเขตสายเถาะ ข้าย่อมเอามาได้เองอยู่แล้ว ถึงยังไงพี่น้องของข้าก็มีเยอะมาก ลำบากอยู่กับลูกเขยที่แดนรัตติกาลมาตั้งหลายปี ควรจะออกมาเห็นโลกภายนอกได้แล้ว อาณาเขตสายเถาะเหมือนจะเล็กไปหน่อย อาณาเขตทัพใต้เหมาะสมกำลังดี!” เขาประกาศสิ่งนี้อย่างเปิดเผยต่อหน้าฝูงชน มีความเผด็จการเต็มเปี่ยม!
“ไม่นะ…ไม่นะ…ท่านสามี ข้าขอร้อง!”ผังเสี้ยวเสี้ยวถูกดึงไว้แน่นจนขัดขืนไม่ได้ นางพูดขอร้องไม่หยุด มองเหมียวอี้ด้วยแววตาน่าเวทนายิ่งนัก แต่ใบหน้าด้านข้างที่เหมียวอี้แสดงให้นางเห็นนั้นทั้งเด็ดเดี่ยวทั้งเย็นชา ทำให้นางหวาดกลัวถึงขีดสุด
……………