พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2057 นี่คือผู้ชายที่กำลังจะเป็นท่านอ๋อง
“แค่กๆ!” ถึงคราวที่เหมียวอี้ต้องกุมหมัดกระแอมบ้างแล้ว “เจ้าออกไปก่อน ให้ข้าคิดให้ดีๆ สักหน่อย”
เหิงอู๋เต้างุนงง สำหรับเขา เรื่องนี้ไม่มีอะไรที่ตัดสินใจยาก แต่งงานรับอนุภรรยาสองคนเพื่อแลกกับการสวามิภักดิ์จากสองจอมพล ยังต้องพิจารณาอีกหรือ? จึงเตือนทันทีว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ ถ้าแม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังไม่ยอมตอบรับ เกรงว่าจะทำให้กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนคิดมาก จะเกิดปัญหาแทรกซ้อนได้ง่าย! ตามที่ข้าน้อยรู้มา ผู้หญิงสองคนนี้หน้าตาไม่แย่เลย อาจจะไม่ได้นับว่าสวยล้ำเลิศอะไร แต่จัดอยู่ในระดับบนแน่นอน!”
เขานึกว่าเหมียวอี้จะกังวลว่าจะได้แต่งงานกับผู้หญิงอัปลักษณ์ เป็นคนค่อนข้างเรื่องมาก จึงรีบพูดให้เหมียวอี้วางใจ
เกี่ยวกับงดงามหรืออัปลักษณ์เสียที่ไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลเรื่องบางอย่าง เพื่อคำนึงถึงสถานการณ์ภาพรวม ต่อให้เป็นคนแก่อัปลักษณ์เขาก็จะแต่งงานด้วย! เหมียวอี้แอบกลุ้มใจ โบกมือให้เขาถอยออกไป “ให้ข้าคิดอีกสักหน่อย”
“ขอรับ!” เหิงอู๋เต้าทำได้เพียงกุมหมัดคารวะ แล้วถอยกลับเข้าไปในตำหนัก
เมื่อข้างกายไม่มีใครแล้ว เหมียวอี้ก็กระแอมอีกครั้ง มองไปที่หยางเจาชิง ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เจาชิง เจ้าได้ยินสถานการณ์หมดแล้ว เจ้าช่วยข้าถามความเห็นของฮูหยินหน่อย”
“หา!” หยางเจาชิงทำสีหน้าตกใจ เรื่องอื่นยังคุยง่ายหน่อย เพราะเป็นภารกิจอันพึงปฎิบัติ แต่เรื่องรับอนุภรรยา เขาเองก็ไม่กล้าช่วยเหมียวอี้ยุแยง จูเก๋อชิงถูกขังในตำหนักประมุขดาวกลางแต่ไม่สามารถช่วยออกมาได้ คิดว่าเป็นเพราะอะไรล่ะ ไม่ใช่เพราะบางคนกำลังเชือดไก่ให้ลิงดูหรอกหรือ?
เมื่อครู่เขายังคิดจะแอบหัวเราะเยาะเหมียวอี้อยู่เลย ทำไมชั่วพริบตาเดียวเรื่องก็ลามมาที่ตัวเองแล้วล่ะ? เขาหดหัวนิดหน่อย ไปยั่วโมโหอวิ๋นจือชิวไม่ไหวจริงๆ ถ้านางมารที่มีพื้นเพจากนภาจอมมารอาละวาดขึ้นมา ก็สามารถถือดาบมาไล่ฆ่าผู้ชายของตัวเองได้เลย เป็นสิ่งที่พบเห็นได้น้อยในสังคมนี้จริงๆ แม้แต่นายท่านที่เด็ดเดี่ยวในการสังหารคนก็ยังต้องหวาดกลัวนางสามส่วน ถ้าเขาไปเกี่ยวข้องด้วยไม่ถือว่าหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ? จึงตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียกว่า “นายท่าน ท่านจะแต่งงาน ไปให้ข้าไปถามฮูหยิน แบบนี้ไม่ค่อยเหมาะหรือเปล่าขอรับ?”
ถ้ากล้าถามเอง ข้าจะให้เจ้าทำแทนเหรอ? เหมียวอี้ถลึงตาทันที “งั้นข้าจะมีเจ้าไว้ทำอะไรล่ะ! ข้าให้เจ้าถามเจ้าก็ถาม มัวพูดมากอะไรอยู่?”
ก็ได้! หยางเจาชิงยังจะทำอะไรได้อีก ทำได้เพียงแข็งใจหยิบระฆังดาราขึ้นมา แล้วติดต่อไปหาอวิ๋นจือชิวอย่างขี้ขลาดหวาดกลัว
เหมียวอี้สังเกตปฏิกิริยาของหยางเจาชิงอย่างจริงจัง พอหยางเจาชิงสีหน้าเปลี่ยน เขาก็หัวใจกระตุกวูบ พอเห็นตรงหน้าผากหยางเจาชิงเริ่มมีเหงื่อออก เขาก็เริ่มหวาดระแวงกลัว กระวนกระวายใจ กำลังครุ่นคิดว่าต่อไปตอนอวิ๋นจือชิวมาเอาเรื่อง จะต้องผลักเรื่องนี้ให้พ้นตัวดีหรือไม่ ให้หยางเจาชิงเป็นแพะรับบาป บอกว่าทั้งหมดเป็นความคิดของหยางเจาชิง?
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ หยางเจาชิงถึงได้เก็บระฆังดารา เขาถอนหายใจยาวเ์อกหนึ่ง แล้วพยักหน้าให้เหมียวอี้ด้วยรอยยิ้มเจื่อน: “นายท่าน โชคดีที่ไม่ถึงตาย ฮูหยินอนุญาตแล้วขอรับ”
“เอ่อ…” เหมียวอี้ถามเสียงอ่อน “อนุญาตจริงเหรอ? จำไม่ได้หลอกข้าใช่ไหม?”
หยางเจาชิงที่ยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดเหงื่อซึ่งทันที จากนั้นก็ตอบอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกว่า “ข้าจะกล้าหลอกนายท่านได้ยังไง คุยเรื่องนี้ให้ชัดเจนแล้ว ฮูหยินอนุญาตแล้วจริงๆ”
เหมียวอี้คิดไปคิดมาก็เห็นด้วย หยางเจาชิงยังไม่ถึงขั้นเอาเรื่องแบบนี้มาหลอกตนหรอก จึงลองถามว่า “เอ่อแล้ว ฮูหยินไม่ได้บอกอย่างอื่นแล้วเหรอ?”
หยางเจาชิงลังเลนิดหน่อย เหมือนไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือเปล่า
“พูดมาได้เลย!” เหมียวอี้กล่าวอย่างใจกว้าง
หยางเจาชิงถอนหายใจอีก “ฮูหยินด่าข้าน้อยยับเยินเลย บอกว่าเดี๋ยวกลับมาจะจัดการข้าน้อย”
ไม่โดนด่าก็แปลกแล้ว เหมียวอี้หัวเราะแล้วถามอีก “ข้าถามว่านางได้พูดอะไรถึงข้าหรือเปล่า?”
หยางเจาชิงส่ายหน้า “แค่บอกว่าดีติดต่อกันไม่กี่คำ แล้วก็ถามสถานการณ์ของฝั่งนี้ อย่างอื่นไม่ได้พูดอะไรแล้ว เพียงแต่เรื่องรับอนุภรรยา ฮูหยินอนุญาตแล้วจริงๆ ขอรับ”
พูดว่าดีติดต่อกันหลายคำเหรอ? เหมียวอี้กระตุกมุมปากเล็กน้อย แต่กลับทำสีหน้าแสยะยิ้ม ” พูดประชดหรือเปล่า? คิดว่าจะขู่ให้ข้าตกใจได้ล่ะสิ?”
หยางเจาชิงยิ้มเบาๆ แต่ในใจกลับพึมพำว่า ท่านอย่าทำเป็นพูดดีเลย ต่อไปถ้าได้เจอฮูหยินแล้วยังกล้าปากดีแบบนี้ได้ ข้าจะนับถือในความเป็นลูกผู้ชายของท่านเลย!
ในคฤหาสน์รับแขกที่มีกำลังทหารล้อมจำนวนมาก ตอนนี้ยังไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยไป ตอนนี้นอกประตูใหญ่มีความเคลื่อนไหวแล้ว ทหารยามหลีกทางให้ทางหนึ่ง เหมียวอี้ออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง
ยอดฝีมือภูมิคุ้มกันกลุ่มหนึ่งเดินตามหลังเหมียวอี้เข้ามาในคฤหาสน์ บรรดาแขกที่ถูกทหารล้อมทยอยกันมองมา
ทุกคนรู้ข่าวสถานการณ์ด้านนอกแล้ว กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนไม่มีทางถอยแล้ว การยอมสวามิภักดิ์เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว หรือพูดได้อีกอย่างว่า มีความเป็นไปได้เก้าในสิบ ว่าท่านนี้กำลังจะกลายเป็นอ๋องสวรรค์คนใหม่ที่คุมทัพใต้!
นี่คือผู้ชายที่กำลังจะกลายเป็นท่านอ๋อง! จะกลายเป็นหนึ่งในลูกพี่ใหญ่แห่งใต้หล้าที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ ที่สำคัญคือยังหนุ่มยังแน่นขนาดนี้ ลักษณะองอาจห้าวหาญแบบนั้นทำให้แขกผู้หญิงจำนวนมากที่อยู่ในงานจ้องไม่ละสายตา ต้องถือโอกาสตอนนี้มองให้มากๆ เสียหน่อย ในอนาคตผู้ชายคนนี้ใช่ว่าใครอยากจะเห็นก็เห็นได้แล้ว
ส่วนเรื่องที่ว่าเหมียวอี้ใช้วิธีการที่น่าอับอายไปมากเท่าไหร่ สำหรับผู้หญิงส่วนใหญ่ที่อยู่ในงาน นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกนางสนใจ กลับมีผู้หญิงไม่น้อยที่แอบร่ำร้องในใจ ไม่รู้ว่าแม่หม้ายอย่างอวิ๋นจือชิวจะโชคดีมีวาสนาอะไรนักหนา ไม่น่าเชื่อว่ากำลังจะกลายเป็นหวังเฟยแล้ว เป็นแม่หม้ายที่แต่งงานรอบ มีคุณธรรมหรือความสามารถอะไรกัน ช่างไร้เหตุผลจริงๆ!
สำหรับแขกที่เป็นผู้ชาย ก็ย่อมไม่ได้คิดเพ้อฝันอะไรพวกนี้อยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะอิจฉามากกว่า
เมื่อเจอกับอุบายห่วงสัมพันธ์ของเหมียวอี้ เหยียบกระดูกทหารนับร้อยล้านของทัพใต้เพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ก็ทำให้พวกเขาไม่กล้าเกิดความรู้สึกริษยาแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ เพราะในใจรู้สึกหวาดหวั่นและเกรงกลัวมากกว่า เกรงกลัวรัศมีอำนาจที่จะเพิ่มขึ้นบนตัวเหมียวอี้ในอนาคต แม้แต่ตอนมองกลุ่มยอดฝีมือที่คุ้มกันอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ ก็ยังรู้สึกเหมือนได้กินคาวเลือดโชยมาเลย
ส่วนผู้คุ้มกันกลุ่มนี้ก็สอดส่องสายตาคอยระแวดระวังอย่างสูง พร้อมจะป้องกันเหตุไม่คาดคิดทุกเมื่อ ในแววตาบางคนถึงขั้นแฝงการเตือนยังดุร้าย เรากลับพร้อมชูดาบฆ่าคนได้ทุกเมื่อ มาถึงขั้นนี้แล้ว ในทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่มีใครกล้าปล่อยให้เกิดเหตุไม่คาดคิดกับเหมียวอี้
กลุ่มแขกในงานแต่งงานเป็นฝ่ายหลีกทางให้เองอย่างเงียบเชียบ หลีกทางเดินให้แล้ว แม้คนที่บ้านจะบอกแล้วว่าตัวเองจะไม่เป็นอะไร แต่ตอนนี้พอเห็นเหมียวอี้ ก็ไม่มีใครกล้าโวยวายหรือแสดงความไม่เคารพแม้แต่น้อย
บางคนที่เมื่อก่อนชอบจับกลุ่มกับเพื่อนนินทาเหมียวอี้ พูดจาไม่ดีเกี่ยวกับเหมียวอี้ ตอนนี้ในใจเต็มไปด้วยความระมัดระวังและเกรงกลัว
ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้น ว่าขอเพียงแค่เหมียวอี้ขึ้นสู่ตำแหน่ง เกรงว่าในใต้หล้าคงไม่มีใครกล้าพูดถึงเหมียวอี้ในทางที่ไม่ดีอย่างเปิดเผยอีก โดยเฉพาะคนที่ค่อนข้างมีฐานะอย่างพวกเขา ก็ยิ่งต้องควบคุมปากตัวเองให้ดี ไม่อย่างนั้นจะต้องรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองพูดไป เป็นไปไม่ได้แล้วที่จะพูดใส่ร้ายป้ายสีเหมียวอี้ตอนจับกลุ่มดื่มสุรากับลูกหลานขุนนางใหญ่แบบเมื่อก่อน ถามหน่อยว่าลูกหลานของพวกขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ มีใครกล้าใส่ร้ายสี่อ๋องสวรรค์สุ่มสี่สุ่มห้าบ้าง? ถ้าปล่อยให้คนที่บ้านรู้จะต้องโดนตัดขาแน่นอน!
จะพูดทุกคนก็ต้องพูดลับหลัง ไม่กล้าพูดข้างนอกอย่างโจ่งแจ้งเด็ดขาด
ใครจะกล้าแพรข่าวข้างนอกซี้ซั้วว่าเหมียวอี้บีบให้ฮ่าวเต๋อฟางตาย? เรื่องบางเรื่องรู้กันในวงในก็พอแล้ว ป่าวประกาศไปทั่วก็มีแต่จะหาเรื่องใส่ตัว หลักการนี้ก็เหมือนเรื่องที่ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เล่นงานสนมบางคนจนตาย ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเบื้องหลังคอยผลักดัน ใครจะกล้าพูดกับคนใต้หล้าซี้ซั้วล่ะ? ถ้าข่าวแพร่ออกไปแล้วตระกูลเซี่ยโห้วไม่มาขอคำอธิบายจากเจ้าก็แปลกแล้ว แน่นอน เรื่องบางเรื่องช้าเร็วก็ต้องแพร่ไป แต่พอไปถึงหูคนในสังคม เรื่องราวก็เปลี่ยนไปต่างๆ นานาแล้ว คนส่วนใหญ่แยกไม่ออกว่าจริงหรือเท็จ
เหมียวอี้เรียนใส่ชุดลำลองแล้ว แต่ทหารที่คุ้มกันอยู่ข้างหลังกลับยังสวมเกราะรบ เดินตามหลังเหมียวอี้พร้อมเสียงเกราะรบกระทบกันตลอดทาง
หวงฝู่จวินโหรวกับก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็อยู่ท่ามกลางคนกลุ่มนี้เช่นกัน พวกนางมองเหมียวอี้ด้วยแววตาหลากหลายความรู้สึก ในใจแอบเปรียบเทียบตัวเองกับเหมียวอี้ที่เคยรู้จักในอดีต
ส่วนเหมียวอี้ก็ราวกลับไม่รู้จักพวกนาง พยักหน้ายิ้มเบาๆ ให้คนที่อยู่ทั้งสองฝั่งเป็นระยะ มองไม่ออกว่าปฏิบัติกับสองคนนี้เป็นพิเศษหรือแตกต่างอะไรกับคนอื่น
สาเหตุที่เหมียวอี้มาที่นี่ในเวลานี้ ก็เพราะกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนแอบบอกใบ้ไว้ ว่าต้องให้สถานะกับลูกสาวของพวกเขา จะตอบรับปากเปล่าไม่ได้ ถ้าตอนหลังไม่รักษาสัญญาขึ้นมาจะทำอย่างไร? ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ต้องประกาศต่อคนพวกนี้อย่างเปิดเผย
ส่วนความคิดที่จะสนับสนุนให้ลูกสาวขึ้นสู่ตำแหน่งฮูหยินเอกเหมือนผังก้วน กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนยังไม่กล้าหวังขนาดนั้น ตอนนี้ถ้าช่วยให้ลูกสาวตัวเองคว้าสถานะอนุภรรยามาได้ก็ไม่เลวแล้ว ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากเหมียวอี้มากกว่านี้อีกแล้ว
เมื่อเดินขึ้นมาบนบันไดโถงหลัก เหมียวอี้ก็หันตัวมาเผชิญหน้ากับกลุ่มคน ทหารอารักขากระจายกันวางกำลังป้องกันอยู่ฝั่งซ้ายและขวา กำลังพลที่อยู่ข้างนอกก็เฝ้าระวังความเคลื่อนไหวภายในอย่างใกล้ชิดเช่นกัน
“ลำบากทุกคนแล้ว!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะต่อกลุ่มคนพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไร!” มีคนไม่น้อยฝืนยิ้มและตอบอย่างขายผ้าเอาหน้ารอด
กลับเป็นเถิงจิ่วเซียว ลูกชายของเถิงเฟยที่ยืนขึ้น แล้วกุมหมัดคารวะไปบนบันได “ผู้ตรวจการใหญ่ งานแต่งงานที่นี่จบลงแล้ว ไม่ทราบว่าจะปล่อยพวกเราไปเมื่อไร?”
รอยยิ้มบนใบหน้าเหมียวอี้หายไปทันที ใช้สายตาเย็นเยียบจ้องเถิงจิ่วเซียว คิดว่าเจ้าเวรอนี่อาศัยว่าตัวเองมีคนหนุนหลัง จึงไม่รู้จักกาละเทศะ รู้อยู่แก่ใจแต่ก็ยังถาม
คนเราเมื่อเดินมาถึงจุดหนึ่ง ก็จะแสดงพลังอำนาจออกมาโดยไม่รู้ตัว
เถิงจิ่วเซียวถูกมองจนรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย จะถอยกลับก็ไม่ได้ เพราะด้วยฐานะอย่างเขาไม่อาจทำเรื่องให้คนในครอบครัวเสียหน้า แต่ถ้าไม่ถอย มีเรื่องอะไรบ้างที่คนบ้าอย่างหนิวโหย่วเต๋อไม่กล้าทำ ขนาดฮ่าวเต๋อฟางยังโดนบีบให้ตาย แล้วเขานับเป็นตัวอะไร? ถ้าจะโดนเจ้าบ้านี่ฆ่าตายเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ขาดทุนเกินไป ในใจแอบรู้สึกเสียใจที่เมื่อครู่นี้ไม่พิจารณาก่อน
ภาพนี้เหตุการณ์นี้ แค่ประโยคเดียวก็ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าเหมียวอี้หายไปแล้ว แขกที่เหลือยิ่งระมัดระวังตัวมากขึ้น มีคนไม่น้อยถึงขั้นแอบตัวสั่น
สุดท้ายเหมียวอี้ก็ยังไว้หน้าบิดาของอีกฝ่าย แต่ไม่ได้ไว้หน้าเถิงจิ่วเซียว ตอบเสียงเย็นว่า “ยังปราบทหารกบฏข้างนอกไม่ได้ ถ้าออกไปตอนนี้แล้วเกิดเรื่องขึ้น ข้าก็ชี้แจงกับคนในครอบครัวของทุกคนไม่สะดวก ให้ทุกคนอยู่ที่นี่ชั่วคราวก็เพราะหวังดีกับทุกคน เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?”
เมื่อได้บันไดลงแล้ว เถิงจิ่วเซียวก็เจียดรอยยิ้มออกมาแล้วกุมหมัดคารวะ “ผู้ตรวจการใหญ่ช่างใส่ใจ” พูดจบก็ถอยกลับลงไป
ในตอนนี้ หยางเจาชิงรีบเดินเข้ามาจากด้านนอก เดินขึ้นบันไดมาพยักหน้าให้เหมียวอี้โดยตรง บอกใบ้ว่าคนมาถึงแล้ว
ผ่านไปครู่เดียว ทหารยามตรงประตูใหญ่ก็หลีกทางอีกครั้ง สตรีวัยกลางคนที่งดงามเลิศล้ำสองคนเดินเข้ามาก่อน ข้างหลังพวกนางมีสาวงามสองคนเดินก้มหน้าตามมา
ท่ามกลางแขกในงานแต่งงาน มีคนไม่น้อยที่จำได้ว่าสตรีวัยกลางคนแสนสวยสองคนนี้คืออนุภรรยาของกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวน ส่วนข้างหลังก็คือลูกที่เกิดจากทั้งสองคน กงหนีฉาง ลูกสาวของกงเชียนชิว อวี่เหวินหรูเมิ่ง ลูกสาวของอวี่เหวินชวน
ทุกคนเริ่มส่งสายตาสื่อสารกัน ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร พวกเขาไม่กล้ากระซิบกระซาบกันต่อหน้าเหมียวอี้
แต่ทุกคนก็พอจะเดาออกบ้างแล้ว ว่ากงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนคงจะยอมแพ้แล้ว
สี่คนนี้เดินมาทำความเคารพตรงตีนบันได “คำนับผู้ตรวจการใหญ่!”
“ไม่ต้องมากพิธี!” เหมียวอี้ผายมือขึ้น ยังมีเรื่องสำคัญอีกมากมายที่ต้องทำ เขาไม่มีอารมณ์มาเสียเวลาเล่นละคร สายตาจับจ้องไปยังผู้หญิงสองคนที่อยู่ข้างหลังสตรีวัยกลางคน แล้วถามว่า “สองคนที่อยู่ข้างหลังไม่คุ้นหน้าเลย”
สตรีวัยกลางคนทั้งสองแอบกัดฟัน แล้วหลีกทางซายขวา ให้หญิงสาวสองคนที่อยู่ข้างหลังเดินออกมา
หญิงสาวที่สวยสบายตาย่อเข่าทำความเคารพอีกครั้ง “อวี่เหวินหรูเมิ่งคำนับผู้ตรวจการใหญ่” หญิงสาวนัยน์ตาแดงกล่ำ เหมือนเพิ่งร้องไห้มา
ส่วนอีกคนเป็นสาวน้อยที่เห็นได้ชัดเจนว่ายังไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ นางย่อเข่าคำนับเช่นกัน เพียงแต่เสียงสั่นเครือเล็กน้อย “กงหนีฉางคำนับผู้ตรวจการใหญ่!” เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างหวาดกลัว
เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ที่แท้ก็เป็นทองพันชั่งอันล้ำค่าของจอมพลกงกับจอมพลอวี่เหวินนี่เอง หนิวได้ยินชื่อและชื่นชมมานานแล้ว วันนี้ได้เห็นตัวจริงแล้วหัวใจเต้นแรง อยากจะเกี่ยวดองกับท่านจอมพลทั้งสอง ไม่ทราบว่าฮูหยินทั้งสองจะยอมให้ลดตัวมาแต่งงานกับข้าหรือเปล่า?”
สตรีวัยกลางคนหนึ่งในนั้นข่มกลั้นสีหน้าคับแค้นเศร้าโศก แล้วพยักหน้าบอกว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ถูกใจสตรีต่ำต้อยได้ก็ถือเป็นวาสนาของนาง ย่อมดีใจจนแทบควบคุมตัวเองไม่ไหวอยู่แล้วค่ะ”
สตรีวัยกลางคนอีกคนก็ตอบคล้ายๆ กัน
“ดี! เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้” เหมียวอี้ตัดสินใจอย่างลวกๆ แบบนี้แล้ว บอกหยางเจาชิงว่า “หาที่พักให้ฮูหยินใหม่ทั้งสองให้เรียบร้อย”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ
“หนิวยังมีกิจธุระต้องจัดการ ไม่สะดวกจะอยู่ต้อนรับแล้ว!” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายอย่างเย็นชา แล้วก็เดินก้าวยาวลงบันไดไป ผู้หญิงสี่คนตรงตีนบันได้หลีกทางให้สองฝั่ง มองเหมียวอี้นำกำลังพลกลุ่มหนึ่งเดินผ่าตัวเองไปตาปริบๆ
……………