พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2064 อ๋องสวรรค์คุมทัพใต้
ผู้การใหญ่วังสวรรค์ ตอนเผชิญหน้ากับประมุขชิงที่วังสวรรค์มีท่าทีอีกอย่างหนึ่ง พอออกจากวังสวรรค์แล้ว ยามเผชิญหน้ากับคนอื่นก็มีพลังอำนาจไปอีกแบบ
กำลังพลนอกจวนท่านอ๋องเห็นซ่างกวนชิงนำคนกลุ่มหนึ่งเหาะลงมาจากฟ้า ผู้การใหญ่สีหน้าเรียบเฉย แววตาเย็นชา ขณะที่มองคนดูมีพลังอำนาจที่ทำให้คนหวาดกลัว ใครที่ได้สบตากกับเขาก็ต้องแอบตกใจทั้งนั้น
ถามหน่อยว่าในใต้หล้านี้ จะมีสักกี่คนที่อยู่ในสายตาเขา?
พอสบตากับเหมียวอี้ที่ออกมาต้อนรับอยู่นอกประตู บนใบหน้าซ่างกวนชิงก็เผยรอยยิ้มออกมา เขาแอบรู้สึกทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ เจ้าเวรนี่เติบโตเร็วมาก!
เหมียวอี้ชิงก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ “คารวะผู้การใหญ่!”
ซ่างกวนชิงเองก็ก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะเช่นกัน “ผู้ตรวจการใหญ่ทำตัวห่างเหินแล้ว จากกันที่อุทยานหลวงหลายปี ผู้ตรวจการใหญ่มีสง่าราศียิ่งกว่าในปีนั้นเสียอีก!”
อุทยานหลวง? เหมียวอี้รู้อยู่แก่ใจ ว่าตอนอยู่ที่อุทยานหลวง ตัวเองไม่ได้อยู่ในสายตาอีกฝ่ายเลย จึงรีบกล่าวอย่างเกรงใจว่า “ผู้การใหญ่ให้เกียรติเกินไปแล้ว”
ซ่างกวนชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ได้ให้เกียรติเกินไปหรอก ข้าเข้าออกวังสวรรค์ได้อย่างอิสระ แต่มาที่นี่กลับถูกค้นตัวกว่าจะได้มาเจอผู้ตรวจการใหญ่!” ความหมายที่เขาจะสื่อก็คือ เจ้านี่ทำตัวเลอเลิศยิ่งกว่าวังสวรรค์อีกนะ พอเจอหน้ากันก็กล่าวเหน็บแนมอย่างไม่เบาและไม่แรงเกินไป
“เฮ้อ!” เหมียวอี้ถอนหายใจ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจนจำ “ล้วนเป็นเพราะพระปีศาจหนานโป ไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาปกติ จะใช้วิธีการปกติก็ไม่ได้ หวังว่าผู้การใหญ่จะใจกว้างไม่ถือสาผู้น้อย” อย่างไรเสียตอนนี้ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรก็ผลักผิดไปให้พระปีศาจหมด เขารู้แล้วว่าประมุขชิงเห็นเขาแล้วขัดหูขัดตา คิดจะกำจัดเขาทิ้ง ถ้าไม่ค้นตัวก่อนแล้วจะกล้าปล่อยซ่างกวนชิงเข้ามาได้อย่างไร ถ้านำกำลังพลนับล้านนับแสนมาด้วย เกรงว่าเขาคงร้องไห้ไม่ทันแล้ว
คนเราเวลาไม่มีฐานะตำแหน่ง ต่อให้มีคนพูดเหน็บแนมก็ทะเลาะด่าทอกันเล็กน้อย แต่พอมีฐานะขึ้นมา อันตรายที่ต้องเผชิญก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าเช่นกัน
“พระปีศาจน่าชั่วร้าย ผู้ตรวจการใหญ่ระวังตัวไว้นะถูกแล้ว” ซ่างกวนชิงกล่าวชม ไม่ได้ทำให้เหมียวอี้ไปต่อไม่เป็น เพราะไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น เหมียวอี้ในตอนนี้ไม่ใช่คนที่เขาพูดแค่สองสามประโยคก็ขู่ได้แล้ว ถ้าไปหาเรื่องก็มีแต่จะทำให้ตัวเองลำบากใจ
ในเวลาส่วนใหญ่ ศักยภาพคือช่องทางที่ดีที่สุดที่จะได้รับความเคารพนับถือ
“ข้างนอกไม่ใช่สถานที่คุยกัน ผู้การใหญ่ เชิญด้านใน!” เหมียวอี้ยื่นมือนำทาง สายตากวาดมองผู้ติดตามข้างหลังซ่างกวนชิง โดยเฉพาะชายรูปร่างกำยำที่จอนผมสองข้างแซมด้วยผมขาว เหมียวอี้เคยเจอที่วังสวรรค์ รู้เพียงว่านี่คือหนึ่งสามในลูกน้องคนสนิทผู้ลึกลับของซ่างกวนชิง ชื่อว่าเซี่ยงจง ส่วนรายละเอียดเป็นอย่างไรไม่ทราบแน่ชัด
เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ เวลาซ่างกวนชิงมาข้างนอก คนคนนี้มักจะได้ติดตาม คงจะรับผิดชอบงานด้านการใช้กำลังป้องกัน ดูถูกพลังไม่ได้แน่นอน
ชายรูปร่างกำยำจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเหมียวอี้ด้วยสายตาเยียบเย็น เหมียวอี้สบตากับเขาเล็กน้อยแล้วก็ย้ายสายตาไป
พอเข้ามาในจวนท่านอ๋องก็ไม่ได้ค้นตัวพวกซ่างกวนชิงอีก เหมียวอี้ไม่ถึงขั้นทำเรื่องไร้มารยาทขนาดนั้นต่อหน้าซ่างกวนชิง ผู้ติดตามหลายสิบคนที่อยู่ข้างหลังซ่างกวนชิงก็เข้ามาด้วยเช่นกัน เพียงแต่สายตาของคนพวกนี้ไม่วอกแวกเลยแม้แต่น้อย เฝ้าระแวดระวังรอบข้างอย่างสูงตลอดเวลา ต่อให้ข้างกายมีคนก้าวเท้า ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว สายตาก็จะพุ่งไปตรงนั้นทันทีราวกับเหยี่ยว
เช่นเดียวกัน ในจวนท่านอ๋องเองก็มียอดฝีมือมากมายดุจเมฆบนฟ้า คอยจับจ้องความเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้ทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง
เมื่อคนกลุ่มนี้เข้ามาในโถงหลัก คนที่อยู่ข้างหลังซ่างกวนชิงก็ตามเข้าไปแค่สี่คน ส่วนที่เหลือเป็นฝ่ายกระจายกำลังเตรียมป้องกันอยู่ข้างนอก
หลังจากแขกกับเจ้าบ้านนั่งดื่มน้ำชาและคุยสัพเพเหระกันไม่กี่ประโยค ซ่างกวนชิงก็ลุกขึ้นยืน ถือแผ่นหยกแผ่นหนึ่งขึ้นมา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้ตรวจการใหญ่รับบัญชา!”
เหมียวอี้รีบก้าวไปยังตำแหน่งถัดไป แล้วกุมหมัดคารวะคอยฟังด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฝ่าบาทมีบัญชา ผังก้วนจอมพลสายเถาะก่อกบฏ วางแผนทำร้ายขุนนางผู้จงรักภักดี บีบฮ่าวเต๋อฟาง อ๋องสวรรค์ที่คุมทัพใต้ให้ตาย ผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลหนิวโหย่วเต๋อได้รับบัญชาให้นำทัพใหญ่แดนรัตติกาลออกรบด้วยตัวเอง มีความดีความชอบในการปราบกบฏ สมควรได้รับรางวัล! จึงถอดหนิวโหย่วเต๋อออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เลื่อนขั้นให้เป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ รับตำแหน่งแทนฮ่าวเต๋อฟาง…” ซ่างกวนชิงกล่าว
บ่นมากมายเป็นชุด ที่จริงแล้วก็มีอยู่แค่สองเรื่อง นั่นก็คือปลดออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล แล้วให้เหมียวอี้ไปเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ ส่วนอย่างอื่นล้วนเป็นคำพูดตามมารยาท
ที่จริงเหมียวอี้ก็ไม่อยากทิ้งอาณาเขตแดนรัตติกาลไป แต่ก็ช่วยไม่ได้ อาณาเขตแดนรัตติกาลเป็นของตำหนักนารีสวรรค์ ไม่ถูกควบคุมจากอำนาจฝ่ายอื่น นี่คือโครงสร้างที่เขาพยายามเสนอแนะจนสำเร็จในปีนั้น ต่อให้เขาอยากจะครอบครองแต่ก็หาข้ออ้างที่เหมาะสมไม่ได้ เพียงแต่ปลดออกก็ส่วนปลดออก แต่เขาจะยอมถอนการควบคุมที่นี่ในทางปฏิบัติจริงหรือไม่นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
เมื่ออ่านบัญชาจบแล้ว เหมียวอี้ก็กล่าวอย่างเคารพนอบน้อม “ข้าน้อยรับบัญชา! ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
ซ่างกวนชิงส่งต่อบัญชาสวรรค์ให้ แล้วบอกใบ้ให้เซี่ยงจงยื่นเกราะรบอ๋องสวรรค์ที่ตำหนักสวรรค์ประทานให้เหมียวอี้ ก่อนจะกล่าวแสดงความยินดี “ยินดีด้วยท่านอ๋อง!”
พอรับเกราะรบมาไว้ในมือ เหมียวอี้ก็ส่งต่อให้หยางเจาชิง แล้วพูดกับซ่างกวนชิงด้วยรอยยิ้มว่า “รบกวนให้ผู้การใหญ่เดินทางมาไกลด้วยตัวเอง นี่คือน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ หวังว่าผู้การใหญ่จะไม่รังเกียจ” แล้วก็รับกำไลเก็บสมบัติมาจากมือของหยางเจาชิงอีก
ซ่างกวนชิงไม่เกรงใจเช่นกัน รับไว้แล้วเปลี่ยนคำเรียก “ท่านอ๋อง หวังว่าจะปลอบขวัญคนทั้งทัพใต้ได้ภายในเร็ววัน อย่าทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง!”
“รบกวนฝากผู้การใหญ่ทูลฝ่าบาท ว่าข้าน้อยจะทุ่มเท่ความสามารถจนกว่าชีวิตจะหาไม่แน่นอน!” เหมียวอี้กล่าวจริงจัง
“คำกล่าวนี้ท่านอ๋องพูดต่อหน้าฝ่าบาทเองจะดีกว่า ได้รับเกียรติพิเศษแบบนี้ อย่าบอกนะว่าท่านอ๋องจะไม่เข้าวังไปขอบพระทัยสักหน่อย?” ซ่างกวนชิงถามพร้อมรอยยิ้ม
เหมียวอี้พยักหน้าซ้ำๆ “ใช่ๆๆ ผู้การใหญ่พูดถูก ควรจะขอบคุณต่อหน้าฝ่าบาท แต่ช่วงนี้ทัพใต้ค่อนข้างวุ่นวาย ยังปลีกตัวไปได้ยาก ถ้ายังไม่ได้ทำงานให้ดี ก็ไม่มีหน้าไปเข้าพบฝ่าบาทเลยจริงๆ รอให้สถานการณ์ทัพใต้เรียบร้อยแล้ว ข้าย่อมไปถวายบังคมฝ่าบาทแน่!”
ซ่างกวนชิงแสยะยิ้มในใจ พูดอ้อมไปอ้อมมา แท้จริงแล้วไม่กล้าไปมากกว่า แต่ภายนอกกลับพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม และไม่ได้บังคับให้เขาไปเช่นกัน จับจุดอ่อนไม่ปล่อยก็ไม่มีความหมายอะไร จึงเปลี่ยนประเด็น “ไม่ทราบว่าโจรกบฏผังก้วนอยู่ที่ไหน? ถ้าจะได้ถือโอกาสคุมตัวไปตำหนักสวรรค์!”
เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำว่า “เดิมทีคิดจะควบคุมตัวไปตำหนักสวรรค์ ส่งต่อให้ฝ่าบาทลงโทษ แต่ช่วยไม่ได้ที่ระหว่างคุมขังโจรกบฏผังยังไม่กลับใจ แอบสมคบกับลูกน้องเก่าที่อยู่ข้างนอก มีเจตนาจะกลับสู่ตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ระหว่างที่หนีถูกทัพใหญ่ล้อมปราบ ภายใต้ลูกธนูจำนวนมาก ทุกคนของจวนตระกูลผังถูกสังหารหมด ตายแบบไร้ศพ!”
ดวงตาซ่างกวนชิงฉายแววเย็นเยียบ แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ได้ยินว่าลูกสาวคนเล็กของผังก้วน ผังเสี้ยวเสี้ยวแต่งงานกับท่านอ๋อง ไม่รู้ว่า…”
ยังไม่ทันพูดจบ เหมียวอี้ก็ชิงพูดก่อนแล้ว “ข้ากำลังจะรายงานตำหนักสวรรค์เพื่อขอรางวัลให้ผังเสี้ยวเสี้ยวพอดี ผังเสี้ยวเสี้ยวปฏิเสธที่จะร่วมกบฏกับบิดานาง ตอนที่ยกทัพไปปราบ ผังก้วนยอมแพ้ ผังเสี้ยวเสี้ยวมีผลงานใหญ่ที่ช่วยโน้มน้าวให้ยอมแพ้ ตอนหลังผังก้วนหลบหนี ก็เป็นผังเสี้ยวเสี้ยวรายงาน” ที่พูดก็ยื่นมือออกมา หยางเจาชิงยื่นกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งให้ เหมียวอี้ส่งต่อให้ซ่างกวนชิง “หลักฐานมีพร้อม หวังว่าผู้การใหญ่จะช่วยส่งต่อให้”
ชำเลืองมองกำไลเก็บสมบัติบนมืออย่างเย็นเยียบแวบหนึ่ง ซ่างกวนชิงไม่ต้องดูก็รู้ว่าเป็นหลักฐานที่ปลอมแปลงขึ้นมา แอบด่าในใจว่าหน้าด้านไร้ยางอายจริงๆ โค่นล้มผังก้วนแล้ว ยังคิดจะใช้อำนาจบาตรใหญ่กับลูกสาวของอีกฝ่ายไม่ปล่อยอีก ไม่น่าเชื่อว่ายังจะขอรางวัลจากตำหนักสวรรค์? เขากล่าวด้วยรอยยิ้มแข็งๆ “ท่านอ๋องช่างใส่ใจจริงๆ”
เหมียวอี้นำแผ่นหยกมายื่นให้อีก “ทัพใต้เกิดกบฏเพราะเหตุนี้ จำเป็นต้องปรับปรุงใหม่ นี่คือตำแหน่งขาดแคลนที่ปรับใหม่ของสายต่างๆ ในทัพใต้ รบกวนผู้การใหญ่รายงานขึ้นไปพร้อมกัน หวังว่าฝ่าบาทจะอนุมัติทั้งหมดโดยเร็ว จะได้ทำให้ใจคนสงบโดยเร็ว!”
ซ่างกวนชิงรับมาแล้วกวาดสายตาอ่านคร่าวๆ มีรายชื่อคนจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้อ่านละเอียด เพียงเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมบอกว่า “เป็นเรื่องที่ง่ายดายไม่ยุ่งยาก ข้ารับรู้เจตนาของท่านอ๋องแล้ว อ้อใช่ ท่านอ๋อง ฝ่าบาทมีคำสั่งแต่งตั้งให้องค์ชายหยวนจุนรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลต่อ หวังว่าท่านอ๋องจะส่งต่องานโดยเร็วๆ”
“…” เหมียวอี้อึ้งทันที ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นชิงหยวนจุน? ก่อนหน้านี้เขานึกไม่ถึงจริงๆ คนเราล้วนวิเคราะห์ภาพได้ทั้งนั้น จะเรียกว่าใต้โคมไฟย่อมมีเงามืดก็ได้เช่นกัน คนเรามักจะมองไปรอบๆ แต่กลับละเลยไม่ระวังใต้เท้าตัวเอง ก่อนหน้านี้ตอนหยางชิ่งปรึกษากับเขา ก็ยังครุ่นคิดว่าใครจะมารับตำแหน่งต่อ แม้แต่หยางชิ่งก็ยังนึกไม่ถึงว่าจะเป็นชิงหยวนจุน
ซ่างกวนชิงเข้ามาใกล้ๆ ข้างหูเหมียวอี้ แล้วทำท่าเหมือนเปิดเผยความลับบางอย่างให้รู้ “ท่านอ๋อง ถึงยังไงองค์ชายก็เป็นโอรสของฝ่าบาท ฝ่าบาทใส่ใจกับเรื่องนี้มาก ถ้าจัดการเรื่องขององค์ชายไม่ดี เกรงว่าฝ่าบาทก็คงไม่มีกะจิตกะใจไปจัดการเรื่องอื่น!”
เหมียวเลิกคิวเบาๆ เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร นี่อีกฝ่ายกำลังบีบตน ว่าถ้าไม่ให้ชิงหยวนจุนรับช่วงต่อจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลอย่างราบรื่น เขาเองก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้คำสั่งแต่งตั้งของทัพใต้อย่างราบรื่น ทั้งคำสั่งแต่งตั้งในครั้งนี้เดิมทีก็มีปัญหามากอยู่แล้ว ถ้ารอบนี้ไม่ใช่เพราะได้รับการสนับสนุนจากอำนาจฝ่ายต่างๆ บนราชสำนัก เขาก็ไม่สามารถนำสิ่งนี้ออกมาได้เลย เพราะจะถูกจะผิดได้ไงมาก ประมุขชิงมีวิธีถ่วงเวลาจนเขาลำบากอยู่แล้ว
ซ่างกวนชิงเองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่นาน ปฏิเสธคำเชิญร่วมงานเลี้ยง เพียงแต่จวนอ๋องสวรรค์ใหม่ที่ฮ่าวเต๋อฟางเพิ่งมาสร้างในตอนหลังแห่งนี้ เขาเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก เป็นฝ่ายขอเดินดูให้ทั่ว เหมียวอี้ย่อมเดินเป็นเพื่อนอยู่แล้ว
ด้านนอกและด้านในจวนท่านอ๋อง ทั้งสองเดินไปคุยไปด้วยรอยยิ้ม สุดท้ายก็ขึ้นไปบ่นยอดเขาแห่งหนึ่ง แล้วเหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะส่งพวกซ่างกวนชิงเหาะกลับไป
กระทั่งเหมียวอี้กลับมาที่ประตูจวนท่านอ๋องอีกครั้ง ก็พบว่ามีคนจำนวนหนึ่งกำลังทำงานอยู่ตรงประตู สวีถังหรานกำลังชี้นิ้ววาดเท้าอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร
สังเกตดูดีๆ ถึงได้พบว่าป้ายชื่อตรงประตูถูกเปลี่ยนแล้ว ตัวอักษรใหญ่คำว่า ‘จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว’ เปลี่ยนเป็นคำว่า ‘จวนอ๋องสวรรค์หนิว’ ที่โอ่อ่ามีพลัง
พอหันกลับมาเห็นเหมียวอี้ สวีถังหรานก็ตาเป็นประกาย แล้วรีบคุกเข่าข้างเดียว “ข้าน้อยคารวะอ๋องสวรรค์!”
คนอื่นๆ ตรงประตูก็ต้องเอาเยี่ยงอย่างเช่นกัน คารวะเสียงดัง “คารวะอ๋องสวรรค์!”
เหมียวอี้ยกมือขึ้น บอกใบ้ว่าไม่ต้องมากพิธี พอเงยหน้ามองป้ายใหม่บนประตูอีก ก็อดไม่ได้ที่จะมองสวีถังหราน พบว่าเจ้าหมอนี่ไวปานเทพ ทางนี้เพิ่งจะได้รับคำสั่งแต่งตั้ง เจ้าเวรนี่ก็เปลี่ยนป้ายจวนท่านอ๋องใหม่แล้ว
สวีถังหรานสีหน้าสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ฮึกเหิมจนหน้าแดง เรียกได้ว่าปลาบปลื้มดีใจ ราวกับว่าตัวเองได้เป็นอ๋องสวรรค์เสียเอง
“ไม่เลวเลย!” เหมียวอี้กล่าวชมอย่างง่ายๆ แล้วเดินก้าวยาวเข้าไปในจวนท่านอ๋อง
สวีถังหรานตามอยู่ข้างหลังอย่างกระตือรือร้นทันที แล้วพูดประจบสอพลอ “ท่านอ๋อง ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นจวนเก่า ท่านลองดูว่ามีตรงไหนยังต้องแก้ไขปรับปรุงหรือเปล่า ข้าน้อยจะรวบรวมช่างที่ฝีมือดีที่สุดในใต้หล้ามาปรับปรุงให้โดยเร็วที่สุด”
เหมียวอี้บอกว่า “เรื่องนี้ยังต้องรอให้ฮูหยินกลับมาก่อน ดูความเห็นของฮูหยิน เดี๋ยวเจ้าค่อยปรึกษากับฮูหยินอีกที” ตอนนี้เขาจะมีกะจิตกะใจมาทำเรื่องนี้เสียที่ไหน อีกทั้งยังรู้สึกว่าจวนท่านอ๋องก็มีสง่าราศี หรูหรามากพอแล้ว อาศัยโลกทัศน์ของสวีถังหราน ของที่สรรหามาสร้างอาจจะไม่ดูแฝงสติปัญญาเท่าตระกูลฮ่าวก็ได้ เพียงแต่เขาเข้าใจความตั้งใจดีของสวีถังหราน ไม่สะดวกจะปฏิเสธโดยตรง
“ได้ๆๆ ข้าน้อยจะทำตามความต้องการของหวังเฟยเหนียงเหนียงไม่ให้ขาดตกบกพร่อง” สวีถังหรานพยักหน้าอย่างหน้าชื่นตาบาน เขาไม่กลัวอะไรอย่างอื่น แค่กลัวจะโดนผึ่งทิ้งไว้ข้างๆ ขอเพียงแค่มีงานให้เขาทำก็พอแล้ว
หวังเฟยเหนียงเหนียง? เหมียวอี้ชะงักเล็กน้อย ตอนแรกยังความรู้สึกช้า แต่ผ่านไปชั่วพริบตาเดียวก็เข้าใจแล้ว ที่เจ้าเวรนี่เรียกว่าหวังเฟยเหนียงเหนียงก็คืออวิ๋นจือชิวไม่ใช่เหรอ ตัวเองกลายเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้แล้ว ฮูหยินเอกก็ย่อมกลายเป็นหวังเฟยอยู่แล้ว คนระดับหวังเฟยสามรถใช้คำเรียกว่า ‘เหนียงเหนียง’ ได้แล้ว
………………