พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2065 เสนาธิการปีศาจตัวจริง
ตอนที่คนกลุ่มหนึ่งเดินมาถึงนอกประตูใหญ่ของเรือนชั้นในของจวนท่านอ๋อง ทหารอารักขาที่ติดตามมาก็แยกออกเป็นสองฝั่งและเฝ้าอยู่ด้านนอก
สวีถังหรานกำลังจะตามเข้าไปในเรือนชั้นใน แต่ใครจะคิดว่าหยางเจาชิงกลับหยุดเดินหันตัวมา แล้วยิ้มให้เบาๆ พร้อมเตือนว่า “นายท่านสวี ท่านอ๋องยังมีกิจธุระต้องจัดการ!”
“เอ่อ…” สวีถังหรานหยุดชะงัก สีหน้าเก้อเขินเล็กน้อย พยักหน้าตอบรับซ้ำๆ แต่สายตากลับชำเลืองเหมียวอี้ที่เดินเข้าไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา
หยางเจาชิงพยักหน้าเล็กน้อย ทิ้งสวีถังหรานเอาไว้คนเดียว แล้วตามเข้าไปเช่นกัน
สวีถังหรานทำได้เพียงยืนอยู่ข้างนอกตาปริบๆ ในใจรู้สึกคันยิบๆ เหมือนมีแมวเกา เขารู้ว่าตอนนี้กำลังจะเลือกคนที่รับตำแหน่งในทัพใต้แล้ว แต่ไม่รู้ข่าววงในเลยสักนิด ไม่รู้ด้วยว่าเหมียวอี้จะจัดให้เขาอยู่ในตำแหน่งใน
ที่จริงงานใหญ่ในครั้งนี้เขาก็เข้าร่วมด้วยน้อยเกินไป ศึกใหญ่ในครั้งนี้เขาไม่ได้สร้างผลงานการรบใดๆ เลย นอกจากรู้ว่าท่านอ๋องแต่งงานกับลูกสาวของผังก้วนแล้ว อย่างอื่นก็ไม่รู้เลย จนกระทั่งเรื่องราวเปิดเผย เขาถึงได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทั้งตกตะลึงกับอุบายพลิกเมฆคว่ำหมอกของเหมียวอี้ ทั้งยืนยันการคาดเดาของตัวเองอีกครั้ง ว่านายท่านไม่กลัวเรื่องใหญ่จริงๆ ด้วย ยิ่งเรื่องใหญ่ก็ยิ่งไต่เต้าได้เร็ว
แต่ครั้งนี้เหมียวอี้ก็ไต่เต้าเร็วเกินไปจริงๆ เปลี่ยนจากผู้ตรวจการใหญ่ไปเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้โดยตรง สวีถังหรานเองก็รู้จักข้อบกพร่องของตนเอง ความรู้ความสามารถก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าอยากจะก้าวตามเหมียวอี้ไปนั่งตำแหน่งจอมพล แค่คิดก็ยังไม่ต้องคิด ไม่มีความเป็นไปได้เลย
เขารู้ตัวเองดีว่าเกียรติยศความร่ำรวยของตัวเองได้มาจากอะไร ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเหมียวอี้ ถ้าเดินตามก้าวนี้ไม่ทัน ทำให้เกิดระยะห่างระหว่างกันมากเกินไป ในภายหลังยังจะอาศัยผลประโยชน์ได้หรือเปล่ายังเป็นปัญหาเลย ตอนนี้คนเก่งๆ ใต้บังคับบัญชาของเหมียวอี้มีจำนวนนับไม่ถ้วน ถ้าไม่ระวังก็อาจจะลืมสวีถังหรานได้
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขายังมีความคิดที่จะชำเลืองซ้ายมองขวาด้วยความลำพองใจ แต่ตอนนี้ไม่มีความคิดนั้นสักนิดเลย เหมียวอี้กลายเป็นขุนนางระดับบนสุดแล้ว ขอเพียงไม่มีกบฏ ตำแหน่งขุนนางก็มาถึงระดับบนสุดแล้ว เขารู้อย่างลึกซึ้งว่าเมื่อเดินมาถึงขั้นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องคิดอย่างอื่นแล้ว แค่กอดขาเหมียวอี้ไปทั้งชีวิตก็เพียงพอ
ประเด็นก็คือ เขายังจะกอดขาข้างนี้ได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย เขากังวลเป็นอย่างมาก
จวนท่านอ๋อง เรือนชั้นใน ตึกศาลาที่อยู่ฝั่งซ้ายฝั่งขวาบางครั้งก็มีสาวงามมากมายเดินไปเดินมา คอยชื่นชมความงดงามของจวนท่านอ๋อง พวกนางคืออนุภรรยาที่เหมียวอี้รับไว้ ส่วนใหญ่เหยียนซิวตรวจสอบแล้วว่าไม่มีปัญหา ย้ายเข้ามาแล้ว ทั้งหมดมีเรือนเป็นของตัวเองแล้ว ตอนนี้คนที่เข้ามาอยู่เป็นเพียงส่วนน้อย คนที่เหลือเหยียนซิวยังคงตรวจสอบอย่างแนบเนียน คนที่เข้ามาอยู่ส่วนใหญ่ไม่รู้จักเหมียวอี้เลย มีหลายคนที่ไม่เคยเห็นหน้าเหมียวอี้ด้วยซ้ำ แต่มาแล้วเคยเจอหยางเจาชิง อย่างไรเสียหยางเจาชิงก็เคยโผล่หน้ามาเจอพวกนางตามมารยาท
ตอนนี้สังเกตเห็นแล้วว่าหยางเจาชิงกำลังเดินตามหลังผู้ชายคนหนึ่ง ดูจากท่าทีของหยางเจาชิงที่เดินตามหลัง ก็แทบจะรู้โดยไม่ต้องเดาว่าคนที่เดินข้างหน้าคือเหมียวอี้ แต่ละคนอดไม่ได้ที่จะหันตัวมาจ้องประเมินเหมียวอี้ พบว่าชายผู้นี้มีลักษณะองอาจห้าวหาญ มีพลังอำนาจไม่ธรรมดา ทำให้ใจสั่นทันที อย่างไรเสียรูปลักษณ์ภายนอกของผู้ชายก็เป็นมาตรฐานหนึ่งที่ผู้หญิงต้องพิจารณาว่ายอมรับได้หรือไม่
ดูยังหนุ่มยังแน่น หน้าตาไม่แย่ ทั้งยังมีอำนาจมากขนาดนั้น ย่อมมีคนหวั่นไหนอยู่แล้ว พวกนางแอบคิดว่าเมื่อไรจะได้เจอหน้าเขา คนในครอบครัวพวกนางกำชับมาแล้ว ว่าถ้าสามารถทำให้เหมียวอี้โปรดปรานได้ ตระกูลของพวกนางก็มีโอกาสจะได้อำนาจกลับมาอีกครั้ง ตัวพวกนางแบกรับอนาคตของครอบครัวเอาไว้ ต่อให้ไม่เต็มใจแต่ก็ต้องประเมินสักหน่อยว่าจะพยายามเอาใจอย่างไร แต่ดูจากตอนนี้เหมือนไม่มีโอกาสเข้าใกล้ ฝั่งนี้ยังไม่อนุญาตให้พวกนางออกจากเรือนไปเดินเพ่นพ่านในจวนท่านอ๋องตามอำเภอใจ
กงหนีฉางกับอวี่เหวินหรูเมิ่งมาด้วยกัน ทั้งยังหัวอกเดียวกัน ฐานะก็เท่าเทียมกันอีก ที่นี่ไม่มีคนรู้จัก ตอนนี้ทั้งสองจึงกลายเป็นสหายกันแล้ว ตอนนี้กำลังยืนพิงศาลาคุยกันด้วยความกลัดกลุ้ม สังเกตเห็นเหมียวอี้แล้วเช่นกัน
ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ เหมียวอี้ทำให้พวกนางรู้สึกสะพรึงและหวาดกลัว ตลอดชีวิตนี้พวกนางไม่มีวันลืมท่าทางเย็นชาไร้หัวใจของเหมียวอี้ตอนพบกันครั้งแรก และยิ่งไม่ลืมวันเข้าห้องหอที่ตัวเองนั่งรออยู่หลายวันแต่ไม่เห็นเงาเขา สุดท้ายก็ยังเป็นมารดาของพวกนางที่ช่วยเปิดผ้าคลุมศีรษะให้แล้วบอกว่าช่างเถอะ ตอนนั้นแม่ลูกทั้งสองคู่ร้องไห้ฟูมฟาย สุดท้ายทั้งบิดามารดาก็ออกไปจากที่นี่แล้ว ทิ้งพวกนางให้โดดเดี่ยวอยู่ที่นี่ พวกนางสองคนทำได้เพียงผูกมิตรกันไว้ เพื่อจะลดความกระวนกระวายและหวาดกลัวที่พวกนางมีต่ออนาคต
ความคิดของเหมียวอี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวพวกนางเลยสักนิด เดินตรงไปที่จุดสำคัญของเรือนชั้นในโดยตรง
เรือนชั้นใน โถงหลัก หยางชิ่งโผล่หน้ามาอีกครั้ง กุมหมัดคารวะ “ยินดีด้วยท่านอ๋อง!”
เหมียวอี้ยิ้มเบาๆ เดินเข้ามาในโถง หันตัวมายืนดีๆ แล้วจู่ๆ ก็โค้งกายคารวะต่อหยางชิ่งด้วยท่าทางจริงจัง “ครั้งนี้ได้อาณาเขตทัพใต้มาอย่างราบรื่น ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะอุบายห่วงสัมพันธ์ของท่านบุรุษ เป็นผลงานใหญ่ของท่านบุรุษ ขอกล่าวขอบคุณตรงนี้ก่อน ในอนาคตจะตอบแทนอย่างงาม!”
หยางชิ่งรีบหลบไปด้านข้าง แล้วทำความเคารพคืน “ท่านอ๋องถ่อมตัวเกินไปแล้ว หยางชิ่งก็แค่วางแผนการรบบนกระดาษเท่านั้น จริงๆ แล้วก็ยังเป็นท่านอ๋องที่รวบรวมข้อมูลและนำมาใช้ประโยชน์เอง” เกรงใจก็เป็นสาเหตุหนึ่ง แต่เขาก็ไม่อยากรับผลงานนี้ไว้เช่นกัน
เหมียวอี้ไม่ปฏิเสธเขา กล่าวอย่างลังเลว่า “มีปัญหายุ่งยากไม่น้อยเลย!”
“ทุกเรื่องล้วนมีทั้งคุณมีทั้งโทษ อย่างน้อยทางเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ถูกควบคุมอยู่ในมือท่านอ๋องแล้ว เส้นทางเปิดเผยสำหรับเข้าแดนอเวจี ท่านอ๋องก็ผ่านไปได้แล้วเช่นกัน” หยางชิ่งกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
เหมียวอี้หันตัวมานั่งลงแล้วบอกว่า “เกิดช่องโหว่นิดหน่อย ประมุขชิงต้องการจะให้ชิงหยวนจุนมารับช่วงต่อที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล”
“ชิงหยวนจุน?” หยางชิ่งชะงักไปชั่วขณะ แล้วยกมือตบหน้าผาก อุทานว่าไอ๊หยา “เป็นข้าเองที่คาดการณ์พลาด ทำไมถึงลืมเจ้าเด็กนั่นไปได้ ให้ชิงหยวนจุนเข้ามาที่นี่ ถือเป็นการเดินหมากที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ประมุขชิงก็น่าจะโยกย้ายกองทัพองครักษ์ส่วนหนึ่งให้เป็นทัพใหญ่แดนรัตติกาลโดยตรงเลย”
นี่ก็คือจุดที่เหมียวอี้เป็นกังวล ก่อนหน้านี้คิดมาตลอด ว่าไม่ว่าใครจะเข้าไปก็จะต้องประสบปัญหา ถ้าฝั่งนี้กับเฉาหม่านร่วมมือกัน ก็สามารถทำให้อีกฝ่ายมีที่ยืนลำบากได้เลย ทว่าหากชิงหยวนจุนนำกองทัพองครักษ์เข้ามาประจำการ ประมุขชิงจะต้องเลือกกำลังพลที่ไว้ใจได้เพื่อให้ความร่วมมือกับชิงหยวนจุนแน่นอน เมื่อทุกคนรวมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ภายใต้ความได้เปรียบด้านกำลังทหาร เกรงว่าแม้แต่เฉาหม่านก็ทำอะไรชิงหยวนจุนไม่ได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นเฉาหม่านก็รับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลแล้ว ถ้ายืนอยู่ในมุมผลประโยชน์ของตระกูลเซี่ยโห้ว คาดว่าคงเฝ้าคอยชิงหยวนจุนในระยะยาว มีความเป็นไปได้ต่ำที่จะแตะต้องอีกฝ่าย!
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็ถอนหายใจ “ประมุขชิงอาศัยเรื่องคำสั่งแต่งตั้งตำแหน่งในทัพใต้มาบีบพวกเรา ข้าว่าถ้าไม่ส่งแดนรัตติกาลให้เขาก็คงไม่ได้!”
หยางชิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าบอกว่า “เรื่องที่สำคัญในตอนนี้ก็คือ ท่านอ๋องต้องคุมสถานการณ์ภาพรวมของทัพใต้ให้มั่นคงก่อน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เราทำได้เพียงประนีประนอม!”
เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อน “มีราชันสวรรค์เป็นพ่อช่างดีนัก ปูทางไว้ให้เขาหมดแล้ว ให้เจ้าเด็กนั่นมาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้สบายๆ พอมาดูตอนนี้แล้ว จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลกลับกลายเป็นหินที่ข้าทุ่มใส่เท้าตัวเอง ถ้าวันไหนชิงหยวนจุนเอาเยี่ยงอย่างวิธีการที่ข้าโค่นล้มฮ่าวเต๋อฟางมาสู้กับข้า แถมเขายังมีพ่อคอยสนับสนุน แบบนั้นชีวิตข้าบันเทิงแน่”
หยางชิ่งส่ายหน้าเบาๆ “ทุกเรื่องล้วนมีข้อดีและข้อเสีย สำหรับพวกเรา หรือสำหรับประมุขชิงก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ายังไม่ถึงวันที่ประมุขชิงใกล้จะตาย ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ชิงหยวนจุนกุมอำนาจทางทหารมากเกินไป ผู้ที่มีอำนาจสืบทอดโดยชอบธรรมคนหนึ่ง บางทีสำหรับประมุขชิงแล้ว ในบางครั้งอาจจะเป็นภัยคุกคามมากกว่าท่านอ๋องก็ได้ ดังนั้นท่านอ๋องไม่ต้องกังวลเลย แล้วอีกอย่าง ตามความเห็นของข้าน้อย ที่จริงแล้วเจ้าเด็กชิงหยวนจุนนั่นไม่ต่างอะไรกับเซี่ยโห้วลิ่ง เดินบนเส้นทางที่ราบเรียบมาตลอด จู่ๆ มากุมอำนาจมหาศาลขนาดนี้ทั้งที่ขาดประสบการณ์ ทนอุปสรรคปัญหาไม่ได้ ไม่พอให้นายท่านกังวลเลย ข้าน้อยย่อมมีแผนดีๆ เอาไว้รับมือกับพวกเขาสองพ่อลูกอยู่แล้ว!”
“ยินดีฟังรายละเอียด!” เหมียวอี้ตาเป็นประกาย
หยางชิ่งเงียบไปพักหนึ่ง หลังจากจัดระเบียบความคิดแล้ว ก็กล่าวช้าๆ ว่า “ท่านอ๋องควรสานสัมพันธ์อันดีกับฝั่งราชินีสวรรค์ไว้เหมือนเดิม อย่าเพิ่งร้ายใส่กัน ผู้หญิงคนนั้นเป็นพวกไร้สมอง ทำอะไรอาศัยอารมณ์เป็นหลัก ปลอบประโลมได้ไม่ยาก! ส่วนชิงหยวนจุน ท่านอ๋องก็ต้องรักษาสัมพันธ์อันดีไว้เช่นกัน! จ้านหรูอี้เป็นเหมือนตะปูตำตา หนามตำใจราชินีสวรรค์ ตราบใดที่ยังไม่กำจัดทิ้ง นางก็คลายความแค้นได้ยาก แล้วประมุขชิงก็ดันรักจ้านหรูอี้สุดๆ ขอเพียงท่านอ๋องหาโอกาสวางอุบายกระตุ้นสักหน่อย เมื่อประมุขชิงปกป้องด้วยความรัก ราชินีสวรรค์ริษยาจนเคยชิน เรื่องนี้ก็จะเกิดผลกระทบบ้างแล้ว เมื่อมารดาได้รับความอัปยศ แค่คิดก็รู้แล้วว่าชิงหยวนจุนจะรู้สึกยังไง ชิงหยวนจุนอาจจะทนไหว แต่ถ้าท่านอ๋องคอยแทรกกลาง เกรงว่าเขาคงไม่ได้ทำตามใจตัวเอง”
“จะแทรกกลางยังไง?” เหมียวอี้ถาม
หยางชิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอ๋องก็ฉวยโอกาสเติมเชื้อไฟ ฝั่งหนึ่งแอบติดต่อกับราชินีสวรรค์ ฝั่งหนึ่งแอบติดต่อกับชิงหยวนจุน เมื่อถึงเวลาจำเป็นก็แบ่งอาณาเขตทัพใต้ให้ชิงหยวนจุนสักหน่อย ตราบใดที่กำลังพลยังอยู่ในมือท่านอ๋อง ก็สามารถเรียกคืนอาณาเขตกลับมาได้ทุกเมื่อ เอาเป็นว่าต้องสรรหาวิธีต่างๆ มาทำให้ประมุขชิงมองออกว่าชิงหยวนจุนอยากจะขยายอำนาจของตัวเอง แม่กับลูกชายเคลื่อนไหวทั้งข้างนอกข้างในเพราะเรื่องของจ้านหรูอี้ มีหรือที่ประมุขชิงจะไม่ตกใจ! ถ้าประมุขชิงมีเจตนาจะควบคุมชิงหยวนจุนเมื่อไร ท่านอ๋องก็สามารถฉวยโอกาสบอกเจตนาของประมุขชิงให้ชิงหยวนจุนรู้ ชิงหยวนจุนมีกำลังทหารอยู่ในมือ มีหรือที่จะนั่งรอความตาย? ระหว่างสองพ่อลูกจะต้องมีฉากคึกครื้นให้ดูแน่นอน!”
เหมียวอี้เข้าใจแล้ว ให้ประมุขชิงกับลูกชายเข่นฆ่ากันเอง! เขาลุกขึ้นปรบมือชมทันที “ดี! เป็นแผนการที่เลิศจริงๆ!”
หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ มองหยางชิ่งหลายครั้ง ในใจแอบบอกว่า เสนาธิการปีศาจตัวจริง!
เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่หยางเจาชิงต้องยอมรับ ว่าถ้าไม่ใช่เพราะแผนการอันน่าอัศจรรย์ของหยางชิ่ง อาศัยศักยภาพของท่านอ๋อง ครั้งนี้ก็ไม่มีทางฮุบอาณาเขตทัพใต้ได้เลย!
เมื่อสงบสติอารมณ์แล้ว เหมียวอี้ก็บอกอีกว่า “เป็นอย่างที่คาดไว้ เฟยหงมารายงาน ว่าฝั่งประมุขชิงต้องการให้ลอบสังหารข้า ตอนนี้ยังต้องถ่วงเวลาก่อน จะใช้ข้ออ้างอะไรถ่วงเวลาโดยไม่ให้ประมุขชิงสงสัยดีล่ะ”
หยางชิ่งกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “มีอะไรยากเล่า? ด้านนอกยังมีอนุภรรยาเป็นโขยงไม่ใช่เหรอท่านอ๋อง เป็นสมาชิกครอบครัวผู้หญิงทั้งนั้น ไม่สะดวกจะให้คลุกคลีกับผู้ชาย ในเมื่อหงฮูหยินมาแล้ว ไปช่วยจัดการดูแลแทนท่านอ๋องก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล สามารถลดโอกาสที่หงฮูหยินจะลงมือกับท่านอ๋องได้ หงฮูหยินจะใช้อ้างเหตุผลนี้ชี้แจ้งกับหน่วยตรวจการซ้าย นี่เป็นข้ออ้างที่ดีสำหรับถ่วงเวลา”
เหมียวอี้พยักหน้าให้หยางเจาชิงทันที บอกใบ้ให้ไปจัดการ
อีกประเดี๋ยวเหมียวอี้ก็เอ่ยถึงเรื่องที่กังวลอีกเรื่องหนึ่ง “รากฐานกองทัพฝั่งพวกเราอ่อนแอเกินไป จะไม่ใช้งานกำลังพลบางส่วนของทัพใต้ก็ไม่ได้ ที่จริงแล้วคนพวกนั้นมีความคิดอะไรกันแน่ ไม่ว่าใครก็ยากจะเดาออก!”
หยางชิ่งได้ยินแล้วแอบถอนหายใจ นี่เหมียวอี้เริ่มปฏิบัติต่อเบื้องล่างด้วยความระแวงแล้ว เมื่อก่อนระแวดระวังแต่กลับไม่กังวลขนาดนี้ สุดท้ายสภาพจิตใจของท่านนี้ก็มีแนวโน้มที่จะเดินไปทางนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาพูดปลอบว่า “ท่านอ๋อง ทั้งอาณาเขตทัพใต้ใหญ่ขนาดนี้ กำลังพลมากขนาดนั้น คนเราล้วนมีจิตใจเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนทั้งนั้น ถ้าอยากจะให้ทุกคนพอใจ จะให้จิตใจฝักใฝ่ท่านอ๋องกันหมด นั่นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าประมุขชิงร่วมมือกับประมุขพุทธะ ก็ใช่ว่าจะไร้ความสามารถในการปราบกลุ่มอำนาจใหญ่พวกนั้น แต่สาเหตุที่เขาไม่ทำอย่างนั้น ก็เพราะเขารู้ชัดเจน ว่าถ้ามีคนเก่าล้มไปก็จะมีคนใหม่ขึ้นมาแทน ไม่ว่าเขาจะสนับสนุนให้ใครขึ้นตำแหน่งก็เลี่ยงไม่ได้ทั้งนั้น นี่คือเรื่องที่เป็นวัฏจักร เขาทำได้เพียงพยายามแบ่งอำนาจและคานอำนาจกัน ตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว คนที่คุมใต้หล้าไม่มีใครที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการตัดสินใจเพียงลำพัง สิ่งสำคัญคือกำลังคานอำนาจกัน และสิ่งนี้ก็เหมาะสมที่จะใช้กับท่านอ๋องในตอนนี้ด้วย!”
เหมียวอี้พยักหน้าอย่างเข้าใจ ขจัดความกังวลในใจได้แล้วนิดนห่อย
หยางชิ่งบอกอีกว่า “ท่านอ๋อง สถานการณ์ทางวังสวรรค์ก็ต้องทำความเข้าใจไว้เช่นกัน จะให้ดวงตามืดบอดไม่ได้ ท่านควรจะคัดเลือกบรรดาสาวงามที่ไหวพริบดีส่งเข้าวังได้แล้ว เตรียมไว้ใช้งานในอนาคต!”
……………