พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2067 รบชนะทุกศึก
ตำหนักดาราจักร ประมุขชิงนั่งสง่าอยู่หลังโต๊ะยาวกำลังถือรายงานของหนิวโหย่วเต๋อที่ซ่างกวนชิงส่งต่อมาให้
หลังจากอ่านซ้ำๆ ประมุขชิงก็ถามว่า “ทำไมไม่เห็นคำสั่งแต่งตั้งของรองผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลเหวินเจ๋อกับพรรคพวก?”
พอพูดถึงตรงนี้ ซ่างกวนชิงก็สีหน้าบึ้งตึงลงอย่างอดไม่ได้ “ฝ่าบาท บ่าวถามหนิวโหย่วเต๋อแล้ว หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าพวกเหวินเจ๋อรบตายในสึกครั้งนี้ บอกว่าต้องให้ตำหนักสวรรค์ประทานเกียรติยศให้พวกเหวินเจ๋อที่รบตายไป! ตามความเห็นของข้าน้อย เกรงว่าพวกเหวินเจ๋อคงโดนหนิวโหย่วเต๋อสังหารแล้ว!”
“หึ!” ประมุขชิงตบโต๊ะ หัวเราะอย่างเย็นเยียบพักหนึ่ง “ไอ้จัญไรนี่ยิ่งนับวันจะยิ่งใจกล้าขึ้นเรื่อยๆ!”
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน จบการประชุมขุนนางที่ตำหนักฟ้าดินอีกครั้ง เรื่องที่ประมุขชิงเสนอคำสั่งแต่งตั้งโอรสสวรรค์ชิงหยวนจุนให้เป็นผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เรื่องที่โยกย้ายกองทัพองครักษ์ห้าสิบล้านให้เป็นกำลังพลแดนรัตติกาล ครั้งนี้ไม่มีเสียงคัดค้าน ผ่านไปได้อย่างราบรื่น ส่วนคำขอแต่งตั้งตำแหน่งต่างๆ ในทัพใต้ที่เหมียวอี้รายงานขึ้นมา ก็ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางทั้งราชสำนัก ประมุขชิงไม่ได้คัดค้านเช่นกัน
ประมุขชิงกับเหมียวอี้ล้วนยอมถอยคนละก้าวเพื่อประนีประนอม เรียกได้ว่ามีการแลกเปลี่ยนทางผลประโยชน์ ทั้งสองฝ่ายต่างไม่พอใจการกระทำของกันและกัน แต่ก็ล้วนได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้ว
หลังจากจบการประชุม ประมุขชิงก็ตรงไปที่ตำหนักนารีสวรรค์ ก่อนการประชุมจะเริ่มชิงหยวนจุนได้กลับมาที่วังสวรรค์แล้ว ตอนนี้กำลังถามสารทุกข์สุกดิบกับมารดาที่ตำหนักนารีสวรรค์
นอกตำหนักนารีสวรรค์ ชายวัยกลางคนที่ผมหงอกขาวทว่าสายตาแน่วแน่กำลังยืนอยู่ด้านนอกประตูใหญ่ ไม่รู้ว่ากำลังรอใคร
เมื่อประมุขชิงมาถึง ทหารยามตรงประตูก็ทำความเคารพ รวมทั้งชายหนุ่มคนนั้นด้วย
สายตาประมุขชิงหยุดอยู่บนตัวชายหนุ่มคนนั้น ตั้งใจหยุดเดินเพื่อเขา เดินไปหยุดตรงหน้าเขาแล้วจ้องสำรวจศีรษะจดเท้า ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป หวังติ้งเฉา ข้ากับเจ้าไม่เจอกันมาหลายปีแล้ว!”
คนคนนี้ก็คือหวังติ้งเฉา ผู้ที่เข้าร่วมการทดสอบที่แดนอเวจีพร้อมกับเหมียวอี้แล้วได้อันดับหนึ่ง
หลังจากหวังติ้งเฉาได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกฮึกเหิมอย่างเห็นได้ชัดเจน หลังจากเข้าร่วมการทดสอบจนได้อันดับหนึ่งในปีนั้น เขาก็ได้รับเมตตาให้เข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพียงครั้งเดียว ราชันกับขุนนางเคยพบกันเพียงครั้งนั้น ไม่ได้เจอกันมาหลายปีขนาดนี้ เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าฝ่าบาทยังจำเขาได้ ทั้งยังตั้งใจเข้ามาทักทายเขาด้วย รู้สึกตื้นเต้นฮึกเหิมราวกับในหัวใจมีคลื่นสาดกระทบ
ข่มความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ หวังติ้งเฉากล่าวอย่างนอบน้อม “ขอรับ!”
“เคล็ดวิชาฝึกตนที่ให้คนส่งไปให้เจ้าปีนั้น ประสิทธิภาพเป็นอย่างไร?” ประมุขชิงถาม
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ประสิทธิภาพดีมาก ดีกว่าเคล็ดวิชาฝึกตนที่เคยฝึกก่อนหน้านี้มากขอรับ” หวังติ้งเฉาตอบด้วยความเคารพ
“อืม!” ประมุขชิงยื่นมือตบบ่าเขาเบาๆ แล้วกำชับว่า “ตั้งใจหน่อย นั่นคือเคล็ดวิชาฝึกตนของหนึ่งในสามสิบสองประมุขดาวเชียวนะ ถ้าทรัพยากรฝึกตนไม่พอ หรือมีอะไรลำบากก็ติดต่อซ่างกวนได้โดยตรง” แล้วหันกลับมาพูดเสริมอีกว่า “ซ่างกวน ให้ช่องทางติดต่อเขาไว้เถอะ”
“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงก้าวขึ้นมาข้างหน้าทันที หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา ให้หวังติ้งเฉาลงตราอิทธิฤทธิ์ไว้ เห็นได้ชัดว่านี่คือระฆังดาราแบบใหม่ ใช้อันเดียวก็สามารถเก็บช่องทางการติดต่อของคนจำนวนมากได้ ไม่ต้องพกระฆังดาราติดตัวหลายอัน
หวังติ้งเฉาลงตราอิทธิฤทธิ์ แล้วรีบหยิบระฆังดาราของตัวเองยื่นให้ เป็นระฆังดาราแบบใหม่เช่นกัน
หลังจากลงตราอิทธิฤทธิ์แล้ว ซ่างกวนชิงก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ต่อไปนี้ถ้ามีเรื่องอะไรก็ติดต่อข้าได้โดยตรง ไม่ต้องเกรงใจ” ท่าทีค่อนข้างอ่อนโยน
“ขอรับ!” หวังติ้งเฉากุมหมัดคารวะ
“ซ่างกวน รออีกสักพักมอบกระบี่เก้าเตาด้ามนั้นของข้าให้เขาด้วย” ประมุขชิงบอกซ่างกวนชิง แล้วก็หันมาบอกหวังติ้งเฉาอีกว่า “อีกประเดี๋ยวจะมีคำสั่งแต่งตั้งใหม่ให้เจ้า ตั้งใจทำงานให้ดี อย่าทำให้ข้าผิดหวัง!”
“รับทราบ!” หวังติ้งเฉาเอ่ยรับ
ประมุขชิงตบบ่าเขาอีก จากนั้นก็เดินก้าวยาวเข้าไปในตำหนักนารีสวรรค์ หวังติ้งเฉากุมหมัดคารวะน้อมส่ง ค้างอยู่ในท่านี้นานมาก
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าทหารยามที่อยู่ข้างๆ มองหวังติ้งเฉาด้วยสายตาอิจฉาขนาดไหน ไม่เคยเห็นฝ่าบาทตบบ่าพี่น้องกองทัพองครักษ์อย่างสนิทสนมขนาดนี้มาก่อน วันนี้นับว่าได้เห็นแล้ว พอพูดถึงหวังติ้งเฉาคนนี้ ทุกคนที่พอจะรู้เบาะแสมาบ้างล้วนรู้สึกสะท้อนใจ เขาเป็นคนที่ฝ่าบาทให้ความสำคัญเป็นพิเศษอย่างแท้จริง อยู่ในตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดผีมาหลายปีโดยไม่ก้าวหน้าอะไร จึงถูกโยกย้ายไปเป็นแม่ทัพภาคกองทัพองครักษ์เป็นกรณีพิเศษ ตอนนี้ได้เป็นหัวหน้าภาคกองทัพองครักษ์แล้ว ที่กองทัพองครักษ์ การข้ามจากระดับแม่ทัพภาคไประดับหัวหน้าภาคมีความหมายแฝงที่ไม่ธรรมดา กองทัพองครักษ์มีกำลังพลนับไม่ถ้วน คนที่สามารถผ่านเกณฑ์ไปได้เรียกได้ว่าหายากเหมือนขนหงส์เขากิเลน และตอนนี้ฝ่าบาทก็เอ่ยคำสั่งแต่งตั้งด้วยตัวเองต่อหน้าเขาอีก ไม่รู้เหมือนกันว่าคนคนนี้มีจุดไหนที่ทำให้ฝ่าบาทโปรดปรานได้
หารู้ไม่ว่าในใจหวังติ้งเฉารู้สึกตื้นตันใจแทบแย่ เขารู้อย่างลึกซึ้งว่าตัวเองคงใช้ชีวิตในสังคมไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะประมุขชิงแอบดูแลอย่างลับๆ มาตลอดหลายปี เกรงว่าแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปอยู่ซอกมุมไหน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดินมาถึงทุกวันนี้ได้
กระบี่ใหญ่สีขาวดุจหยกทั้งตัวที่ยาวครึ่งยังปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ซ่างกวนชิงถือกระบี่พร้อมบอกว่า “กระบี่เก้าเตา หลอมสร้างจากผลึกพิเศษที่หายากที่สุดในบรรดาแร่ผลึกทุกชนิด แหลมคมไร้ที่เปรียบ ทำลายได้ทุกสิ่ง เป็นอาวุธที่ฝ่าบาทใช้บุกยึดใต้หล้าในปีนั้น!”
เมื่อได้ยินว่าเป็นอาวุธที่ประมุขชิงใช้บุกยึดใต้หล้าในปีนั้น ทหารยามที่อยู่ข้างๆ ก็ตกใจไม่หยุด หวังติ้งเฉาก็ยิ่งหวาดกลัวจนถอยหลังสองก้าว “ของล้ำค่าขนาดนี้ ข้าน้อยมิกล้ารับไว้เลย!”
“ฝ่าบาทบอกว่าประทานให้เจ้า ก็แสดงว่าเป็นของเจ้าแล้ว หรือว่าเจ้าคิดจะขัดบัญชา?” ซ่างกวนชิงถาม
หวังติ้งเฉาคุกเข่าข้างเดียวทันที แล้วใช้สองมือชูขึ้นรับไว้ “ข้าน้อยน้อมรับบัญชา!”
ตอนวางกระบี่วิเศษลงในมือหวังติ้งเฉา ซ่างกวนชิงก็กล่าวอย่างสะเทือนอารมณ์เช่นกัน “ฝ่าบาทประทานกระบี่นี้ให้เจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง!”
“ข้าน้อยจะทุ่มเทสติปัญญาเเลความสามารถตราบจนชีวิตหาไม่!” หวังติ้งเฉากล่าวอย่างซาบซึ้งใจ
ซ่างกวนชิงเก็บมือแล้วถอยไปยืนรอด้านข้าง ปรายตามองหวังติ้งเฉาที่ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ อย่างทอดถอนใจไม่หยุด อดไม่ได้ที่จะนึกถึงหนิวโหย่วเต๋อ
หนิวโหย่วเต๋อในปีนั้นก็ได้รับการชื่นชมจากฝ่าบาทเช่นกัน ตั้งใจจะชุบเลี้ยง เห็นได้ชัดว่าหนิวโหย่วเต๋อโดดเด่นกว่าหวังติ้งเฉามาก และมีความสามารถมากกว่าด้วย ตอนแรกคงจะเป็นตัวเลือกแรกของฝ่าบาท ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี หนิวโหย่วเต๋อเผยความฉลาดเจ้าเล่ห์และผงาดขึ้นเร็วเกินไป กลับทำให้ฝ่าบาทรังเกียจและอยากกำจัดทิ้ง หวังติ้งเฉาที่นิ่งเงียบมาหลายปีกลับได้รับกระบี่เก้าเตาจากฝ่าบาทแล้ว ความหมายที่แฝงอยู่ในนั้นควรค่าให้ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
ความอ่อนเยาว์บนใบหน้าชิงหยวนจุนหายไปแล้ว ตอนนี้มีหนวดเคราสั้นๆ ลักษณะท่าทางกร้านโลกขึ้นหลายส่วน เปลี่ยนเป็นสุขุมใจเย็นมากขึ้น
สองพ่อลูกไม่ได้เจอกันมาหลายปี ตั้งแต่ถูกไล่จากวังสวรรค์ในปีนั้น ชิงหยวนจุนก็ไม่เคยได้พบบิดาอีกเลย เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อยากพบลูกหลายครั้ง แต่กลับถูกประมุขชิงขัดขวาง ทั้งยังด่าว่านางเป็นมารดาที่มีเมตตาเกินไปจนลูกเสียคน
หลายปีมานี้ ชิงหยวนจุนร่วมปราบโจรกับกองทัพองครักษ์ รวมศึกเล็กศึกใหญ่ก็นับว่าผ่านมาหลายสิบครั้ง ด้วยความที่ผู้บังคับบัญชาตั้งใจอบรมบ่มเพาะเพราะรู้อยู่แก่ใจ ย่อมได้สร้างผลงานการรบครั้งแล้วครั้งเล่า ได้ไต้เต้าขึ้นไปทีละก้าว คนที่รู้เรื่องราวเบื้องลึกต่างก็ตระหนักได้ ว่าอย่างไรเสียชิงหยวนจุนก็เป็นโอรสสวรรค์ กองทัพองครักษ์เป็นเพียงเวทีเริ่มต้นของโอรสสวรรค์ เป็นไปไม่ได้ที่จะปฏิบัติต่อเขาเหมือนคนทั่วไปเต็มที่ ถ้าปล่อยให้เขารบตายไปจริงๆ ไม่ว่าใครก็ชี้แจงต่อเบื้องบนไม่ไหว
เมื่อได้พบบิดาอีกครั้ง ในใจชิงหยวนจุนก็มีหลากหลายความรู้สึกปนกัน อดไม่ได้ที่จะนึกถึงฉากอันน่าเวทนาที่โดนไล่ออกจากวังในปีนั้น
หลังจากทำความเคารพแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็รีบก้าวไปข้างหน้าแล้วถามว่า “ฝ่าบาท ได้คำสั่งแต่งตั้งของจุนเอ๋อร์มาหรือยังเพคะ?”
“อืม” ประมุขชิงพยักหน้า ขณะมองประเมินลูกชายศีรษะจดเท้า ก็กล่าวเสียงเรียบว่า “จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลค่อนข้างแยกตัวเป็นอิสระ ดูเหมือนสงบราบเรียบ แต่ความจริงแล้วหากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา นั่นก็เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยคนโฉดชั่วดุร้าย ถูกขนาบอยู่ระหว่างศัตรู มีเรื่องมากมายที่ต้องให้เจ้าไปเผชิญหน้าเพียงลำพัง ไม่ได้มีผู้บังคับบัญชาคอยชี้แนะตลอดเวลาเหมือนตอนอยู่กองทัพองครักษ์แล้ว กองทัพองครักษ์ค่อนข้างเรียบง่าย แต่สถานการณ์บนอาณาเขตปกครองค่อนข้างซับซ้อน อย่านึกว่าเจ้าเป็นลูกข้าแล้วคนอื่นจะกลัวเจ้า หลังจากรับตำแหน่งแล้วต้องระมัดระวังให้มากๆ…” คำพูดตักเตือนคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
หลังจากนั้นไม่กี่วัน กองทัพองครักษ์ห้าสิบล้านนายที่กลายเป็นกำลังพลทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็มากันครบแล้ว ชิงหยวนจุนที่พักอยู่ในวังสวรรค์ไม่กี่วันกล่าวอำลา ก่อนจะนำทัพใหญ่ออกเดินทาง
หลังจากเข้ามาในอาณาเขตทัพใต้ ชิงหยวนจุนก็ตระหนักได้ว่าตัวเองเข้ามาในถิ่นของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว พอในหัวนึกถึงอดีตตอนรู้จักกับหนิวโหย่วเต๋อ ในใจก็พรั่งพรูความโกรธแค้น นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเป็นวีรบุรุษชั่วช้าเช่นนี้ บังอาจมาควบคุมพวกเขาสองแม่ลูกเอาไว้ปั่นหัวเล่น
“ท่านอ๋อง! ชิงหยวนจุนนำทัพใหญ่มา ถูกทหารยามดักไว้ตรงประตูดวงดาว ไม่ยอมรับการตรวจค้นจากทหาร กำลังพลของสองฝ่ายกำลังคุมเชิงกันอยู่ ชิงหยวนจุนฝากมาถามว่า ท่านอ๋องยังอยากจะได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์อยู่หรือเปล่า!”
จวนท่านอ๋อง ห้องหนังสือ หยางเจาชิงเข้ามารายงานเหมียวอี้
“อ้อ!” เหมียวอี้เอนหลังพิงเก้าอี้ หลังจากครุ่นคิดสักพักก็ยิ้มเบาๆ “ในปีนั้นที่ขอเงินข้าขนมจากข้า เขายังว่านอนสอนง่ายอยู่เลย ตอนนี้เริ่มเจ้าอารมณ์แล้ว เจ้าเด็กนี่คิดว่าตัวเองรบแค่ไม่กี่ศึกก็เก่งแล้วเหรอ ถ้าไม่มีพ่อหนุนหลัง เขาก็ไม่นับเป็นอะไรทั้งนั้น!” เหมียวอี้โบกมือ “ช่างเถอะ! ไม่ต้องค้นตัวเขา ปล่อยเขาเข้ามา ส่วนคนอื่นให้ตรวจสอบอย่างเข้มงวด ใครบุกเข้ามาโดยพลการ ฆ่า!”
หยางเจาชิงถ่ายทอดคำสั่งลงไป ส่วนเหมียวอี้ก็ไว้หน้าชิงหยวนจุนเต็มที่ ออกจากจวนท่านอ๋องมาต้อนรับด้วยตัวเอง
ผ่านไปไม่นาน ชิงหยวนจุนก็นำผู้ติดตามร้อยคนเหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงนอกจวนท่านอ๋อง
เมื่อ ‘สหายเก่า’ พบกันอีกครั้ง เหมียวอี้สวมมงกุฎหยกบนมวยผมและสวมชุดผ้าแพรทั้งตัว ตอนนี้กำลังยืนประสานมือตรงหน้าท้อง หรี่ตายิ้มมองชิงหยวนจุนโดยไม่พูดอะไร
ชิงหยวนจุนจ้องสำรวจเหมียวอี้ด้วยสายตาเย็นเยียบ รู้สึกได้ถึงพลังอำนาจอันน่าเกรงขามจากตัวเหมียวอี้
เขาอยู่ที่กองทัพองครักษ์มาหลายปี ย่อมรู้ชื่อเสียงของเหมียวอี้ในกองทัพองครักษ์ เคยสร้างผลงานรบที่นำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ตีทัพใหญ่หนึ่งล้าน ตอนนี้ยังไม่มีใครทำลายสถิติได้ อีกทั้งแต่ละเรื่องที่เหมียวอี้ทำหลังจากออกกองทัพองครักษ์ไปแล้วก็ยังร่ำลือเป็นวงกว้างอยู่ภายในกองทัพองครักษ์ ตอนนำกำลังพลหนึ่งแสนตีทัพตะวันออกห้าล้านแตกก็ทำให้กองทัพองครักษ์ฮือฮาเช่นกัน ตอนนำทัพใหญ่แดนรัตติกาลห้าสิบล้านใช้กลอุบายที่เอาแน่นเอานอนไม่ได้อย่างต่อเนื่อง ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งจนโค่นล้มฮ่าวเต๋อฟางและได้ทั้งอาณาเขตทัพใต้ กลายเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ในตอนนี้ ก็ยิ่งทำให้ภายในกองทัพองครักษ์ฮือฮากว่าเดิม
ในสายตาชิงหยวนจุน สิ่งที่เหมียวอี้ทำคือพฤติกรรมกบฏ แต่เขาก็รู้เช่นกันว่าในกองทัพองครักษ์มีคนไม่น้อยที่เอาแต่พูดว่าหนิวโหย่วเต๋อคือคนที่ออกไปจากกองทัพองครักษ์ เหมือนรู้สึกเป็นเกียรติไปด้วย อีกทั้งหนิวโหย่วเต๋อยังเคยสร้างผลงานการรบอันยิ่งใหญ่ไว้ที่กองทัพองครักษ์ กอปรกับตอนหลังอาศัยกำลังที่น้อยกว่าโจมตีชนะทุกศึก สำหรับกองทัพองครักษ์ที่ให้ความสำคัญกับผลงานการรบ มีคนไม่น้อยที่นับถือหนิวโหย่วเต๋อมาก ถึงขั้นมีคนมองหนิวโหย่วเต๋อเป็นเทพแห่งสงครามด้วย
กองทัพองครักษ์ส่วนใหญ่ไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของชิงหยวนจุน ดังนั้นชิงหยวนจุนจึงได้ยินคนไม่น้อยเอ่ยถึงเรื่องแบบนี้กับหูตัวเอง
บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพองครักษ์ ให้ความสำคัญกับผลงานการรบเช่นกัน เมื่อได้เห็นเหมียวอี้ในเวลานี้ นึกถึงผลงานการรบในอดีตของเหมียวอี้ ก็พบว่าผลงานเล็กน้อยที่ตัวเองสร้างไว้ห่างชั้นกับอีกฝ่ายจริงๆ เหมือนรุ่นเล็กมาเจอรุ่นใหญ่ แม้เขาจะคิดว่าตัวเองแค่ไม่เคยมีโอกาสเจอศึกใหญ่ แต่ยามเผชิญหน้ากับเหมียวอี้ที่รบชนะทุกศึก ก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน
…………………