พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2069 ขุนเขาเปล่งเสียงหัวร่อ ม่านพิรุณเคลื่อนคล้อย
สวีถังหรานทุ่มเทความพยายามหลักไปกับงานลับบางอย่างของเหมียวอี้ เรื่องรองลงมาก็คือราชสำนัก ส่วนงานบนอาณาเขตของท่านโหว ก็แค่คอยประสานงานติดต่อไว้กับหลงซิ่นก็พอแล้ว
เหมือนกับที่เหมียวอี้บอกสวีถังหรานไว้ เขาเองก็ไม่ได้เลื่อนตำแหน่งให้พวกฝูชิงเป็นกรณีพิเศษเกินไป คนพวกนี้ยังติดอยู่ที่ตำแหน่งหัวหน้าภาค เพียงแต่เฝ้าอยู่ในจุดยุทธศาตร์ของทัพใต้ทั้งหมด ล้วนเป็นด่านประตูดวงดาวในอาณาเขตทัพใต้
จนกระทั่งตอนนี้ ภายใต้การแทรกแซงอย่างลับๆ ของตระกูลเซี่ยโห้ว อำนาจสายต่างๆ ทั้งอาณาเขตทัพใต้ไม่มีการโต้กลับใดๆ สถานการณ์ภาพรวมของทัพใต้ถูกกำหนดแล้ว!
สามจอมพล เก้าเทพประจำดาว สิบแปดโหว ทั้งยังมีสมาชิกที่อยู่ในตำแหน่งรองจำนวนหนึ่งทยอยกันมาถึง เป็นครั้งแรกที่มารวมตัวกันครบในตำหนักประชุมของจวนจอมพล มาเพื่อรับแผ่นหยกคำสั่งแต่งตั้งของอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้อย่างเป็นการทางการ
ก็อย่างที่บอกไว้ ปราศจากการทำลายล้าง ย่อมไร้การประกอบสร้าง คนที่ได้เลื่อนเป็นจอมพล หรือลดตำแหน่งเป็นหัวหน้าภาค ทั้งหมดนี้เหมียวอี้เขียนคำสั่งแต่งตั้งขึ้นมาด้วยตัวเอง ถ้าเปลี่ยนเป็นตอนที่ฮ่าวเต๋อฟางอยู่ในตำแหน่ง ก็ไม่มีทางทำอย่างนี้ได้โดยตรง เป็นไปไม่ได้ที่ฮ่าวเต๋อฟางจะทำให้ทั้งทัพใต้ยุ่งเหยิง แต่เหมียวอี้กลับจัดการจนสภาพยุ่งเหยิง ไม่มีแรงต้านเหมือนตอนที่ฮ่าวเต๋อฟางยังอยู่ในตำแหน่ง แน่นอน วิธีการแต่งตั้งจากข้างบนลงข้างล่างโดยตรงแบบนี้มีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ในภายหลังเหมียวอี้ไม่สามารถทำอย่างนี้ได้บ่อยๆ แล้ว ต่อไปนี้ทั้งข้างบนข้างล่างก็ย่อมมีกติกาของพวกเขาเอง อ๋องสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานอย่างเจ้าไม่สามารถแต่งตั้งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่หรืออะไรเหล่านั้นได้โดยตรง เพราะถ้าทำอย่างนั้น เจ้าจะยังมีกำลังพลระดับล่างเอาไว้ดูแลอาณาเขตใต้สังกัดอีกทำไม? ท่านอ๋องอย่างเจ้าแทรกแซงไปดูแลให้หมดคนเดียวเสียก็สิ้นเรื่อง ไม่แบ่งแยกความสำคัญ เจ้าคนเดียวดูแลไหวเหรอ?
คนในตำหนักประชุมที่ได้รับคำสั่งแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ บ้างก็ดีใจบ้างก็เงียบไป
หลังจากเหมียวอี้กำชับคนกลุ่มนี้แล้ว บรรดาแม่ทัพในตำหนักใหญ่ก็แยกย้ายกันไป เหยียนเสี้ยว ซูชิงฉวนกับเหิงอู๋เต้าตามมาที่เรือนชั้นในของจวนท่านอ๋องแล้ว
ไม่ว่าในภายหลังจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยในตอนนี้เหิงอู๋เต้าก็สนับสนุนเหมียวอี้เต็มที่ ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ การสนับสนุนเหมียวอี้คุมทัพใต้ให้สงบก็เท่ากับสนับสนุนตัวเขาเอง หลังจากปรึกษาหารือกันแล้ว เขาก็เป็นคนแรกที่รีบกลับมาอาณาเขตของตัวเอง เพิ่งจะวางโครงสร้างสายมะเส็ง ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องจัดการ รายละเอียดของงานบางงาน เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ท่านอ๋องออกหน้าด้วยตัวเอง และเขาก็ต้องสรุปงานเพื่อรายงานต่อท่านอ๋อง
สำหรับซูชิงฉวน การได้รับตำแหน่งจอมพลเป็นเรื่องน่ายินดีที่เหนือความคาดหมาย ตอนแรกที่ติดตามผังก้วนไปก่อกบฏก็เพื่อสิ่งนี้ ดังนั้นการช่วยเหมียวอี้คุมอาณาเขตทัพใต้ให้สงบก็ถือว่าช่วยตัวเขาเองด้วยเหมือนกัน ตอนนี้เชื่อฟังคำสั่งเหมียวอี้ทุกอย่าง เมื่อได้รับคำสั่งแล้วก็รีบกลับไปเช่นกัน
สุดท้ายก็เหลือแค่เหยียนเสี้ยวที่ยืนอยู่ข้างกายเหมียวอี้อย่างเงียบๆ ท่าทีของเขาค่อนข้างเงียบงัน
สถานการณ์ของเขาไม่เหมือนกับซูชิงฉวนและเหิงอู๋เต้า ผู้ที่กลายเป็นผู้ตรวจการซ้ายทัพอารักขาของฮ่าวเต๋อฟางได้จะต้องเป็นลูกน้องคนสนิทที่สำคัญมากของฮ่าวเต๋อฟางแน่นอน ตอนนี้ฮ่าวเต๋อฟางถูกเหมียวอี้บีบให้ตาย แต่เขากลับกลายเป็นจอมพลใต้บังคับบัญชาของเหมียวอี้ เกิดความรู้สึกปนกันสลับซับซ้อน โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมรอบข้างที่คุ้นเคย ข้าวของยังเหมือนเดิมแต่คนเปลี่ยนไปแล้ว
เดินไปเดินมาอยู่ในสวนดอกไม้ เหมียวอี้ก็สังเกตปฏิกิริยาของเขาเป็นระยะเช่นกัน สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร แค่เตือนคำเดียวว่า “ซูอวิ้นกำลังเฝ้าดูแลสุสานให้ท่านอ๋องฮ่าว ก่อนจะไปก็ไปดูนางสักหน่อยแล้วกัน”
“ขอรับ!” เหยียนเสี้ยวเอ่ยรับ แล้วขอตัวออกไป
เหมียวอี้มองตามโดยไม่พูดอะไร หยางชิ่งปรากฏตัวข้างกายเขาเงียบๆ “ท่านอ๋อง เกรงว่าซูอวิ้นคงตั้งใจจะตายแล้ว ต้องการจะตามฮ่าวเต๋อฟางไป”
เหมียวอี้ตกใจขนลุก หันกลับมาถาม “ทำไมคิดอย่างนั้น?”
หยางชิ่งอธิบายว่า “นางส่งต่ออำนาจที่เหลือของตระกูลฮ่าวโดยสิ้นเชิง เหมือนมีเจตนาอยากรีบส่งต่องานรีบจบงาน ไม่ต้องให้พวกเราเร่งเลย ข้าน้อยไปดูไปทางนั้นไม่กี่ครั้ง นางจมอยู่ในเสียงฉินอันเสร้าสลดทุกวัน ความหมายแฝงในเสียงฉินไม่ค่อยดีเท่าไร ข้ากังวลว่าตอนนี้นางอยากจะทำตามความปรารถนาก่อนตายของฮ่าวเต๋อฟางให้สำเร็จเร็วๆ เมื่อจัดการตำแหน่งให้บรรดาพี่น้องที่ฮ่าวเต๋อฟางฝากฝังไว้เรียบร้อยแล้ว คาดว่าท่านอ๋องคงเก็บนางไว้ไม่ได้อีกแล้ว”
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน “เมื่อก่อนเคยได้ยินเรื่องของนางกับฮ่าวเต๋อฟาง ยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าขำ ยังรู้สึกว่าฮ่าวเต๋อฟางหยาบคายไร้เหตุผล ตั้งแต่ได้เห็นฮ่าวเต๋อฟางปาดคอตัวเองกับตา ถึงได้รู้ว่าเป็นคู่ชายหญิงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกจริงๆ ทั้งน่าเคารพทั้งน่าทอดถอนใจ! พอได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ เกรงว่าผู้หญิงคนนี้คงจะอยากตามฮ่าวเต๋อฟางไปจริงๆ”
“กำลังพลแสนกว่าข้างกายฮ่าวเต๋อฟางที่สู้จนถึงตอนสุดท้าย ไม่น่าเชื่อว่าอาศัยกำลังปะทะกันตรงๆ แล้วยังต้านทัพใหญ่หลายล้านที่เก่งที่สุดของผังก้วนไหว ถือเป็นหนึ่งในกำลังพลที่เกรียงไกรที่สุดในใต้หล้าจริงๆ ข้างกายท่านอ๋องยังขาดทหารอารักขาประเภทนี้ ในช่วงเวลาสำคัญสามารถต้านทัพเกรียงไกรหลายล้านได้ ถ้าปล่อยให้แยกย้ายกันไปก็น่าเสียดายเกินไปหน่อย ท่านอ๋องไม่อยากเก็บไว้ใช้งานเองเหรอ? ถ้าต้องการให้คนพวกนี้ยอมคล้อยตามเต็มที่ ก็ต้องทำให้ซูอวิ้นคล้อยตามก่อน แล้วค่อยให้นางเกลี้ยกล่อมพวกเขาอีกที!” หยางชิ่งกล่าว
พอพูดถึงกำลังพลหลายแสนนั่น เหมียวอี้ก็น้ำลายไหลเช่นกัน
หยางชิ่งบอกอีกว่า “ซูอวิ้นกลายเป็นพ่อบ้านของฮ่าวเต๋อฟางได้ แสดงว่าต้องมีจุดที่เหนือกว่าคนอื่นแน่นอน ฮ่าวเต๋อฟางสามารถนั่งตำแหน่งอ๋องได้มั่นคงมาหลายปีขนาดนี้ นางถือว่ามีความดีความชอบเยอะมาก แค่เรื่องที่นางเป็นฝ่ายปล่อยวางความแค้นที่ชิงเยว่ฆ่าล้างตระกูลนางในปีนั้นเพื่อให้ฮ่าวเต๋อฟางทำงานใหญ่ ก็จะเห็นว่าไม่ธรรมดาแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่เรื่องราวระหว่างขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ที่คนนอกไม่รู้ เกรงว่านางคงจะรู้ดีกว่าใครที่อยู่ข้างกายท่านอ๋อง ถ้าได้นางมาทำงานให้ ก็จะช่วยลดความยุ่งยากให้ท่านอ๋องได้ไม่น้อย อิทธิพลของนางที่มีต่อทัพใต้ก็สามารถช่วยท่านอ๋องปลอบประโลมใจคนได้โดยเร็วเช่นกัน แม้แต่นางยังยอมศิโรราบแล้ว การที่ท่านอ๋องชิงอาณาเขตทัพใต้มาจะไม่ใช่เรื่องที่ชอบธรรมเชียวหรือ? สำหรับคนประเภทนี้ ถ้าท่านอ๋องอยากจะช่วงชิงใต้หล้า ก็ไม่ต้องถือสาว่าจะมีเยอะเกินไป! คนประเภทนี้พบเจอได้แต่มิอาจไขว้คว้ามา ในเมื่อนางอยู่ข้างกายท่านอ๋องแล้ว จะไม่รับคนเก่งแบบนี้ไว้ได้ยังไง!”
เหมียวอี้ถอนหายใจยาว “ที่เจ้าพูดข้าเข้าใจทุกอย่าง แต่ถ้านางดึงดันจะติดตามฮ่าวเต๋อฟางไป ข้าจะทำยังไงได้ล่ะ ข้าก็มัดนางไว้ไม่ได้หรอกมั้ง?”
“ข้าน้อยมีแผนการอยู่อย่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือเปล่า แต่ก็ทดลองดูได้ ในเมื่อซูอวิ้นถูกขังอยู่ในความรู้สึกที่มีต่อฮ่าวเต๋อฟาง เช่นนั้นก็อาศัยความรักของฮ่าวเต๋อฟางเพื่อ…” หยางชิ่งกล่าว
ขณะฟังแผนการลับ เหมียวอี้ตาเป็นประกายพร้อมพยักหน้าเบาๆ
ห่างไปจากจวนท่านอ๋องทางใต้สามร้อยลี้ ในป่าภูเขาเขียวครึ้มที่มีแม่น้ำอ้อมผ่าน สายน้ำดุจริ้วผ้า ภูเขาดุจหลุมศพ
ในภูเขามีสวนป่าสุสานแห่งหนึ่ง ร่างของฮ่าวเต๋อฟางฝังอยู่ในเนินดินหลุมศพหลักของที่นี่ ส่วนเนินดินที่เหลือก็เป็นของทุกคนในตระกูลฮ่าว หลังจากศึกใหญ่ ศพของคนตระกูลฮ่าวที่สามารถเก็บรวบรวมได้ก็เก็บมาฝังไว้ที่นี่หมด มีทั้งหลุมเล็กหลุมใหญ่จำนวนหลายร้อย
ภูเขาเขียวยังคงอยู่ เพียงแต่มีหลุมศพเพิ่มขึ้นมา
เหยียนเสี้ยวยืนอยู่หน้าป้ายหลุมศพของฮ่าวเต๋อฟาง ราวกับใบหน้าและน้ำเสียงของผู้ที่จากไปยังคงอยู่ คนข้างหลังได้แต่เงียบงันไม่พูดอะไร
ข้างๆ กัน ซูอวิ้นใบหน้างามล่มเมือง สวมชุดกระโปรงยาวสีขาว ปล่อยผมยาวสยายปลิวตามลม มองป้ายหลุมศพด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าสลด
“เจ้าไม่เป็นไรใช่มั้ย?” จู่ๆ เหยียนเสี้ยวก็หันมามองนาง แล้วเอ่ยถามเสียงเบา
ซูอวิ้นดึงสติกลับมา “เจ้าไม่ต้องห่วง ข้ายังมีประโยชน์ให้เขาใช้งาน พวกเขาไม่กล้ากลั่นแกล้งข้าหรอก ข้าสบายดีทุกอย่าง”
เหยียนเสี้ยวบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อแต่งตั้งให้ข้าเป็นจอมพลสายเถาะของทัพใต้…” เขาเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ของทัพใต้ตอนนี้ให้ฟัง
ซูอวิ้นรู้สึกเหนือความคาดหมายนิดหน่อย หลังจากเงียบไปครู่เดียว ก็กล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “ปราศจากการทำลายล้าง ย่อมไร้การประกอบสร้าง เรื่องที่ท่านอ๋องทำไม่ได้ในปีนั้น หนิวโหย่วเต๋อถือโอกาสทำให้สำเร็จได้ในรวดเดียว กำจัดคนประพฤติทุจริตออกจากตำแหน่ง ปรับปรุงให้เหมาะสมในรวดเดียว มีสี่ทัพให้เห็นเป็นบทเรียนแล้ว หนิวโหย่วเต๋อไม่ยอมให้คนประพฤติทุจริตเติบโตอีกแน่นอน ใช้เวลาอีกไม่นาน ทัพใต้จะต้องกลายเป็นทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสี่ทัพแน่นอน!”
“แล้วตอนนี้ข้าควรทำยังไง? อยากจะฟังคำแนะนำจากเจ้าสักหน่อย” เหยียนเสี้ยวกล่าว
ซูอวิ้นถอนหายใจ “ก่อนหน้านี้ก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าเขาจะใจกล้าขนาดนี้ กล้าลงมือกับทัพใต้ โดยเฉพาะการไปสมคบกับตระกูลเซี่ยโห้ว เรียกได้ว่าฝ่าฝืนข้อห้ามร้ายแรงของประมุขชิง! เมื่อก่อนเขาเขายังมีอำนาจอ่อนแอ ยักคิ้วหลิ่วตากับตระกูลเซี่ยโห้ว ประมุขชิงอาจยังไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา แต่ตอนนี้เขามีกำลังทหารมากขนาดนี้ ทั้งยังไปสมคบกับตระกูลเซี่ยโห้วอีก ประมุขชิงจะเก็บเขาไว้ได้ยังไง ช้าเร็วก็ต้องลงมือสังหารเขาแน่! เหยียนเสี้ยว ข้าพูดตามตรง ที่จริงเจ้าไม่เหมาะสมที่จะคุมอาณาเขต ความสามารถอย่างเจ้าเหมาะจะบัญชาการทัพออกรบมากกว่า ที่เขาแต่งตั้งให้เจ้าเป็นจอมพลสายเถาะ ก็เพื่อใช้ประโยชน์จากอิทธิพลของท่านอ๋องมาทำให้ใจคนสงบมั่นคงไวๆ เรื่องแก่งแย่งผลประโยชน์พวกนั้นไม่เหมาะกับเจ้า เจ้าเอาชนะคนพวกนั้นไม่ได้ด้วย ข้างบนเจ้ามีหนิวโหย่วเต๋อ ข้างล่างเจ้าก็มีคนของหนิวโหย่วเต๋อ เจ้ามีแต่ต้องเกาะติดพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อเท่านั้น เจ้าต้องใช้อิทธิพลของเจ้าช่วยหนิวโหย่วเต๋อปลอบประโลมใจคน
ตราบใดที่เจ้าไม่มีความทะเยอทะยาน ถ้าจะใช้เล่ห์เหลี่ยมข้างบนก็มีหนิวโหย่วเต๋อ คนเบื้องล่างที่เจ้าปกครองก็คือคนของหนิวโหย่วเต๋อ จอมพลแบบนี้ทำให้หนิวโหย่วเต๋อวางใจที่สุด หนิวโหย่วเต๋อจะรับรองความปลอดภัยของเจ้า! ที่ข้าเตือนได้ก็มีเท่านี้ เรื่องในอนาคตไม่ว่าใครก็พูดได้ไม่ชัดเจน ประมุขชิงจะต้องกำจัดหนิวโหย่วเต๋อแน่นอน แต่หนิวโหย่วเต๋อก็เป็นสิงห์ร้ายที่เห่อเหิมทะเยอทะยานเช่นกัน ขนาดเมื่อก่อนตอนมีกำลังทหารอ่อนแอก็ยังฝ่าฝืนคำสั่งดิ้นรนเอาชีวิตรอด ตอนนี้มีอำนาจมหาศาลก็ยิ่งไม่นั่งรอความตาย กอปรกับมีความสามารถและกลอุบายที่ไม่ธรรมดา ทั้งยังรบเก่ง ช้าเร็วประมุขชิงก็ต้องบีบให้กบฏ หนิวโหย่วเต๋อกล้าทำเรื่องแบบนี้
บางทีอาจจะมีปณิธานที่จะยึดครองใต้หล้ามาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ อ๋องสวรรค์คนอื่นถูกสถานการณ์กดดัน จนหมดความฮึกเหิมไปนานแล้ว ขาดความกล้าหาญที่จะแสวงหาความก้าวหน้าแล้ว มีแค่หนิวโหย่วเต๋อที่เป็นคนหนุ่มเปี่ยมพลัง เร่าร้อนฮึกเหิม ปลุกปั่นสถานการณ์ให้เปลี่ยนแปลงได้เยอะเกินไป มีหลายเรื่องที่แม้แต่พวกเราก็มองไม่เข้าใจ เกรงว่าช้าเร็วก็ต้องสู้เอาเป็นเอาตายกับประมุขชิง!”
เหยียนเสี้ยวกล่าวช้าๆ “เกาะติดพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อ?” ทำสีหน้าเหลือเชื่อ เหมือนทนรับความรู้สึกนี้ไม่ไหว
ซูอวิ้นย้ายสายตาจากป้ายหลุมศพไปบนใบหน้าเขา ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ไม่ต้องลำบากใจ ไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะคิดยังไงด้วย ท่านอ๋องพูดไว้ก่อนตายแล้ว พวกเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดต่อท่านอ๋อง เป็นท่านอ๋องที่ทำผิดต่อพวกเจ้า ไม่ได้เตรียมทุกอย่างไว้ให้พวกเจ้า ท่านอ๋องบอกไว้แล้ว ว่าระหว่างเขากับหนิวโหย่วเต๋อไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน เรื่องในอดีตให้ปล่อยผ่านไปกับสายลม ตั้งแต่นี้ไปไม่ว่าพวกเจ้าจะทำอะไรก็ไม่ต้องรู้สึกผิด ใช้ชีวิตให้ดีเพื่อตัวเองและครอบครัว ถ้าพวกเจ้าปล่อยวางได้ ท่านอ๋องถึงจะตายตาหลับ…” นางชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วบอกอีกว่า “ถือว่าข้าพูดแทนท่านอ๋องก็แล้วกัน! เจ้าเพิ่งรับตำแหน่งจอมพล มีหลายงานที่ต้องจัดการ ไม่สะดวกจะเสียเวลาอยู่ที่นี่นาน ต่อไปนี้พวกเจ้าไม่สมควรจะมาที่นี่อีก ไม่อย่างนั้นจะทำให้คนคิดมาก ไปเถอะ ไม่ต้องมาอีก”
เหยียนเสี้ยวเผชิญหน้ากับป้ายหลุมศพ แล้วทันใดนั้นก็คุกเข่าข้างเดียว ก้มหน้าเงียบงันอยู่นานมาก พอยืนขึ้นมาอีกครั้ง ก็เม้มริมฝีปากแน่นพร้อมประสานมือคารวะซูอวิ้น กล่าวอย่างลำบากใจว่า “รักษาตัวด้วย!” จากนั้นหันตัวเดินก้าวยาวออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา
ขณะมองเงาร่างเขาเดินจากไป ซูอวิ้นเผยรอยยิ้มอ่อนๆ ที่งดงามดุจบัวบาน หันตัวเดินไปเอามือลูบหน้าป้ายหลุมศพ น้ำตาไหลไม่หยุด พึมพำกับตัวเอง “ขุนเขาเปล่งเสียงหัวร่อ ม่านพิรุณเคลื่อนคล้อย…”
ตอนที่เหมียวอี้ปรากฏตัวตรงประตูสวนป่าสุสาน ก็เห็นเพียงซูอวิ้นสวมชุดกระโปรงยาวสีขาวยืนอยู่ข้างป้ายหลุมศพ ขลุ่ยที่ค้ำอยุ่ตรงริมฝีปากส่งเสียงสะอื้น บนใบหน้ามีน้ำตาไหลหยดแล้วหยดเล่า
ป้ายหลุมศพที่ถูกน้ำฝนชะล้าง คนที่เศร้าโศกา เสียงขลุ่ยร่ำไห้ ทั้งยังมีกระท่อมหลังหนึ่งข้างกัน สิ่งที่เห็นทำให้เหมียวอี้รู้สึกสะเทือนใจ ขลุ่ยบรรเลงบทเพลงที่สื่อถึงจิตใจอันเศร้าสลดปวดร้าว ทำให้คนที่ได้ฟังรู้สึกราวกับว่าความเศร้าโศกนั้นไม่มีวันหายไป ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าอะไรเรียกว่าทุ่มเทความรู้สึกลึกซึ้งเกินไป เข้าใจแล้วเช่นกันว่าทำไมหยางชิ่งได้ยินเสียงฉินแล้วรู้สึกไม่ดี กังวลว่าผู้หญิงคนนี้คิดจะตามฮ่าวเต๋อฟางไป
……………