พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2070 ยังไม่สิ้นทายาท
เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพเหตุการณ์ก่อนฮ่าวเต๋อฟางปาดคอตัวเอง ภาพที่ฮ่าวเต๋อฟางจับมือซูอวิ้นพลางขอร้องให้เขาปล่อยนางไป ก่อนตายยังไม่ลืมที่จะช่วงชิงหนทางรอดให้ผู้หญิงคนนี้
พอจะเข้าใจเช่นกัน ว่าเหตุใดตอนนั้นซูอวิ้นจึงไม่พยายามหยุดยั้งฮ่าวเต๋อฟางไม่ให้ปาดคอตัวเอง
ฉากที่ฮ่าวเต๋อฟางพาดดาบตัดศีรษะตัวเองออกมาทำให้เขาสะเทือนใจจนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่ลืม ภาพอันสุดเศร้าตรงหน้าก็ทำให้เขาลืมเลือนได้ยากเช่นกัน
ชายหญิงคู่นี้ เหมียวอี้ไม่รู้จะบรรยายถึงพวกเขาอย่างไรดี ในเมื่อรักกันขนาดนี้ แต่ทำไมกลับไม่ยอมก้าวข้ามเส้นที่ขีดไว้?
ตอนที่เสียงขลุ่ยสะอื้นเงียบลง ซูอวิ้นถึงได้พบว่าเหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว นางไม่เช็ดน้ำตาบนใบหน้าทิ้ง แต่มองป้ายหลุมศพพร้อมถามว่า “ข้าควรจะแสดงความยินดีกับเจ้าหรือเปล่า?”
“ขอแค่ไม่แค้นข้าก็พอแล้ว” เหมียวอี้ถอนหายใจ พร้อมโค้งตัวคำนับป้ายหลุมศพสามครั้ง
“ไม่มีอะไรให้แค้นหรือไม่แค้น ก็อย่างที่ท่านอ๋องบอกไว้ตอนยังมีชีวิตอยู่ ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร แพ้แล้วก็คือแพ้แล้ว ท่านอ๋องกับข้าไม่ใช่คนที่แพ้ไม่เป็น ตระกูลฮ่าวตายไปหมดแล้ว อ๋องสวรรค์หนิวไม่ต้องกังวลว่าตระกูลฮ่าวจะมาล้างแค้น” พูดจบก็เดินไปทางกระท่อมอย่างช้าๆ “ยังมีอะไรอยากจะรู้อีกก็ถามข้ามาได้เลย ถ้าเป็นเรื่องที่ท่านอ๋องเคยให้สัญญาไว้ ข้าก็จะทำให้ได้ ถ้าอ๋องสวรรค์หนิวรู้สึกว่าเก็บข้าไว้แล้วไม่วางใจ ก็สังหารข้าทิ้งได้เลย!” ซูอวิ้นกล่าว
สายตาเหมียวอี้มองตามนาง “เจ้ารีบร้อนอยากตายเหรอ?”
“เหมือนจะเป็นเรื่องที่อ๋องสวรรค์หนิวไม่น่าจะใส่ใจนะ” ซูอวิ้นตอบ
“บนโลกนี้ไม่ได้มีแค่เจ้าที่รักษาสัญญาได้ ก่อนท่านอ๋องฮ่าวตายก็ได้ฝากฝังพวกเจ้าไว้กับข้าแล้วเหมือนกัน ในเมื่อข้ารับปากว่าจะให้หนทางรอดกับพวกเจ้า ก็จะพยายามทำให้ได้แน่นอน” เหมียวอี้กล่าวอย่างใจเย็น
“เจ้าทำได้ก็ดีแล้ว ส่วนอย่างอื่นล้วนเป็นเรื่องของใครของมัน เจ้าดีจะเลวเจ้าก็ไม่ต้องกังวล” ซูอวิ้นเข้าไปในกระท่อม แล้วปิดประตูไว้
เหมียวอี้จ้องกระท่อม พร้อมกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ฮ่าวอวิ๋นเทียนอยู่ในมือข้า!”
ประตูที่ปิดไว้พลันเปิดออกอีกครั้ง ร่างของซูอวิ้นปรากฏอยู่ตรงประตู เบิกตากว้างจ้องเขา “เจ้าว่าอะไรนะ?”
เหมียวอี้ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้กระท่อม “คนของตระกูลฮ่าวไม่ได้ตายหมด ฮ่าวอวิ๋นเทียน หลานชายของท่านอ๋องฮ่าวยังไม่ตาย ตระกูลฮ่าวยังไม่สิ้นคนปักธูปบูชาบรรพบุรุษ”
“เรื่องที่น้ำพุวังเวงในปีนั้นเป็นฝีมือเจ้าเหรอ?” ซูอวิ้นจ้องเขาไม่ละสายตา
เหมียวอี้ไม่ตอบคำถาม “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าคนตระกูลฮ่าวตายหมดแล้ว บอกให้ข้าไม่ต้องกังวลว่าจะถูกตระกูลฮ่าวล้างแค้น ข้าเองก็รักษาสัญญากับท่านอ๋องฮ่าวเช่นกัน ก็เลยไม่เคยแตะต้องฮ่าวอวิ๋นเทียน ตอนนี้ข้าก็ยิ่งไม่อยากแตะต้องเขา เพราะข้าไม่อยากให้ตระกูลฮ่าวสิ้นทายาทปักธูปบูชาบรรพบุรุษ แต่ตอนนี้มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้ากังวลสุดๆ ถ้าวันไหนฮ่าวอวิ๋นเทียนไปสมคบกับลูกน้องเก่าที่จงรักภักดีของตระกูลฮ่าว ต้องการให้ตระกูลฮ่าวหวนคืนสู่อำนาจแล้วมาล้างแค้นข้า ถึงตอนนั้นข้าจะทำยังไง? ถ้าเจ้าตายไป ก็ไม่มีใครคอยควบคุมพวกลูกน้องเก่าที่จงรักภักดีต่อท่านอ๋องฮ่าวแล้ว ถ้าไม่มีทางเลือกจริงๆ ข้าก็ทำได้เพียงตัดรากถอนโคนตระกูลฮ่าว ทำให้ท่านอ๋องฮ่าวสิ้นทายาทโดยสิ้นเชิง ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ภายใต้สถานการณ์จำเป็น ลูกน้องเก่าพวกนั้นของท่านอ๋องฮ่าวก็อาจจะ…” เขาพูดไม่จบประโยค อีกฝ่ายเข้าใจความหมายที่เหลือแน่นอน
ซูอวิ้นกำหมัดแน่น คลายริมฝีปากที่เม้มแน่น เอ่ยปากเสนอขอเรียกร้องแล้ว “ข้าต้องการพบฮ่าวอวิ๋นเทียน!”
เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ ตอบรับแล้ว…
แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง ทะเลทรกตฟ้าคราม รอบด้านเป็นเกาะเขียวชอุ่ม หาดทรายขาวบริสุทธิ์
คฤหาสน์หลังหนึ่งบนเกาะ ทุกคนของตระกูลผังย้ายมาที่นี่แล้ว รอบข้างมองไม่เห็นทหารยาม แค่จำกัดไม่ให้พวกเขาออกไปจากเกาะนี้เท่านั้น ตอนนี้ดูปลอดภัยและมีหลักประกัน คนของตระกูลผังเริ่มวางใจแล้ว
ผังก้วนเปลือยเท้าเดินอยู่บนหาดทราย คลื่นสาดกระทบเท้าแล้วถอยร่นกลับไป ยืนทอดสายตามองไปไกลเพียงลำพัง ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน
สตรีงามหยาดเยิ้มคนหนึ่งเดินเนิบนาบออกมาจากป่า เดินมาข้างหลังผังก้วน แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่นี่ปลอดภัยมาก ไม่ต้องกังวลอะไร”
ผังก้วนหันขวับ รู้สึกคุ้นตาผู้หญิงคนนี้ เหมือนจะเคยเห็นมาก่อน แต่กลับนึกไม่ออกว่าชื่ออะไร “เจ้าคือ?”
“ปี้เยว่!” สตรีงามหยาดยิ้มกล่าวพร้อมยิ้มอ่อน
“อ้อ!” ผังก้วนนึกออกทันที พยักหน้าบอกว่า “ใช่แล้ว เจ้าคือปี้เยว่ ฮูหยินของเทียนหยวน”
ฮูหยินของเทียนหยวน…คำกล่าวนี้ทำให้ปี้เยว่ทำสีหน้าอับอายเล็กน้อย นางเดินมาตรงหน้าผังก้วน ยื่นมือจิ้มบนตัวผังก้วนต่อเนื่องกันสิบกว่าครั้ง
ผังก้วนถอนหายใจช้าๆ เฮือกหนึ่ง รู้สึกถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์อีกครั้ง ในที่สุดก็ได้คลายผนึกบนตัวแล้ว ความรู้สึกที่สามารถไปไหนมาได้ในโลกได้อย่างอิสระกลับมาอีกครั้ง เขาจ้องปี้เยว่พร้อมเอ่ยถาม “ที่นี่คือที่ไหน?”
ปี้เยว่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร ในมือเผยระฆังดาราสองอัน “ผังเสี้ยวเสี้ยวกับเฉินหวยจิ่วเป็นห่วงความปลอดภัยของพวกเจ้า ส่งข่าวกลับไปเถอะ พูดแต่เรื่องสำคัญ”
ผังก้วนเงียบไป ก่อนจะถอนหายใจ ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าคลยผนึกควบคุมให้ตนแล้ว ก็แสดงว่ามั่นใจว่าเขาหนีไปไม่ได้ เขาโบกมือม้วนระฆังดารามาไว้ในมือ ตรวจดูเล็กน้อย พบว่าน่าจะเป็นของตัวเอง บนนั้นเป็นตราอิทธิฤทธิ์ของเฉินหวยจิ่วกับลูกสาวจริงๆ จากนั้นทยอยติดต่อหาทีละคน
รอจนกระทั่งวางระฆังดาราลง ปี้เยว่ก็ยื่นมืออีก “ส่งระฆังดาราให้ข้า ข้าจะให้พวกเจ้าติดต่อกันตามกำหนดเวลา”
“ครอบครัวข้าเป็นอย่างนี้แล้ว ยังกังวลอีกเหรอว่าข้าจะเล่นตุกติกอะไร เก็บระฆังดาราไว้ที่ข้าเถอะ” ผังก้วนกล่าว
ปี้เยว่ส่ายหน้า “ส่งให้ข้าเถอะ แบบนี้จะเป็นผลดีต่อทุกคน”
“แล้วถ้าข้าไม่ส่งให้ล่ะ?” ผังก้วนลองถามหยั่งเชิง
ปี้เยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็มีน้ำเสียงราบเรียบไม่สะทกสะท้านดังมาจากในป่า “เจ้าก็ลองดูสิ!”
ผังก้วนหันไปมอง เห็นเพียงชายวัยกลางคนที่แต่งตัวเหมือนชาวนาเดินช้าๆ ออกจากจุดลึกของป่า แววตาอึมครึม ไว้หนวดสั้นหร็อมแหรม ข้างหลังสะพายดาบและหมวกงอบ แค่มองปราดเดียว ผังก้วนก็เบิกตากว้างแล้ว อุทานถามอย่างตกใจว่า “ไห่ยวนเค่อ?”
ตอนที่ยังไม่ก่อตั้งตำหนักสวรรค์ เขาเคยเจอไห่ยวนเค่อมาก่อน การมีอยู่ของไห่ยวนเค่อในปีนั้นทำให้เขามีสิทธิ์เพียงแหงนมอง เมื่อเคยเจอแล้วก็ยากจะลืมเลือน
ไห่ยวนเค่อเดินมาข้างกายปี้เยว่ แล้วจ้องผังก้วนอย่างเยียบเย็น
ปี้เยว่ถอนหายใจเบาๆ ยื่นมือไปหาผังก้วนอีก ส่วนผังก้วนก็จ้องไห่ยวนเค่อด้วยสีหน้าระแวงสงสัย เพียงแต่ยื่นระฆังดาราให้ปี้เยว่อย่างช้าๆ แล้วเช่นกัน
พอเก็บระฆังดาราแล้ว ปี้เยว่ก็บอกไห่ยวนเค่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไปกันเถอะ”
“ถ้าเจ้าเต็มใจ ก็คลายผนึกให้ทุกคนของตระกูลผังได้ แต่ทางที่ดีก็กำชับพวกเขาไว้ด้วย ว่าอย่าเพ่นพ่านไปทั่ว ที่สำคัญอย่าออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้ ไม่อย่างนั้นจะอันตรายมาก ถ้าตายไปก็มาโทษคนอื่นไม่ได้” ไห่ยวนเค่อพูดทิ้งท้าย หันตัวมาจูงมือปี้เยว่ แล้วเดินเลียบชายหาดหายไปด้วยกัน
“ที่นี่คือแดนอเวจีเหรอ?” ผังก้วนพลันตะโกนถาม
ไม่มีคำตอบ ชายหญิงเดินจูงมือกันไปโดยไม่หันกลับมาอีก
ไม่น่าเชื่อว่าฮูหยินของเทียนหยวนจะปล่อยให้ไห่ยวนเค่อจูงมืออย่างว่านอนสอนง่าย นี่มันเรื่องอะไรกัน? แค่เรื่องนี้ก็ทำให้ผังก้วนตกใจมากพอแล้ว จู่ๆ ก็ทำสีหน้าตกตะลึงยิ่งกว่า นึกขึ้นได้ว่าช่วงหนึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวลือครึกโครม บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของแดนอเวจี บอกว่าปี้เยว่แต่งงานกับไห่ยวนเค่อแล้ว ทั้งยังมีลูกสาวกับไห่ยวนเค่อด้วยคนหนึ่ง
“อย่าบอกนะว่าเป็นความจริงหมดเลย!” ผังก้วนพึมพำกับตัวเอง รู้สึกตกใจพอสมควร ถ้าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของแดนอเวจีจริง เช่นนั้นหลังจากชิงทัพใต้มาแล้วจะเกิดเรื่องอะไรต่อ ก็ไม่ต้องคิดมากแล้ว” หกลัทธิจะหวนคืนสู่ใต้หล้าอีกครั้งแล้วเหรอ?”
เขามองไปรอบด้านช้าๆ อย่างหวาดระแวงสงสัย อย่าบอกนะว่าที่นี่คือแดนอเวจีจริงๆ? อย่าบอกนะว่าผู้เหลือรอดของหกลัทธิสามารถเข้าออกแดนอเวจีได้อย่างอิสระ? เช่นนั้นที่ตำหนักสวรรค์เฝ้าทางเข้าออกแดนอเวจียังจะมีความหมายอะไร? ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมไห่ยวนเค่อถึงไม่ให้เขาเพ่นพ่านไปทั่ว ถ้าที่นี่คือแดนอเวจี การเพ่นพ่านไปทั่วก็ทำให้ตายได้จริงๆ
“เสี้ยวเสี้ยว ข้าบอกแล้วว่าจะรับประกันความปลอดภัยของทุกคนในตระกูลผัง ไม่ได้หลอกเจ้าใช่มั้ยล่ะ”
ในตึกศาลา เหมียวอี้พูดหยอกล้อขณะมองผังเสี้ยวเสี้ยวถือระฆังดารา การที่ผังเสี้ยวเสี้ยวกับผังก้วนได้ติดต่อกัน ก็ย่อมมีเพียงเขาที่สามารถประสานให้เรื่องนี้สำเร็จได้ หรือพูดได้อีกอย่างว่า ต้องรอให้สถานการณ์ของทัพใต้สงบก่อน เขาถึงจะเริ่มเตรียมการเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้เขาโดนเด็กสาวคนนี้กลอกตาใส่ไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง
ผังเสี้ยวเสี้ยววางใจแล้ว ได้ติดต่อบิดาแล้ว บิดาบอกว่าทุกคนในครอบครัวปลอดภัยดี ปลีกวิเวกอยู่ในสถานที่สงบเงียบ แต่นางก็ยังปากแข็งใส่เหมียวอี้ หันหน้าหนีไปอีกข้าง
เฉินหวยจิ่วเก็บระฆังดาราแล้วยิ้มเบาๆ เหมียวอี้พูดจาเชื่อถือได้ เขาก็วางใจแล้วเช่นกัน
เหมียวอี้บอกเขาว่า “ท่านพ่อตาอยู่ทางนั้น เจ้าไปที่นั่นก็ไม่มีความหมาย ไม่สู้คอยทำงานอยู่ข้างกายข้าดีกว่า จะได้ถือโอกาสดูแลคุณหนูบ้านเจ้าด้วย”
เฉินหวยจิ่วโค้งตัว “ขอรับ นายท่านให้ข้าดูแลคุณหนูอยู่ทางนี้ คอยฟังท่านเขย…ฟังคำสั่งของท่านอ๋อง”
“พ่อเจ้าบอกให้เจ้าเชื่อฟังข้าด้วยหรือเปล่า?” เหมียวอี้ถามผังเสี้ยวเสี้ยวอีก
ผังก้วนกำชับผังเสี้ยวเสี้ยวแล้ว เพียงแต่นางไม่ยอมรับ “ไม่รู้”
“งั้นอีกประเดี๋ยวรอให้หวังเฟยมาถามเจ้าแล้วกัน ถึงยังไงหวังเฟยก็ใกล้กลับมาแล้ว” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายแล้วเอามือไขว้หลังเดินออกไป
“หา!” ผังเสี้ยวเสี้ยวร้องอุทาน รู้สึกกังวลนิดหน่อย อดไม่ได้ที่จะถาม “หวังเฟย…หวังเฟยจะกลับมาเมื่อไร”
เหมียวอี้ที่ทำสีหน้าเจ้าเล่ห์ไม่หันกลับมา และไม่ตอบอะไรด้วย ตั้งแต่นี้ไปผังเสี้ยวเสี้ยวจึงเริ่มกังวลว่าควรจะเผชิญหน้ากับอวิ๋นจือชิวอย่างไร
ในเวลานี้อวิ๋นจือชิวกลับนั่งอยู่ในรถม้าคันหนึ่ง ในตัวรถที่โคลงเคลงยังมีคนอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นซูอวิ้นนั่นเอง
ซูอวิ้นเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าตัวเองมาถึงที่ไหนแล้ว
รถม้าขับตามทางภูเขาเข้าไปในดินแดนท้องทุ่งอันสงบสุขแห่งหนึ่ง สุดท้ายรถก็หยุดอยู่นอกหมู่บ้านแห่งหนึ่ง คนขับรถม้าถ่ายทอดเสียงบอกอวิ๋นจือชิวว่า “คนกำลังตกปลาอยู่ริมทะเลสาบขอรับ”
อวิ๋นจือชิวแหวกม่านหน้าต่างออก แล้วพูดกับคนที่ถือเบ็ดตกปลาอยู่ริมทะเลสาบว่า “คนที่ตกปลาก็คือเขา ไม่กี่ปีก่อนเขาถูกใจผู้หญิงคนหนึ่ง จึงแต่งงานรับนางเป็นภรรยา แล้วมีลูกชายหนึ่งคนกับลูกสาวหนึ่งคน”
คนที่ตกปลาก็คือฮ่าวอวิ๋นเทียน พอได้ยินเสียงสุนัขเห่าข้างหลัง เขาก็หันกลับไปมองแวบหนึ่ง ทำให้ตะลึงค้างทันที เพราะเห็นซูอวิ้นที่เพิ่งลงรถม้าเงยหน้ามองมาพอดี ทั้งสองสบตากันแล้ว
เบ็ดตกปลาในมือฮ่าวอวิ๋นเทียนตกลง ลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้ววิ่งเข้ามาทันที วิ่งมาถึงตรงหน้าซูอวิ้นในชั่วอึดใจเดียว แล้วกุมหมัดคารวะด้วยความดีใจราวกับเป็นบ้า “อวิ๋นเทียนคำนับพ่อบ้าน พ่อบ้านมารับข้าเหรอ?”
ซูอวิ้นมองสำรวจเขาที่สวมสามัญชนเรียบง่ายศีรษะจดเท้า นางน้ำตาคลอและส่ายหน้าช้าๆ สวรรค์คงเวทนา ท่านอ๋องยังไม่สิ้นทายาท!
ในขณะนี้เอง ในลานบ้านก็มีเด็กน้อยสองคนวิ่งออกมา เด็กชายไล่ตามหลังเด็กหญิงที่ถือว่าว ร้องโวยวายว่า “พี่สาวให้ข้าเล่น พี่สาวให้ข้าเลย…”
เมื่อเห็นคงแปลกหน้า เด็กหญิงก็อึ้งนิดหน่อย ปล่อยว่าวในมือให้น้องชายแย่งไป ส่วนนางก็ตะโกนเข้าไปในลานบ้านตัวเอง “ท่านแม่ ที่บ้านมีแขกมา”
ผ่านไปไม่นาน ในลานบ้านก็มีสตรีวัยกลางคนสวยสง่าคนหนึ่งเดินออกมา นางแต่งกายเรียบง่ายไม่ฉูดฉาด เมื่อเห็นหน้าตาและสง่าราศีอันน่าทึ่งของอวิ๋นจือชิวกับซูอวิ้น ก็ดูกระวนกระวายทันที นางค่อยๆ ก้าวไปยืนข้างฮ่าวอวิ๋นเทียนด้วยความรู้สึกอับอายเพราะด้อยกว่า แล้วถามเสียงอ่อนว่า “ท่านสามี เป็นญาติของท่านเหรอ?”
นางเคยได้ยินสามีตัวเองหลุดปากเอ่ยถึงมาก่อน ว่าเดิมทีเป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวย พอเห็นหน้าตาและการแต่งกายของแขกที่มา ก็ดูเป็นลักษณะของคนจากตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยจริงๆ
เด็กน้อยทั้งสองถูกดูดเข้ามาแล้วเช่นกัน เด็กน้อยไม่กลัวคนแปลกหน้า พอเข้ามาใกล้แล้ว เด็กชายก็สูดน้ำมูกแล้วถามเสียงอู้อี้ว่า “สวยจังเลย เหมือนนางฟ้าเลย”
“เจ้าไม่เคยเห็นนางฟ้าเสียหน่อย” เด็กหญิงพูดดูถูก
“อย่าเสียมารยาท!” ฮ่าวอวิ๋นเทียนตำหนิ แล้วจะไล่เด็กน้อยสองคนที่ไม่รู้ความไปที่อื่น
ซูอวิ้นกลับยื่นมือขวางเขา แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าเด็กชาย นางไม่รังเกียจความสกปรก ยกแขนเสื้อตัวเองขึ้นมาเช็ดน้ำมูกให้เด็กชายจนสะอาด จากนั้นใช้มือลูบสัมผัสใบหน้าเด็กน้อย กล่าวพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาว่า “น่ารักจริงๆ!” นางจูงมือเด็กหญิงเข้ามาอีก แล้วเงยหน้าถามฮ่าวอวิ๋นเทียน “นี่เป็นลูกชายกับลูกสาวของเจ้าเหรอ?”
…………