พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2071 ความจริงใจของพระปีศาจ
ฮ่าวอวิ๋นเทียนเก้อเขินเล็กน้อย ถึงอย่างไรตัวเองก็มีฐานะชาติตระกูล แต่งงานกับมนุษย์ธรรมดาก็ว่าหนักแล้ว ทั้งยังมีลูกสาวกับลูกสาวด้วยกันอีก เกรงว่าคนในบ้านคงจะหัวเราะเยาะ
แต่ก็ช่วยไม่ได้ เขาก็มีอารมณ์ความรู้เหมือนกัน ถูกกักบริเวณมาหลายปีขนาดนี้ สุดท้ายก็ยังอดทนไม่ไหว และตอนนี้ฮูหยินของเขาก็เป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่มีทางร่ายอิทธิฤทธิ์คุมเนิดได้ จึงปล่อยไปตามธรรมชาติ
แต่อีกประเดี๋ยวก็เปลี่ยนความคิด จะหัวเราะเยาะก็หัวเราะไปสิ เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นมาโทษเขาได้เหรอ? มิหนำซ้ำปัญหาเกิดแก่เจ็บตายของลูกเมียก็ทำให้เขากลัดกลุ้มมาตลอด หลังจากกลับไปแล้วอาศัยทรัพยากรของตระกูลฮ่าว ปัญหาทุกอย่างก็จะถูกแก้ไขแล้ว
ฮ่าวอวิ๋นเทียนมองภรรยาผู้มีจิตใจบริสุทธิ์งดงามทำท่าทางเขินอายเพราะตัวเองด้อยกว่า เขาก็ยื่นมือไปคว้ามือนางไว้ แล้วพยักหน้าบอกซูอวิ้นว่า “ใช่แล้ว! นี่คือ ฮูหยินของข้า”
“ดีๆๆ!” ซูอวิ้นพยักหน้าซ้ำๆ กางแขนกอดเด็กน้อยทั้งสอง ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ เด็กน้อยทั้งสองรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“สามี ท่านนี้คือ?” หลูซิ่วไม่ค่อยเข้าใจฐานะของผู้ที่มา จึงถามฮ่าวอวิ๋นเทียนเสียงเบาๆ
ฮ่าวอวิ๋นเทียนมองอวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง แล้วอึกอักเหมือนอยากพูดบางอย่าง
ผ่านไปพักใหญ่ ซูอวิ้นปล่อยเด็กน้อยทั้งสองแล้วยืนขึ้น มองกำไลเก็บสมบัติบนมือตัวเอง แต่ถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ นำของขวัญออกมาไม่ได้
ยังเป็นอวิ๋นจือชิวที่ทำตัวเหมือนเล่นมายากล หยิบห่อผ้าใบหนึ่งจากข้างหลังออกมาให้นาง
ซูอวิ้นนำของกินของเล่นจากห่อผ้าเป็นกองออกมาให้เด็กน้อยสองคน แล้วนำเสื้อผ้าเครื่องประดับชุดหนึ่งมอบให้หลูซิ่ว มีทั้งของเด็กของผู้ใหญ่ แสดงออกถึงความใส่ใจของอวิ๋นจือชิว
เครื่องประดับงามประณีตหรูหรา ทำให้หลูซิ่วไม่กล้ารับไว้ ฮ่าวอวิ๋นเทียนจึงพยักหน้าบอกว่า “ไม่เป็นไร รับไว้เถอะ”
หลูซิ่วรับไว้ก็ส่วนรับไว้ แต่ของขวัญนี้ทำให้นางไม่ค่อยสงบใจ แต่จนป่านนี้สามีก็ยังไม่ยอมรับเลยว่าแขกที่มามีฐานะเป็นอย่างไร
ส่วนฮ่าวอวิ๋นเทียนก็แอบระแวงสงสัย หลูซิ่วกับลูกๆ มองไม่ออก แต่จากเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ทำให้เขาพอจะมองออกแล้ว เหมือนซูอวิ้นจะถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์เหมือนกัน ลูกน้องคนสนิทข้างกายอ๋องสวรรค์ฮ่าว ใครกันที่กล้าทำกับซูอวิ้นแบบนี้?
“ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัว” ซูอวิ้นยื่นมือเชิญฮ่าวอวิ๋นเทียน
ฮ่าวอวิ๋นเทียนไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว เชิญซูอวิ้นเดินไปริมทะเลสาบด้วยกัน ส่วนอวิ๋นจือชิวกับหลูซิ่วก็คุยกันเรื่องเรื่องสัพเพเหระ สายตามองประเมินริมทะเลสาบเป็นระยะ
ฮ่าวอวิ๋นเทียนที่เดินมาถึงริมทะเลสาบอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เกิดเรื่องขึ้นแล้วใช่มั้ย?”
ระลอกคลื่นบนทะเลสาบส่องประกายวิบวับ สะท้อนความเศร้าสลดจางๆ บนใบหน้าซูอวิ้น “ไม่มีเรื่องอะไร”
“พ่อบ้านไม่ใช่คนที่จะร้องไห้ได้ง่ายๆ อย่างน้อยตั้งแต่เด็กจนโตข้าก็เคยเห็นเป็นครั้งแรก…พลังอิทธิฤทธิ์ท่านถูกควบคุมแล้ว?” ฮ่าวอวิ๋นเทียนถาม
ซูอวิ้นเอียงหน้ามองประเมินเขาแวบหนึ่ง “ความอวดดีบนตัวไม่มีแล้ว จิตใจก็สงบแล้ว สามารถมองอะไรได้กระจ่าง”
“อาจจะใช่” ฮ่าวอวิ๋นเทียนถอนหายใจ “บอกมาเถอะ เกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้ารับไหว”
ซูอวิ้นจ้องเขาพร้อมกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ไม่ต้องสนใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่ต้องถามด้วย ไม่ต้องไปสืบข่าว จำไว้! ลืมการมีอยู่ของตระกูลฮ่าวไปเสีย ลืมฐานะของตัวเองในอดีต อย่าถ่ายทอดเคล็ดวิชาฝึกตนให้ลูกชายลูกสาว แค่ใช้ชีวิตสงบสุขอย่างนี้ต่อไป ให้ลูกหลานตระกูลฮ่าวแตกกิ่งก้านสาขาต่อไป แบบนี้ดีกว่าอะไรทั้งนั้น เข้าใจมั้ย?”
ฮ่าวอวิ๋นเทียนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ถามว่า “เกิดเรื่องขึ้นกับตระกูลฮ่าวแล้วใช่มั้ย?”
ซูอวิ้นจ้องเขาพลางส่ายหน้าช้าๆ ไม่ตอบอะไร
ฮ่าวอวิ๋นเทียนพยักหน้าช้าๆ “เข้าใจแล้ว ไม่มีใครดีกับตระกูลฮ่าวไปกว่าท่านแล้ว สิ่งที่ท่านพูด ข้าจะจดจำไว้”
“เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่กว่าเมื่อก่อนแล้ว นี่คือสิ่งที่ก่อนหน้านี้ตระกูลฮ่าวให้เจ้าไม่ได้” ซูอวิ้นถอนหายใจ แล้วหันตัวเดินไปเลย เดินไปตรงหน้าอวิ๋นจือชิว พยักหน้าเบาๆ แล้วเดินเข้ารถม้าด้วยกัน คนขับรถม้าขับรถออกไปแล้ว
ภูเขาเขียวน้ำสีมรกต ฮ่าวอวิ๋นเทียนยืนมองส่งอยู่ริมทะเลสาบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหดหู่
เด็กน้อยสองคนมีของกินของเล่น มีความสุขสุดๆ หลูซิ่วเดินเงียบๆ ไปที่ริมทะเลสาบ คล้องแขนสามีแล้วถามว่า “ท่านสามี เป็นคนในครอบครัวของท่านเหรอ?”
ฮ่าวอวิ๋นเทียนหันกลับมาจ้องนางพักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ยิ้มอ่อนคล้องเอวนางเดินกลับไป “เย็นนี้ทำของอร่อยอะไรกิน?”
ในรถม้าที่โคลงเคลง ซูอวิ้นมองบ้านหลังเล็กที่อยู่ไกลๆ ผ่านหน้าต่าง ในดวงตามีน้ำตาคลอ
“เจ้าไม่ต้องห่วง มีคนคอยคุ้มกันอย่างลับๆ พวกเขาอยู่ที่นี่ปลอดภัยแน่นอน” อวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกันเอ่ยถาม
ซูอวิ้นถอนหายใจเบา “เพื่อให้ข้าช่วยเขาทำงาน เขาช่างใช้สมองครุ่นคิดอย่างหนักจริงๆ” ตอนนี้นางเข้าใจจุดประสงค์ของเหมียวอี้แล้ว
อวิ๋นจือชิวย่อมเข้าใจว่า ‘เขา’ ที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงหมายถึงใคร นางถอนหายใจแล้วบอกว่า “เขาบอกว่าเข้ารับปากท่านอ๋องฮ่าวไว้แล้ว ว่าจะให้เจ้าใช้ชีวิตต่อไปให้ดี ข้าไม่คิดว่าผิดที่ทำอย่างนี้ เจ้าน่าจะเข้าใจ สิ่งที่วิญญาณท่านอ๋องฮ่าวอยากเห็นที่สุด ก็คือให้เจ้าใช้ชีวิตต่อไปให้ดี อย่าให้เสียความตั้งใจของท่านอ๋องฮ่าว”
ซูอวิ้นน้ำตาไหลพราก
บนทะเลทรายรกร้างผืนหนึ่ง ลดพายุพัดเป็นระลอก
ตู้เฉียวยืนบนเนินทรายพลางทอดสายตามองไปรอบๆ หลังจากกำหนดทิศทางได้แล้ว เงาร่างของคนคนหนึ่งก็แฉลบเข้ามา มาเหยียบลงตรงหน้าเขา เป็นพระปีศาจหนานโปนั่นเอง
ตู้เฉียวก้มศีรษะด้วยความเคารพ หนานโปยื่นมือกดศีรษะเขา หลังจากตรวจสอบครู่หนึ่งจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหา ถึงได้ถามว่า “ตรวจสอบไปถึงไหนแล้ว?”
ตู้เฉียวเงยหน้า “ข้าน้อยหาไม่เจอจริงๆ ว่าสถานที่หลอมสมบัติอยู่ที่ไหน”
นี่ก็คือสาเหตุที่หนานโปต้องการพบ ตั้งแต่ต้นจนจบตู้เฉียวบอกว่าหาไม่เจอเลย เขาสงสัยว่าอีกฝ่ายปฏิเสธหรือเปล่าหลังจากแน่ใจแล้วว่าของในสมองตู้เฉียวไม่มีปัญหา เขาถึงได้วางใจ “อย่าบอกนะว่าซ่างกวนชิงก็ไม่รู้เหมือนกัน?”
“ซ่างกวนชิงคงจะรู้ เขาน่าจะเป็นคนจัดการเรื่องหลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เพียงแต่เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด เขไม่เคยเปิดเผยข้อมูลเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ข้าน้อยรู้สึกว่ามีอยู่สถานที่หนึ่งที่น่าสงสัยมาก” ตู้เฉียวกล่าว
“สถานที่ไหน?” หนานโปถาม
“อุทยานหลวง พระตำหนักอุทยาน!” ตู้เฉียวกล่าว
หนานโปตาเป็นประกาย “ซ่อนอยู่ใต้หนังตาวังสวรรค์เหรอ? นั่นก็เป็นสถานที่ปลอดภัยอยู่หรอก เพียงแต่ทำไม่คิดอย่างนั้น?”
ตู้เฉียวตอบว่า “ด้วยฐานะของข้า สามารถเข้าออกพระตำหนักอุทยานได้ทุกเมื่อ เรียกได้ว่าเหยียบเข้าไปทุกที่ของพระตำหนักอุทยานได้ แต่มีอยู่เพียงสถานที่เดียว สถานที่ฝึกตนของประมุขชิงที่พระตำหนักอุทยาน ที่นั่นไม่อนุญาตให้ข้าก้าวเข้าไป ป้องกันไว้อย่างเข้มงวด”
“นี่เป็นเพียงความสงสัยของเจ้า ไม่พอให้อธิบายว่าสถานที่หลอมสมบัติอยู่ตรงนั้น อย่าบอกนะว่าถ้าเป็นสถานที่ฝึกตนของประมุขชิงที่วังสวรรค์ เจ้าสามารถเข้าออกได้?” หนานโปถาม
“ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้ ไม่ผิดหรอก ไม่ว่าจะเป็นวังสวรรค์หรือพระตำหนักอุทยาน ข้าล้วนไม่สามารถเข้าสถานที่ฝึกตนของประมุขชิงได้ แต่ราชินีสวรรค์กลับสามารถเข้าสถานที่ฝึกตนที่วังสวรรค์ได้หากรายงานประมุขชิงก่อน แต่ที่พระตำหนักอุทยานนางกลับไม่เคยเข้าไปเลย อย่าบอกนะว่าพระตำหนักอุทยานสำคัญกว่าวังสวรรค์? วังสวรรค์สร้างขึ้นมาจากอารมณ์ปรารถนา เป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อนสถานที่หลอมสมบัติที่ใหญ่ขนาดนั้นเอาไว้ แต่อุทยานหลวงกลับเป็นไปได้ ถ้าอยู่ที่อุทยานหลวงจริงๆ จุดปลอดภัยที่น่าสงสัยที่สุดของอุทยานหลวงก็คงเป็นพระตำหนักอุทยาน และทางเข้าสถานที่หลอมสมบัติแห่งเดียวในพระตำหนักอุทยานก็มีแต่สถานที่ฝึกตนของประมุขชิง ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นวังสวรรค์หรือพระตำหนักอุทยาน หน่วยงานภายในที่ดูแลสถานที่ฝึกตนของประมุขชิงก็คือองครักษ์เงา ก่อนหน้านี้ข้าน้อยก็สงสัยอยู่แล้วว่าสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ถูกดูแลโดยองครักษ์เงา ดังนั้นนี่คือเรื่องที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด” ตู้เฉียวอธิบาย
“ในเมื่อสงสัยแล้ว เจ้ามีวิธีเข้าไปตรวจสอบหรือเปล่า?” หนานโปถาม
“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่มีโอกาสเข้าใกล้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเข้าไป ไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมในนั้นด้วยซ้ำ” ตู้เฉียวกล่าว
“คิดหาทางพาข้าเข้าไปได้หรือเปล่า?” หนานโปถาม
ตู้เฉียวส่ายหน้า “ถ้าอยู่ที่อุทยานหลวงจริงๆ พาท่านเข้าไปในพระตำหนักอุทยานก็ไม่มีปัญหาหรอก สิ่งที่ยุ่งยากจริงๆ ก็คือไม่มีทางผ่านด่านที่อยู่ในดาราจักรไปได้ ในเขตวังสวรรค์มีวิธีการตรวจสอบที่รอบคอบ ไม่ว่าใครจะเปลี่ยนร่างเป็นพันเป็นหมื่นแบบแล้วคิดจะปะปนเข้าไปก็เป็นไปไม่ได้เลย ยังไม่เคยมีใครแฝงตัวเอาไปได้ นอกเสียจากท่านจะสามารถแก้ปัญหาเรื่องเข้าร่างข้าแล้วสัญลักษณ์พลังผิดแปลกไป ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางเข้าไปได้เลย”
หนานโปเงียบไปครู่เดียว ปัญหานี้เขาไม่มีทางแก้ไขได้ “พูดไปพูดมา นี่ก็เป็นเพียงความสงสัยของเจ้า ยืนยันไม่ได้ว่าอยู่ที่พระตำหนักอุทยานหรือเปล่า เซี่ยงจงล่ะ ไม่มีทางพาออกมาพบข้าได้เลยเหรอ?”
ตู้เฉียวตอบว่า “พวกเราสามคนมีหน้าที่ต่างกันไปในสังกัดของซ่างกวนชิง รักษาระยะห่างต่อกันมาโดยตลอด ถ้าไม่จำเป็น ก็ไม่ค่อยติดต่อกันง่ายๆ และไม่เคยสืบเรื่องของกันและกันด้วย หาข้ออ้างที่เหมาะสมไม่เจอ ช่วงนี้ไม่เห็นเซี่ยงจงปรากฏตัวข้างกายซ่างกวนชิงเลย ไม่รู้ว่ากำลังฝึกตน หรือออกไปทำภารกิจข้างนอก”
ตอนนี้ถึงคราวที่หนานโปต้องปวดหัวแล้ว ในเขตวังสวรรค์มีกำลังทหารหนาแน่น อีกทั้งการป้องกันก็เข้มงวดขนาดนี้ ถึงขนาดหาโอกาสลงมือกับลูกน้องคนสนิทข้างกายซ่างกวนชิงไม่ได้ แค่นี้ก็รู้สถานการณ์แล้ว เขาเองก็ค่อนข้างจนปัญญาเช่นกัน แต่ไม่นานก็แววตาวูบไหว หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้
จวนอ๋องสวรรค์หนิว เหยียนซิวเข้ามาในห้องของเหมียวอี้ ปล่อยจางผิงออกมาแล้ว
เหมียวอี้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือค่อนข้างเฝ้าคอย เอนตัวพิงเก้าอี้ แล้วถามเสียงเรียบว่า “มีเรื่องอะไร?”
จางผิงตอบว่า “ผู้สูงศักดิ์ให้ข้ามาบอกว่า เรื่องที่นายท่านไหว้วานไว้ ผู้สูงศักดิ์จัดการเรียบร้อยแล้ว ถึงคราวที่นายท่านจะต้องทำตามสัญญาแล้ว” เขายังไม่รู้ว่าเหมียวอี้กลายเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้แล้ว
เหมียวอี้ตาเป็นประกาย “อ้อ! ไหนลองว่ามา”
จางผิงตอบว่า “เจียงอวิ๋น ตอนนี้ฐานะของนางคืออนุภรรยาของลั่วหม่าง จอมพลสายวอก ได้รับความโปรดปรานจากลั่วหม่างมาก ชื่อว่าถงเหลียนซี!”
เมื่อได้ฟังเขากล่าวแบบนี้ เหมียวอี้กับหยางเจาชิงก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ในใจรู้สึกตกตะลึงถึงขีดสุด ไม่น่าเชื่อว่าน้องสาวของเจียงอีอีจะกลายเป็นอนุภรรยาของลั่วหม่างแล้ว สมาคมวีรชนช่างใจกล้าจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะยื่นมือไปถึงตัวขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ นี่เท่ากับทำลายกติกาแล้ว
เพียงแต่จินตนาการได้ไม่ยาก เรื่องนี้ไม่พ้นเกี่ยวข้องกับซ่างกวนชิง ถ้าซ่างกวนชิงไม่อนุญาต สมาคมวีรชนไม่กล้าทำอย่างนี้แน่นอน
ข้างกายซ่อนสายลับแบบนี้ไว้ ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะแอบปาดเหงื่อแทนลั่วหม่าง
เหมียวอี้ข่มความตกตะลึงในใจ ถามว่า “ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าจริงหรือไม่จริง?”
“ผู้สูงศักดิ์บอกแล้ว เขาเพียงรับหน้าที่ทำตามสัญญา ส่วนเรื่องแยกแยะว่าจริงหรือเท็จ นายท่านน่าจะมีวิธีการแล้ว” จางผิงตอบ
“นี่แค่เรื่องเดียวเอง อีกเรื่องหนึ่งล่ะ?” เหมียวอี้ถาม
จางผิงตอบว่า “ผู้สูงศักดิ์บอกไว้แล้ว ว่าอีกเรื่องหนึ่งยังไม่สะดวกจะบอก ผู้สูงศักดิ์แสดงความจริงใจแล้ว ตอนนี้ถึงคราวที่นายท่านจะแสดงความจริงใจบ้าง”
“ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาพูดจริงหรือโกหก จะแสดงความจริงใจได้ยังไง?” เหมียวอี้ถาม
จางผิงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหนานโปทันที หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว ก็ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ผู้สูงศักดิ์บอกแล้ว เช่นนั้นก็รอนายท่านตรวจสอบความจริงจากเจียงอวิ๋นก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เหมียวอี้โบกมือ เหยียนซิวเก็บจางผิงไว้ทันที
“ถงเหลียนซี…” เหมียวอี้ลุกขึ้นแล้วขมวดคิ้วเดินไปเดินมาอยู่ในห้องหนังสือ ดึงเรื่องเจียงอวิ๋นไปให้พระปีศาจหนานโป สาเหตุหนึ่งก็เพราะอยากจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจียงอีอี แต่ขณะเดียวกันก็จงใจหาเรื่องมาถ่วงเวลาพระปีศาจด้วย นึกไม่ถึงว่าพระปีศาจจะขุดความลับใหญ่โตขนาดนี้ได้
หยางเจาชิงคอยเตือนอยู่ข้างๆ “ท่านอ๋อง ท่านอาจจะจำถงเหลียนซีคนนี้ไม่ได้ แต่ลั่วกุยลูกชายของนาง ในปีนั้นที่ท่านถูกทำโทษให้ไปยืนเฝ้าที่นาหลวงที่อุทยานหลวง ลั่วหม่างที่มาหาเรื่องท่านแล้วท่านปล่อยไป นั่นแหละคือลูกชายของนาง”
………………