พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2079 แสดงไมตรีต่อหวังเฟย
มู่หรงซิงหัวเงียบไปครู่หนึ่ง ที่จริงนางไม่อยากพัวพันอะไรกับเฉาว่านเสียงอีกแล้ว
ประการแรกเป็นเพราะทั้งสองยืนอยู่คนละฝั่ง นางกลัวฝั่งเหมียวอี้จะคิดมาก ไม่อยากติดต่อเฉาว่านเสียงอีก แม้แต่ระฆังดาราที่เฉาว่านเสียงลงตราอิทธิฤทธิ์ไว้นางก็ลบทิ้งไปแล้ว
ประการต่อมาเป็นเพราะนางติดตามคนที่อยู่ตำแหน่งสูงระดับนี้ ถ้าไปพบกับเฉาว่านเสียงอีก อีกฝ่ายก็เป็นคนธรรมดาสามัญสุดๆ ถ้าจะถามว่าทำไมนางไม่แค้นเฉาว่านเสียง ก็เพราะตอนแรกที่เฉาว่านเสียงหย่ากับนาง เขาก็ยังเห็นแก่ไมตรีระหว่างสามีภรรยาอยู่บ้าง ปกป้องนางแล้วนิดหน่อย ไม่ได้ทำให้นางจนตรอก ปล่อยให้นางออกมาอย่างปลอดภั
แต่ในเมื่อซูอวิ้นพูดแบบนี้แล้ว นางก็พยักหน้าตกลงแล้วเช่นกัน หันตัวเดินออกไปแล้ว
ไม่ให้คนปล่อยเฉาว่านเสียงเข้ามา ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือเรือนพักของจวนท่านอ๋อง ไม่ใช่ว่าใครก็บุกเข้ามาได้หมด มู่หรงซิงหัวออกมาพบนอกเรือนพัก
ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งข้างเรือนพัก เฉาว่านเสียงที่รูปร่างเตี้ยล่ำยังหน้าตาเหมือนเดิม จอนผมสองข้างแซมด้วยสีขาวเล็กน้อย ลักษณะท่าทางดูต่ำต้อย เสื้อผ้าที่สวมใส่บนตัวไม่ได้งดงามหรูหราอีกแล้ว เป็นบ่าวรับใช้ก็ย่อมมีลักษณะของบ่าวรับใช้ จะเห็นได้ว่าปัจจุบันใช้ชีวิตไม่ค่อยได้ดั่งใจเท่าไร
ข้างกายเฉาว่านเสียงมีผู้หญิงหน้าตาบ้านๆ ยืนอยู่ ตรงหว่างคิ้วที่ดูกลัดกลุ้มให้ความรู้สึกเหมือนนางได้รับความทรมานและมีความแค้นใหญ่หลวง นอกจากจะหน้าตาไม่ดีแล้ว ยังมีลักษณะเย็นชาด้วย รูปร่างสูงกว่าเฉาว่านเสียงเล็กน้อย นางก็คือเถียนจื่อจวิน ฮูหยินคนปัจจุบันของเฉาว่านเสียง การแต่งกายเหมือนบ่าวไพร่เช่นกัน
เฉาว่านเสียงกำลังจ้องประตูใหญ่ของเรือนพักตาปริบๆ ในใจรู้สีกกังวล กลัวว่ามู่หรงซิงหัวจะไม่ยอมพบ อย่างไรเสียในตอนแรกเขาก็เคยทำผิดต่อนาง แต่ถ้าไม่มาพบ เขาก็ค่อนข้างหวาดกลัวกับผลที่ตามมา ในตอนแรกที่รอดชีวิตมาได้ก็เพราะเขาเอาแต่บอกว่ายังมีความผูกพันกับมู่หรงซิงหัวอยู่ อาศัยบารมีที่มู่หรงซิงหัวเป็นลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต๋อ เขาถึงได้เก็บชีวิตกลับมาได้ ตอนนี้เบื้องบนให้เขามาพบมู่หรงซิงหัว ถ้าแม้แต่หน้าก็ไม่ได้พบ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะโดนข้อหาหลอกลวงเบื้องบน ประการแรกเลยคือเบื้องบนจะมองว่าเขาหมดประโยชน์แล้ว ยังจะเก็บเขาไว้ทำไมอีก?
จนกระทั่งสตรีที่สวมชุดเกราะของแม่ทัพใหญ่โผล่หน้ามา เฉาว่านเสียงก็ตาเป็นประกายทันที ประสานมือสองข้างอย่างประหม่าเล็กน้อย
ส่วนเถียนจื่อจวินก็รีบมองปฏิกิริยาของเฉาว่านเสียง ในดวงตาฉายแววโกรธเคือง
เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ มู่หรงซิงหัวก็เดินก้าวยาวเข้ามาอย่างองอาจห้าวหาญ มายืนอยู่ตรงหน้าทั้งสอง รูปร่างนางสูงกว่าเฉาว่านเสียงครึ่งศีรษะอย่างเห็นได้ชัด ดวงตางามกวาดมองทั้งสองปราดเดียว แล้วถามอย่างใจเย็นว่า “มาหาข้ามีธุระอะไร?”
ชั่วขณะนั้นเฉาว่านเสียงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี นึกเสียใจทีหลังจนไส้เขียวไปหมด มองมู่หรงซิงหัวด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์ นอกจากความงามของมู่หรงซิงหัวจะทิ้งห่างจากเถียนจื่อจวินหนึ่งแสนแปดพันลี้แล้ว ตอนนี้ยังอยู่ในระดับแม่ทัพใหญ่ด้วย จะเห็นได้ว่าอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อแล้วชีวิตดี ไม่ว่าจะเป็นความงามหรือคุณสมบัติประจำตัว อดีตภรรยาก็จัดว่าอยู่ระดับบนๆ ตอนนี้เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตอนแรกถึงหย่ากับนางแล้วมาแต่งงานกับนางตัวแสบที่อยู่ข้างกายนี่ ช่างตามืดบอดเหมือนโดนผีสิงจริงๆ ถ้าไม่ได้หย่ากันแล้วตามมาขอพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อด้วยกัน ตอนนี้คงไม่มีจุดจบอย่างนี้หรอก ไม่แน่ว่าอาจได้นั่งตำแหน่งโหวแล้วด้วยซ้ำ
“คารวะแม่ทัพมู่หรง” เฉาว่านเสียงกุมหมัดคารวะ เถียนจื่อจวินแม้จะอยากฉีกร่างมู่หรงซิงหัวเป็นชิ้นๆ แต่ก็ยังต้องฝืนใจก้มหน้าคำนับ
มู่หรงซิงหัวถูกสายตาของเฉาว่านเสียงมองจนรู้สึกอึดอัด เรื่องบางเรื่องใช่ว่าบทจะลืมก็ลืมได้ ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงผิดปกติ ตอนนี้นางอาจจะมีลูกให้เฉาว่านเสียงแล้วก็ได้ นางกล่าวอีกครั้งว่า “มีเรื่องอะไรก็ว่ามาเถอะ”
“มู่หรง หลายปีมานี้เจ้ายังสบายดีใช่มั้ย” เฉาว่านเสียงฝืนยิ้ม
มู่หรงซิงหัวพยักหน้า “ดีมาก! พวกเจ้ามาหาข้าคงไม่ใช่เพราะถามเรื่องแค่นี้หรอกใช่มั้ย?”
“ในปีนั้นเป็นข้าเองที่ทำผิดต่อเจ้า” เฉาว่านเสียงยิ้มอย่างขื่นขม แล้วก็แอบดึงแขนเสื้อเถียนจื่อจวินเงียบๆ
เถียนจื่อจวินเข้าใจ โค้งตัวกล่าวขออภัยว่า “แม่ทัพมู่หรง ในปีนั้นข้าผิดไปแล้ว ถ้ามีจุดไหนที่ทำผิดไป ท่านเป็นผู้ใหญ่อย่าถือสาผู้น้อยเลย ท่านอย่าเก็บมาใส่ใจเลยค่ะ”
ทำตัวต่ำต้อยและกล่าวอะไรแบบนี้ออกมา แต่ในใจกลับเหมือนมีเลือดหยด ตั้งแต่อิ๋งจิ่วกวงถูกโค่นล้ม พอเฉาว่านเสียงสิ้นอำนาจแล้ว ก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อนางด้วยความเกรงใจอีก มักจะนำนางกับมู่หรงซิงหัวมาเปรียบเทียบกัน มักจะว่านางว่าไม่มีค่ามีราคาเลยสักนิด นางเองก็ไม่ใช่คนอารมณ์เย็น พอทั้งสองทะเลาะกันขึ้นมา เฉาว่านเสียงก็จะตบหน้านาง จนถึงขั้นซ้อมนางเลยก็มี เมื่อไม่มีใครหนุนหลังแล้ว มีหรือที่เฉาว่านเสียงจะกลัวนางอีก ด้วยเหตุนี้นางจึงเกลียดมู่หรงซิงหัวเข้ากระดูกดำ ตอนนี้ยังต้องมาทำอะไรแบบนี้อีก ถือเป็นความอัปยศอันใหญ่หลวงของนางจริงๆ นางอยากจะเอาศีรษะโขกกำแพงให้ตาย
แต่นางก็กลัวอีก ไม่อย่างนั้นคงไม่ถ่อมาก้มหน้าที่นี่หรอก
“เรื่องในอดีตผ่านไปหมดแล้ว บุญคุณความแค้นหมดสิ้นไปนานแล้ว พูดถึงอีกก็ไม่มีความหมายอะไร พูดธุระสำคัญเถอะ” มู่หรงซิงหัวกลับดูใจกว้าง เมื่ออยู่ในตำแหน่งสูงแล้ว ลักษณะท่าทางก็ย่อมสูงไปด้วย มีความสุขุมเยือกเย็นยามมองคนที่อยู่ต่ำกว่าอย่างเลี่ยงไม่ได้
ทว่าเฉาว่านเสียงกับเถียนจื่อจวินไม่ได้มาที่นี่ด้วยธุระสำคัญอะไรเลย จู่ๆ เบื้องบนก็ให้พวกเขาสองคนมาที่อุทยานหลวง ให้พวกเขามาพบมู่หรงซิงหัวสักหน่อย ไม่ได้บอกให้ทำอะไร ทั้งสองก็คิดแค่ว่าให้มาขอโทษมู่หรงซิงหัวเท่านั้น
ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบพักหนึ่ง แต่ไม่เห็นเอ่ยถึงเรื่องสำคัญอะไร มู่หรงซิงหัวก็ทนฟังคำขอโทษที่จอมปลอมนั่นไม่ไหว บังเอิญว่าพวกอวิ๋นจือชิวกลับมาจากตำหนักนารีสวรรค์พอดี เสวี่ยเอ๋อร์กับช่างไม้ติดตามมาด้วย
มู่หรงซิงหัวทำได้เพียงกล่าวขออภัย แล้วรีบหันตัวเดินไปต้อนรับอวิ๋นจือชิวที่ประตู
สำหรับเฉาว่านเสียง เขาเคยเห็นอวิ๋นจือชิวมาก่อน พอมองมาทางนี้แวบหนึ่ง ก็รู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย
ปัจจุบันท่านนี้ได้เป็นหวังเฟยแล้ว ในบรรดาผู้หญิงทั้งหมดในใต้หล้า ฐานะเป็นรองเพียงราชินีสวรรค์ เฉาว่านเสียงกับฮูหยินพยักหน้าโค้งเอวให้อยู่ไกลๆ
สำหรับอวิ๋นจือชิว เถียนจื่อจวินไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะริษยาด้วยซ้ำ แค่อิจฉาจนน้ำลายไหลเท่านั้น ดูว่าผู้ชายของอีกฝ่ายมีความสามารถอะไร สร้างตัวจากสองมือเปล่า ขนาดแม่หม้ายคนหนึ่งที่แต่งงานใหม่ยังสามารถกลายเป็นหวังเฟยได้เลย พอย้อนมองตัวเองว่าได้ผู้ชายแบบไหนมา ตัวเองมีพื้นเพครอบครัวที่ดีขนาดนี้ แต่ก็ยังถูกเล่นงานจนไม่เหลืออะไรเลย เวลาเจอใครก็เงยหน้าไม่ขึ้น ว่ากันว่าผู้ชายกลัวเลือกงานผิด ผู้หญิงกลัวเลือกแต่งงานผิดคน นางเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้เป็นอย่างยิ่ง ผู้หญิงที่อยู่ในสังคมนี้ ไม่ว่าจะเป็นเกียรติยศหรือความอัปยศก็ล้วนผูกไว้กับผู้ชายที่ตัวเองแต่งงานด้วย
แม้ในใจนางจะคับแค้นที่เฉาว่านเสียงทำตัวเป็นขยะไร้ประโยชน์ เมื่อเทียบกับหนิวโหย่วเต๋อแล้วแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่ถ้าจะให้นางตัดขาดกับเฉาว่านเสียง นางก็เสียดายอีก แม้นางจะไม่คิดว่าตัวเองมีอะไรไม่ดี แต่ในใจจะไม่รู้เชียวหรือว่าตัวเองมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ถ้าแยกกับเฉาว่านเสียงก็อาจจะไม่มีใครต้องการนางแล้วจริงๆ ถ้านางมีทางเลือก นางคงทิ้งเฉาว่านเสียงแล้วหาคนที่ตำแหน่งสูงกว่าไปนานแล้ว
“นั่นคือเฉาว่านเสียงเหรอ?” อวิ๋นจือชิวถามมู่หรงซิงหัวที่ออกมาต้อนรับ นางไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับเฉาว่านเสียงอยู่แล้ว คนที่ทิ้งเมียตัวเองเพื่อไต่เต้าขึ้นตำแหน่งสูง นางจะรู้สึกดีอะไรด้วยได้ ไม่ให้คนไล่ตะเพิดออกไปก็ถือว่าไว้หน้ามู่หรงซิงหัวแล้ว นางย่อมไม่อยู่ที่นี่ต่อเพื่อเขา ไม่อยากชายตามองแม้แต่ครั้งเดียว จึงเดินเข้ามาในเรือนพักแล้ว
“เป็นเขาค่ะ” มู่หรงซิงหัวตอบ แล้วเดินตามเข้าไป
“เฮ้อ! ยังเป็นมู่หรงยืนถูกฝั่ง!” เฉาว่านเสียงที่ได้เห็นพลังอำนาจของหวังเฟยกล่าวอย่างทอดถอนใจ
“นางมีคุณธรรมความสามารถอะไรให้หนิวโหย่วเต๋อเลือกได้? วันๆ ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหนิวโหย่วเต๋อ ไม่โดนหนิวโหย่วเต๋อเอาไปนอนด้วยก็แปลกแล้ว ผ้าคาดเอวคงพรุนหมดแล้วมั้ง” เถียนจื่อจวินพึมพำว่าร้าย
เฉาว่านเสียงหันกลับมาตำหนิด้วยเสียงดุร้าย “ถ้าพูดดีๆ ไม่เป็นก็หุบปากเหม็นๆ ของเจ้าซะ”
เถียนจื่อจวินยืดคอ “ข่าวพูดผิดด้วยเหรอ? ในปีนั้นที่นางเกาะเจ้า ก็อาศัยว่าถอดกระโปรงขึ้นสู่ตำแหน่ไม่ใช่หรือไง? สุนัขแก้สันดานกินขี้ไม่ได้หรอก นางน่ะนอกจากผิวสวยทั้งตัวแล้วมีความสามารถอะไร? ถ้าไม่เคยนอนกับหนิวโหย่วเต๋อนางจะมีวันนี้ได้เหรอ? ถ้านางไม่เคยถอดกระโปรงให้หนิวโหย่วเต๋อ ข้ายอมตัดหัวมาเดิมพันเลย”
“เจ้า…” เฉาว่านเสียงแยกเขี้ยวยิงฟัน ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ที่นี่ เขาคงตบหน้านางไปแล้ว
“ราชินีสวรรค์เป็นคนใจแคบ คงจะไม่ทำสีหน้าดีๆให้ เหนียงเหนียงดูหรอกใช่มั้ย?”
ซูอวิ้นรอต้อนรับอวิ๋นจือชิวอยู่ในลานบ้าน เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มจืดชืด
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้ายิ้มเจื่อน นับว่ายอมรับแล้ว ส่วนรายละเอียดถือว่าเป็นความลับ สถานการณ์ของซูอวิ้นตอนนี้ยังทำให้คนวางใจเต็มร้อยไม่ได้ แผนการของหยางชิ่งแม้จะดูเหมือนไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรมาก แต่ความจริงแล้วมีความเชื่อมโยงที่สำคัญ ตอนยังไม่เคลื่อนไหวก็นิ่งสงบ แต่พอได้เคลื่อนไหวแล้วเหมือนคลื่นโหมซัดสาด ดังนั้นตอนนี้จึงยังไม่สะดวกจะบอกซูอวิ้น
อวิ๋นจือชิวหันกลับไปถามมู่หรงซิงหัวอีก “เฉาว่านเสียงนั่นยังมีหน้ามาเจอเจ้าอีกเหรอ?”
มู่หรงซิงหัวขมวดคิ้วตอบ “ข้าเองก็รู้สึกแปลก ถามไปถามมาอยู่ตั้งนานแต่ไม่คุยธุระสำคัญอะไร สองสามีภรรยาเอาแต่ขอโทษข้าซ้ำๆ”
ซูอวิ้นแววตาวูบไหว แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะเบาๆ “เถิงเฟยคงมีความคิดจะรวมทัพตะวันออกแล้ว”
“หืม!” อวิ๋นจือชิวถามเรื่องส่วนตัว “หมายความว่ายังไง?”
“เฉาว่านเสียงกับฮูหยินมีสิทธิ์มาอุทยานหลวงเสียที่ไหน ต่อให้ตระกูลเถิงจะพาลูกน้องมาด้วย แต่ก็ยังไม่ถึงคราวของพวกเขาหรอก ถ้าพวกเขาไม่ถูกสั่งก็คงไม่บุ่มบ่ามมาที่นี่ ฮูหยินคนนั้นของเฉาว่านเสียงชื่ออะไรข้าก็ลืมแล้ว แต่นิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คงอิจฉาริษยาแม่ทัพมู่หรงด้วยซ้ำ จะตามมาขอโทษด้วยได้ยังไง ไม่ต้องสงสัยเลย เป็นเถิงเฟยที่เตรียมการเรื่องนี้” ซูอวิ้นอธิบาย
“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับที่เถิงเฟยอยากรวมทัพตะวันออก?” อวิ๋นจือชิวไม่ค่อยเข้าใจ
ซูอวิ้นอธิบายว่า “เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อแม้จะเป็นอ๋องสวรรค์เหมือนกัน แต่คนในใต้หล้าก็คุ้นเคยกับคำว่า ‘สี่ทัพ’ ไปแล้ว เรียกพวกเขารวมๆ ว่าทัพตะวันออก ทำให้ทั้งสองรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ถ้าประมุขชิงสามารถแบ่งอีกสามทัพได้ก็แล้วไป แต่ครั้งนี้ประมุขชิงดันทำพลาดกับทัพใต้ คงทำให้เถิงเฟยเห็นถึงความยากที่ประมุขชิงจะแบ่งอีกสามทัพสำเร็จ ขนาดท่านอ๋องยังสามารถบัญชาการทัพแดนรัตติกาลให้รวมอาณาเขตทัพใต้ได้ อำนาจที่อยู่ในมือเถิงเฟยก็ไม่ได้ด้อยกว่าท่านอ๋อง ถ้าคิดจะรวมทัพตะวันออกก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่ถ้าคิดจะฮุบอาณาเขตของเฉิงไท่เจ๋อ ก็ต้องอาศัยให้อีกสามอ๋องสนับสนุน ถ้าไม่มีการสนับสนุนจากอีกสามทัพเพื่อต้านภัยคุกคามจากกองทัพองครักษ์ เถิงเฟยก็ไม่มีทางทำสำเร็จได้ เฉาว่านเสียงกับฮูหยินคือคนที่เถิงเฟยส่งมาหยั่งเชิงก่อน ถ้าข้าเดาไม่ผิด จูโยวเหม่ย อนุคนโปรดของเถิงเฟยคงจะมาแล้ว อีกประเดี๋ยวนางคงจะหาเรื่องมาใกล้ชิดหวังเฟย คงจะทักทายตามมารยาทไปตลอดไม่ได้ ต้องมีเรื่องจริงจังมาคุยถึงจะคุยกับหวังเฟยได้นาน ถึงจะสานสัมพันธ์กับหวังเฟยได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แล้วต่อมา พองานเลี้ยงอุทยานจบลงก็ต้องหาโอกาสไปเยี่ยมหวังเฟยที่จวนท่านอ๋องแน่”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเงียบๆ สำหรับเรื่องราวระดับนี้ ซูอวิ้นรู้ดีอย่างไม่ต้องสงสัย ในเมื่อซูอวิ้นพูดอย่างนี้แล้ว คาดว่าคงมีเหตุผล
เมื่อได้ยินแบบนี้ มู่หรงซิงหัวก็ไม่รู้ว่าควรจะสงสัยเฉาว่านเสียงกับภรรยาดีหรือไม่ วุ่นวายอยู่ตั้งนานแต่ได้เป็นแค่ตัวประกอบโหมโรงในสายตาคนอื่นเท่านั้น
กระทั่งมู่หรงซิงหัวออกไปแล้ว จู่ๆ ซูอวิ้นที่มองคล้อยหลังก็ถอนหายใจ “เฉาว่านเสียงกับภรรยาของเขาคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว”
“เพราะอะไร?” อวิ๋นจือชิวแปลกใจ
“มาแสดงไมตรีต่อหวังเฟย” ซูอวิ้นตอบ
………………