พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2083 ข้าตัดสินใจของข้าเอง
ช่วงนี้เหยียนซิวไม่ค่อยได้อยู่ข้างกายเหมียวอี้ ยังคงแอบสืบภูมิหลังของบรรดาอนุภรรยาเหล่านั้น คนหนึ่งพันกว่าคนเพียงพอที่จะทำให้เขาต้องทำเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมาสักระยะหนึ่ง สาเหตุหลักที่ทำให้เสียเวลาก็คือไม่อาจค้นหาหลักฐานอย่างสง่าผ่าเผยได้
ทั้งสองมารอที่ห้องหนังสือได้พักหนึ่งถึงได้เห็นเหยียนซิวมาถึง จางผิงถูกดึงออกมาอีกครั้ง
เหมียวอี้บอกตรงๆ เลยว่า “ติดต่อคนที่อยู่เบื้องหลังเจ้า ข้าต้องการผลลัพธ์ของเงื่อนไขข้อที่สอ”
“ได้!” จางผิงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อพระปีศาจ
เหมียวอี้กวาดสายตามองระฆังดาราในมืออีกฝ่าย รู้สึกกลุ้มใจนิดหน่อย เขาขอตราอิทธิฤทธิ์ของพระปีศาจจากเฉาหม่าน จะแอบเปรียบเทียบกับของในมือจางผิง แต่เปรียบเทียบไม่ได้เลย ตามที่เฉาหม่านบอก ถ้าคิดจะอาศัยตราอิทธิฤทธิ์ตามหาพระปีศาจ ความหวังก็มีไม่มาก เพราะวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจสามารถเปลี่ยนคนได้ทุกเมื่อ สามารถควบคุมตราอิทธิฤทธิ์ของกายหยาบคนอื่นได้ทุกเมื่อ
ผ่านไปครู่เดียว จางผิงก็ตอบว่า “ผู้สูงศักดิ์บอกว่า เขายังไม่เห็นความจริงใจของนายท่าน ให้ส่งของมาก่อน แล้วเขาจะบอกที่อยู่กับท่าน”
“บอกสถานที่มาก่อน แล้วข้าค่อยให้ของ” เหมียวอี้ :
จางผิงถ่ายทอดคำพูดแล้วตอบกลับมาอีก “ผู้สูงศักดิ์บอกว่า ทางที่ดีนายท่านควรรักษาสัญญา ไม่อย่างนั้นจะทำให้นายท่านเสียใจทีหลังแน่นอน แค่ความลับเรื่องข้อตกลงระหว่างท่านกับผู้สูงศักดิ์เปิดโปงออกมา อำนาจแต่ละฝ่ายคงไม่ปล่อยท่านไปแน่ โดยเฉพาะตระกูลเซี่ยโห้ว!”
“พูดเหลวไหลให้มันน้อยๆ หน่อย” เหมียวอี้
“ผู้สูงศักดิ์บอกว่า สถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อยู่ที่พระตำหนักอุทยานในอุทยานหลวง ทางเข้าอยู่ตรงสถานที่ฝึกตนของประมุขชิง” จางผิงตอบ
พวกเหมียวอี้มองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกผิดคาดนิดหน่อย ไม่รู้ว่าพระปีศาจพูดจริงหรือโกหก แต่พอคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเป็นไปได้จริงๆ สถานที่หลอมสมบัติอยู่ใต้หนังตาวังสวรรค์จะปลอดภัยที่สุด บริเวณนั้นมีทหารป้องกันแน่นหนา ต่อให้โดนเปิดโปงแล้ว แต่คนอื่นก็เลิกคิดได้เลยว่าจะวางแผนได้มาง่ายๆ
“ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าจริงหรือโกหก?” เหมียวอี้ถาม
“ผู้สูงศักดิ์บอกว่า ต้องให้นายท่านไปพิสูจน์เอง” จางผิงตอบ
เหมียวอี้จึงบอกว่า “ล้อเล่นอะไรกัน ข้าจะไปพิสูจน์สถานที่แบบนั้นได้ยังไง? ถ้าเขากุเรื่องหาสถานที่ที่เข้าใกล้ได้ยากมาหลอกข้าล่ะ ข้าไม่มีทางตรวจสอบความจริงได้ด้วยซ้ำ ถ้าทำอย่างที่เขาบอก ถ้าบอกว่าอยู่ในสถานที่ฝึกตนของประมุขพุทธะก็ยังได้ ถึงยังไงข้าก็ไม่มีทางตรวจสอบความจริงได้อยู่แล้ว”
จางผิงถ่ายทอดคำพูดแล้วตอบกลับมาอีก “ผู้สูงศักดิ์บอกว่า นายท่านทำอย่างนี้เพราะจะหาข้ออ้างกลับคำพูดใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่ใช่ว่าข้าคิดจะกลับคำพูด แต่สิ่งที่เขาพูดไม่มีเหตุผล เจ้าบอกเขาไป ว่าหลินอ้าวเสวี่ย ฮูหยินของอดีตเทพประจำดาวมะโรงดินไท่ซูเหวินชางถูกขังอยู่ในสถานที่หลอมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ให้เขาช่วยหลินอ้าวเสวี่ยออกมาแลกเปลี่ยนกับของของข้า แล้วข้าก็จะเชื่อว่าเขาหาสถานที่หลอมสมบัติเจอแล้ว ต้องจัดการโดยเร็วด้วย ข้าไม่มีความอดทนจะมาเสียเวลากับเขาต่อไป”
สาเหตุที่ตอนแรกแค่บอกให้พระปีศาจตามหาสถานที่หลอมสมบัติ ไม่ได้บอกให้ช่วยมารดาของเฟยหง ตอนนี้เพิ่งจะมาบอก ก็ยังมีสาเหตุจากหลายด้าน
ดาวเกาะคราม ปากถ้ำหน้าผาริมทะเล พระปีศาจหนานโปที่ยืนพิงระเบียงหันหน้าเข้าหาทะเลถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง รู้สึกกลุ้มใจนิดหน่อย เขาเองก็ยืนยันสถานที่หลอมสมบัติได้ลำบาก ถึงได้บอกว่าอยู่พระตำหนักอุทยานเพื่อให้คำชี้แจง ให้หนิวโหย่วเต๋อไปยืนยันเอาเอง ขณะเดียวกันก็อยากจะทดสอบความจริงใจในการแลกเปลี่ยนของหนิวโหย่วเต๋อด้วย ใครจะคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะทิ้งแผนสำรองเอาไว้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนรู้จักอยู่ในสถานที่หลอมสมบัติ
“ไอ้จัญไรปลิ้นปล้อน!” หนานโปพึมพำ ก็ช่วยไม่ได้ ทำได้เพียงดำเนินการตามแผนที่ก่อนหน้านี้หยุดไว้ชั่วคราว หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อตู้เฉียว ให้ตู้เฉียวหาทางลงมือกับองครักษ์เงาต่อไป ทางที่ดีก็ให้เซี่ยงจงมาเจอหน้าเขา ถ้าสามารถเจอซ่างกวนชิงได้ก็ย่อมดีอยู่แล้ว
ส่วนเหมียวอี้ก็ครุ่นคิดพลางเดินไปเดินมาอยู่ในห้องหนังสือ
หยางเจาชิงเตือนว่า “เหนียงเหนียงอยู่ที่อุทยานหลวงพอดี จะให้เหนียงเหนียงหาทางสืบสักหน่อยหรือไม่ขอรับ?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า ปฏิเสธอย่างไม่ลังเล “อันตรายเกินไป อย่าเพิ่งให้นางรู้เรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นนางจะต้องหาทางสืบแน่นอน” เพื่อที่จะช่วยมารดาของเฟยหง เขาดึงอวิ๋นจือชิวเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแล้ว แต่จะให้อวิ๋นจือชิวเสี่ยงอันตรายนี้ไม่ได้
ในขณะนี้เอง เขาก็หยิบระฆังดาราอีกอันออกมา แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย เป็นเฉาหม่านที่ส่งข่าวมา คาดว่าคงกำลังเร่งรัดเขาอีก
หลังจากติดต่อแล้ว กลับพบว่าไม่ใช่เรื่องนั้นเลย บอกหยางเจาชิงว่า “เฉาหม่านมาแล้ว ถูกกันอยู่ด้านนอก เจ้าไปเตรียมการสักหน่อย”
หยางเจาชิงงงไปชั่วขณะ รู้สึกผิดพลาดนิดหน่อย ตอนนี้เส้นทางการเคลื่อนไหวของเฉาหม่านผิดปกติ เรื่องคุมตึกศาลาสัตยพรตส่งต่อให้เฉาเฟิ่งฉือ เฉาหม่านในตอนนี้อยู่ในฐานะหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้ว ถ้าตัวอยู่ในวงล้อมของทัพใหญ่แดนรัตติกาลต่อไปก็เห็นได้ชัดว่าไม่ปลอดภัย จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น การที่เขากล้ามาที่นี่ด้วยตัวเองถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก
จนกระทั่งนำคนเข้ามาแล้ว กลุ่มคนเดินไปที่ประตูหลัก แล้วเข้ามาทางประตูด้านข้าง เฉาหม่านมีผู้ติดตามแปดคน ทั้งหมดสวมใส่หน้ากาก
พอเจอกันที่โถงรับแขก เฉาหม่านก็ดึงหน้ากากออก แล้วกล่าวเสียงเรียกว่า “อยากจะเจอหน้าท่านอ๋องสักครั้งก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
เหมียวอี้กวาดสายตามองผู้ติดตามของเขา ลองแยกแยะจากรูปร่างนิดหน่อย แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ถ้าท่านบุรุษเฉาอยากจะเจอข้าก็บอกคำเดียวเท่านั้น ยากตรงไหน? ใช่แล้ว ทำไมไม่เห็นพ่อบ้านเว่ยเลยล่ะ?”
“มีเรื่องอะไรบ้างล่ะที่ท่านอ๋องทำไม่ได้? ข้าก็ต้องป้องกันสักหน่อยสิ” เฉาหม่านตอบอย่างไม่เกรงใจ
ในคำพูดแฝงความหมายล้ำลึก เหมียวอี้ฟังเข้าใจ อีกฝ่ายแอบสื่อว่าแม้แต่เรื่องสังหารหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วเขาก็เคยทำมาแล้ว อีกฝ่ายต้องเตรียมแผนสำรองเอาไว้สักหน่อย เหมียวอี้จะได้ไม่ทำซี้ซั้ว
ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าเฉาหม่านนั่งตำแหน่งหัวหน้าตะกูลได้อย่างมั่นคงแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลัวเหมียวอี้อีก ไม่จำเป็นต้องพูดจาสุภาพเกรงใจอีก
“นั่นก็เป็นเพราะท่านบุรุษเฉาบัญชาการได้ดี” เหมียวอี้พูดเหน็บแนม จากนั้นก็ยื่นมือเชิญให้นั่งลง
เมื่อแขกและเจ้าบ้านนั่งลงแล้ว เหมียวอี้ก็ถามว่า “ท่านบุรุษเฉาให้เกียรติมาเยือน ไม่ทราบว่ามีอะไรจะกำชับ?”
เฉาหม่านบอกว่า “ถ้าท่านอ๋องถ่วงเวลาเรื่องนั้นอีก ข้าก็ต้องสงสัยในความจริงใจของท่านอ๋องแล้ว ถึงขั้นสงสัยด้วยว่าในมือท่านอ๋องมีของสิ่งนั้นหรือไม่กันแน่ ก็ช่วยไม่ได้ มีแต่ต้องมาดูกับตาตัวเองเท่านั้น คาดว่าท่านอ๋องคงไม่ถึงขั้นไม่ให้โอกาสข้าดูหรอกใช่ไหม?”
เหมียวอี้เข้าใจแล้ว ว่าพฤติกรรมของตัวเองทำให้อีกฝ่ายสงสัยว่าในมือมีสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์อยู่จริงหรือเปล่า อีกฝ่ายต้องการมาพิสูจน์กับตาตัวเอง
สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ก็ย่อมอยู่ในมือของเหมียวอี้จริงๆ ตอนนี้เหมียวอี้ก็สามารถนำออกมาให้ดูได้เช่นกัน แต่ในใจมีแผนการบางอย่าง จึงส่ายหน้าบอกว่า “ตอนนี้คงไม่ได้เห็นหรอก”
เฉาหม่านพลันลุกขึ้นยืน สีหน้าบูดบึ้งลงแล้ว จ้องเหมียวอี้ด้วยสายตาเยียบเย็น “เจ้ากล้าล้อข้าเล่นเหรอ?”
เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนตามเขา “ท่านบุรุษเฉาคิดมากไปแล้ว ของนั้นข้าซ่อนไว้เอ ซ่อนไว้ในสถานที่ปลอดภัยแน่นอน ไม่ได้อยู่ข้างกายข้า ตอนนี้ข้าให้คนไปเอา ท่านบุรุษเฉารออยู่ที่นี่สักสองวัน ภายใน สองวันนี้จะให้ท่านเห็นก่อนแน่นอน”
“แค่สองวันเอง! อีกสองวันข้าค่อยมาก็ได้ ถ้าข้าไม่ได้เห็นของนั่น เจ้าก็รับผลที่ตามมาเองแล้วกัน ตระกูลเซี่ยโห้วสนับสนุนเจ้าขึ้นตำแหน่งได้ ก็ล้มจะได้เหมือนกัน!” เฉาหม่านพูดทิ้งท้าย ใส่หน้ากากเหมือนเดิม แล้วหันตัวเดินออกไปทันที ไม่อยากอยู่ที่นี่แม้สักนาทีเดียว เขาเองก็หวาดกลัวเหมียวอี้มากเหมือนกัน มีหรือที่จะรออยู่ที่นี่เฉยๆ สองวัน แบบนั้นอันตรายเกินไปแล้ว
คำพูดที่เต็มไปด้วยการข่มขู่ทำให้เหมียวอี้หรี่ตามองคล้อยหลังเขาเดินจากไป ในดวงตาฉายแววดุร้าย
หลังจากหยางเจาชิงส่งแขกกลับมาแล้ว ก็ถามว่า “ท่านอ๋อง จะให้เหยียนซิวมาหรือไม่ขอรับ?” เขากำลังคิดว่าท่านอ๋องอาจจะต้องการให้เหยียนซิวไปนำของสิ่งนั้นมาให้เฉาหม่านดู
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “เจ้าคิดว่าอีกสองวันเฉาหม่านยังจะมาด้วยตัวเองอีกหรือ?”
หยางเจาชิงครุ่นคิดตาม แล้วพยักหน้าบอกว่า “ใช่แล้ว เฉาหม่านระวังตัวขนาดนี้ ต่อให้มาอีก แต่เขาก็อาจจะไม่มาด้วยตัวเองก็ได้ ยิ่งไม่มีทางทำตามเวลาที่ท่านอ๋องกำหนด!”
เหมียวอี้พยักหน้าซ้ำๆ “ถึงตอนนั้น คนที่มาจะต้องเป็นเว่ยซูแน่นอน!”
หยางเจาชิงอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะถามอย่างตกใจมากกว่า “นายท่านคิดจะฉวยโอกาสลงมือกับเว่ยซู? แบบนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะสม ควรรอให้ฝั่งหยางชิ่งวางแผนให้รอบด้านก่อนแล้วค่อยลงมือ ไม่อย่างนั้นถ้ามีช่องโหว่อะไรขึ้นมา ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่อยากจะคิดถึง!”
“หยางชิ่งหวาดกลัวอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วเกินไป กังวลถึงด้านต่างๆ เยอะเกินไป กลัวว่าในบรรดาคนที่ลงมือด้วยจะมีสายลับของตระกูลเซี่ยโห้ว แม้แต่ตัวเลือกที่จะลงมือก็ยังคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ตระกูลเซี่ยโห้วทนไม่ไหวแล้ว ข้าก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ในเมื่อวางแผนให้ครอบคลุมไม่ได้ ในเมื่อกำหนดเป้าหมายเป็นสมาคมอาวุโสแล้ว เช่นนั้นก็แข่งกันที่ความเร็ว ต้องทำให้รวดเร็ว!” เหมียวอี้กล่าวอย่างเฉียบขาด เห็นได้ชัดว่าตัดสินใจแน่วแน่ในชั่วพริบตาเดียว!
หยางเจาชิงรีบโน้มน้าว “ท่านอ๋อง ไม่ได้เด็ดขาด! ท่านอ๋องลองคิดดูสิ ในเมื่อสมาคมอาวุโสเป็นไพ่ลับของตระกูลเซี่ยโห้ว มีหรือที่จะให้เว่ยซูรู้เรื่องทั้งหมด ถ้าปกติเว่ยซูใช้แค่ระฆังดาราติดต่อกลับสมาคมอาวุโสล่ะ? ถ้าสมาคมอาวุโสกระจายกันอยู่ล่ะ ถ้าเว่ยซูก็แค่ติดต่อกับหนึ่งคนที่อยู่ในนั้นล่ะ? ถ้าเป็นแบบนี้ต่อให้พวกเราลงมือเร็วแต่ก็ไม่สำเร็จอยู่ดี ต้องแหวกหญ้าให้งูตื่นแน่นอน จะต้องเผชิญหน้ากับการโต้ตอบที่รุนแรงจากตระกูลเซี่ยโห้วแน่ ทัพใต้ยังไม่มีเสถียรภาพเต็มที่ อีกทั้งประมุขชิงก็จ้องจะเล่นงานท่านอ๋อง ท่านอ๋องโปรดไตร่ตรองเถอะ!”
เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำ “ถ้าแผนล้มเหลว ข้าก็จะทำลายสมาคมลับทุกแห่งของตระกูลเซี่ยโห้วทันที ตระกูลเซี่ยโห้วจะรู้ถึงความตื้นลึกหนาบางของข้าได้ยังไง ต่อให้โจมตีโค่นล้มเขาไม่ได้ แต่ก็ทำให้เขาตกใจได้เหมือนกัน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะมัวแต่นึกถึงข้าโดยไม่จัดการตัวเองก่อน? ถ้าอยากจะล้างแค้นข้าก็ต้องจัดการความเสียหายในบ้านตัวเองให้ได้ก่อน! เรื่องบางเรื่องในเมื่อยากที่จะวางแผนให้ครอบคลุมได้ เช่นนั้นก็ทำให้พวกเขาเสียหายก่อนแล้วค่อยเริ่มใหม่ อ้อมไปอ้อมมาแบบนี้ข้าปวดหัว ข้าก็อยากจะเห็นนักว่าอำนาจแต่ละฝ่ายจะยืนอยู่ข้างใคร ทุกคนอย่าได้คิดว่าจะอยู่อย่างสงบสุขเลย! เรื่องนี้อย่าบอกหวังเฟยกับหยางชิ่ง ข้าตัดสินใจของข้าเอง!”
“…” หยางเจาชิงพูดไม่ออก
งานเลี้ยงอุทยานหลวงจบแล้ว ต่างฝ่ายต่างกลับบ้านตัวเอง พวดอวิ๋นจือชิวออกจากอาณาเขตดาววังสวรรค์ กำลังพลที่ติดตามมาเตรียมตัวรออยู่ด้านนอกแล้ว
หลังจากออกเดินทางได้ไม่นาน ก็บังเอิญเจอจูโยวเหม่ยระหว่างทาง
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ดึงดูดสายตาผู้คนมากเกินไป จูโยวเหม่ยนำกำลังพลกลุ่มหนึ่งมารอตรงนี้ล่วงหน้า ก่อนหน้านี้บอกไว้แล้วว่าจะไปที่จวนอ๋องสวรรค์หนิวด้วยกัน
พอเจอกันแล้วก็พูดทักทายตามมารยาทอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่สายตาของจูโยวเหม่ยไปอยู่บนตัวมู่หรงซิงหัวเร็วมาก แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ท่านนี้คงจะเป็นแม่ทัพมู่หรงสินะ”
มู่หรงซิงหัวกุมหมัดคารวะทักทาย
“ถ้าบ่าวไพร่ของข้าล่วงเกินตรงไหน แม่ทัพมู่หรงก็อย่าเก็บมาใส่ใจ นี่คือน้ำใจเล็กน้อย” จูโยวเหม่ยดีดแหวนเก็บสมบัติเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
มู่หรงซิงคว้าเอาไว้ในมือ ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูของในแหวนเก็บสมบัติ พบว่าเป็นศรีษะคนสองใบ พอมองให้ละเอียด ถ้าไม่ใช่เฉาว่านเสียงกับเถียนจื่อจวินแล้วจะเป็นใครไปได้? มู่หรงซิงหัวยืนเหม่ออยู่ที่เดิมทันที มองจูโยวเหม่ยอย่างตะลึงงัน คลายนิ้วออกอย่างช้าๆ แหวนเก็บสมบัติลอยขึ้นมาเบาๆ อย่างไร้แรงโน้มถ่วง
ซูอวิ้นที่อยู่ข้างๆ ยื่นมือดูดเข้ามา พอดูในแหวนเก็บสมบัติ ก็เห็นศีรษะคนสองใบที่มีเลือดหยด แม้นางจะไม่รู้จัก แต่ก็เดาออกแล้วว่าเป็นใคร นางถ่ายทอดเสียงบอกอวิ๋นจือชิวที่มองมา “ศีรษะคนสองใบ คงจะเป็นของเฉาว่านเสียงกับเถียนจื่อจวิน”
อวิ๋นจือชิวอึ้งไปเลย เพราะได้ฟังคำพูดของซูอวิ้นแล้ว ตอนแรกที่จูโยวเหม่ยเอ่ยถึงเฉาว่านเสียงกับภรรยา ก็ไม่อยากจะทำร้ายพวกเขาโดยไร้เหตุผล นางถึงได้หลบเลี่ยงไม่สนทนาเรื่องนั้น แต่ใครจะคิดว่าจูโยวเหม่ยยังจะส่งศีรษะของสองคนนั้นมาให้
ก่อนหน้านี้แม้จะรู้ว่าคำพูดของซูอวิ้นมีความหมายแฝง แต่ตอนนี้พอได้รับศีรษะ นางถึงได้ตื่นตัวอย่างแท้จริง ฝั่งเถิงเฟยจำเป็นต้องสังหารบ่าวไพร่ในบ้านตัวเองเพื่อขอโทษมู่หรงซิงหัวด้วยเหรอ? นี่คือการสังหารให้ฝั่งนี้ได้เห็น ว่าไม่เสียดายที่จะสังหารบ่าวในบ้านเพื่อระบายความแค้นให้แม่ทัพของเจ้า แสดงความจริงใจขนาดนี้ ถ้ายังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังแสดงไมตรี ก็แสดงว่าโง่แล้ว
อวิ๋นจือชิวอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ซูอวิ้นพูดถูกแล้วจริงๆ เฉาว่านเสียงกับภรรยามีชีวิตอยู่ได้ไม่นานอย่างที่คาดไว้ ดูท่าแล้ว ตัวเองยังขาดความชำนาญเรื่องศึกษาความคิดคน ยังห่างชั้นกับซูอวิ้นตั้งไกล
……………