พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2086 ผู่หลันมาเยือน
เมื่อเห็นเขาเหมือนจะปลงและใจคอแห้งเหี่ยว หยางเจาชิงก็พูดปลอบใจว่า “ไม่มีใครที่สุขสำราญใจไปตลอดได้หรอกขอรับ ชาวบ้านก็มีเรื่องทุกข์ใจของชาวบ้าน ที่ไหนมีมนุษย์ที่นั่นก็มีบุญคุณความแค้น ทุกคนล้วนมีเวลาที่ต้องจ่ายทั้งนั้น ท่านอ๋องถือว่าทำดีต่อเหนียงเหนียงมากแล้ว”
“เจ้ากำลังบอกว่าข้าไม่รู้จักพอเพียงเหรอ?” เหมียวอี้ยิ้ม
“มิบังอาจ!” หยางเจาชิงรู้ว่าเขากำลังพูดเล่น จึงโค้งตัวตอบกลับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา ไม่รู้ว่าใครส่งข่าวมา ในฐานะที่เป็นพ่อบ้านของจวนท่านอ๋อง งานเบ็ดเตล็ดมักจะเยอะ หลังจากกำระฆังดาราไว้ หยางเจาชิงก็รายงานมา “ท่านอ๋อง มีแขกมาขอรับ แขกจากแดนสุขาวดี บอกว่าเป็นคนรู้จักเก่าของท่านอ๋อง”
“คนรู้จักเก่า?” จิตใต้สำนึกเหมียวอี้คิดว่าเป็นอวี้หลัวช่า “ใคร?”
“อรหันต์ผู่หลัน” หยางเจาชิงตอบ
“อรหันต์ผู่หลัน?” เหมียวอี้อึ้งเล็กน้อย ฝั่งนี้ได้รายชื่อสายลับที่ฮ่าวเต๋อฟางแทรกไว้แดนพุทธจากมือซูอวิ้น แต่คนรู้จักของเขาที่แดนสุขาวดีมีไม่มาก ดังนั้นถ้าเป็นคนรู้จักก็จำได้ง่ายมาก จึงถามว่า “ผู่หลันศิษย์คนสุดท้ายของพุทธะจิ้งฮวา?”
“ไม่ผิดหรอก เป็นนางขอรับ” หยางเจาชิงกล่าว
“อ้อ!” เหมียวอี้พยักหน้า “เช่นนั้นก็เป็นคนคุ้นเคย ในปีนั้นข้าติดหนี้น้ำใจนาง เจ้าช่วยข้าต้อนรับด้วยตัวเองสักหน่อย!” ในใจพึมพำว่า นักบวชหญิงคนนี้จะถ่อมาทำอะไรถึงนี่ แต่ตอนที่รู้จักกันในปีนั้น ผู่หลันคนนี้ก็ดีกับเขาจริงๆ ขอร้องอะไรก็ช่วยเหลือ
ผู่หลันมีพระสงฆ์ติดตามเพียงร้อยคน นางไม่ได้นำคนเข้ามาเยอะเกินไป นำเข้ามาเพียงสองคนเท่านั้น ที่เหลือรออยู่นอกจวนท่านอ๋อง จะเห็นได้ว่าไม่ได้คิดจะอยู่นาน
ถ้าพูดถึงฐานะ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ผู่หลันเทียบเหมียวอี้ไม่ติด แต่เห็นแก่ไมตรีที่อีกฝ่ายดูแลเขาในปีนั้น เหมียวอี้เฝ้ารออยู่ตรงประตูบันไดบนตึกศาลา ยิ่งไปกว่านั้นก็ส่งหยางเจาชิงไปต้อนรับด้วยตัวเองแล้วด้วย นับไว้หน้ามากพอแล้ว
ผู้หญิงหน้าตางดงามไม่ธรรมดาคนหนึ่งเดินตามข้างกายหยางเจาชิงขึ้นมาบนตึก บนมวยผมครอบผ้ามุ้งสีขาวลงมาถึงบ่า ใบหน้าเรียบร้อยภูมิฐาน หน้าผากอิ่มเกลี้ยงเกลา ยามกลอกตามองดูไม่ธรรมดา ราวกับดาวระยิบระยับในดาราจักร เปล่งประกายแวววับ แม้จะเป็นคนที่ออกบวช แต่กลับแต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีขาวแบบฆราวาส สร้อยหยกห้อยลงตรงหน้าอกอิ่มเอิบ อากัปกิริยาสงบเงียบ
หน้าตาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังแต่งกายเหมือนเดิม เพียงสง่าราศีดูเหมือนนักบวช เหมียวอี้มองปราดเดียวก็จำได้แล้ว อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มบางๆ
ผู่หลันเผยฟันเล็กน้อย บนใบหน้าอมยิ้มเช่นกัน ก้าวเข้ามาประนมมือ “รบกวนท่านอ๋องให้มาต้อนรับด้วยตัวเอง” ผู้ติดตามสองคนที่อยู่ข้างหลังนางประนมมือตาม
เหมียวอี้ประนมมือตอบ “ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายปี ฆราวาสสง่างามยิ่งกว่าในปีนั้นอีก” ขณะที่พูดก็ยื่นมือเชิญให้นั่ง
แขกและเจ้าบ้านนั่งลง สาวใช้นำน้ำชามาวาง ผู่หลันจ้องมองเหมียวอี้ด้วยสายตาบริสุทธิ์ กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “แม้จะมองออกตั้งนานแล้วว่าท่านอ๋องไม่ใช่คนธรรมดา แต่อาตมาก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าชั่วพริบตาเดียวโยมหนิวในปีนั้นจะกลายเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ได้” ทำให้คนส่ายหน้าด้วยความปลงจริงๆ
เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ “ฆราวาสก็กลายเป็นอรหันต์แล้วเช่นกัน ประสบความสำเร็จไม่ธรรมดา”
อรหันต์มีระดับเทียบเท่าท่านโหวของตำหนักสวรรค์ อาศัยอย่างวรยุทธ์ผู่หลันแล้วกลายเป็นอรหันต์ได้ ก็นับว่าประสบความสำเร็จไม่ธรรมดาจริงๆ
“ท่านอาจารย์เมตตา ก็แค่ไม่กล้าไม่รับไว้ เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านอ๋องก็ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงหรอก” ผู่หลันบอกตรงๆ ว่าอาศัยว่ามีอาจารย์หนุนหลัง
หลังจากเหมียวอี้เชิญให้ดื่มน้ำชา ก็ถามว่า “ฆราวาสมาเยือนถึงประตูบ้าน เกรงว่าคงไม่ได้มาเพื่อรำลึกอดีตหรอกใช่ไหม?”
ผู่หลันหยิบแผ่นหยกออกมา ส่งต่อให้นักบวชหญิงที่อยู่ข้างหลัง นักบวชหญิงหันตัวไปหาหยางเจาชิง สุดท้ายพอของวางอยู่ในมือเหมียวอี้ ผู่หลันถึงได้บอกว่า “พุทธะจิ้งฮวาอาจารย์ของข้าได้รับคำสั่งจากประมุขพุทธะให้เชิญบรรดาอ๋องสวรรค์ไปฟังธรรม อาตมานึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เจอท่านอ๋องหลายปีแล้ว เลยเป็นฝ่ายขอมาส่งบัตรเชิญแทนท่านอาจารย์”
“อ้อ ประมุขพุทธะจะเปิดพลับพลาเทศนาธรรมอีกแล้วเหรอ?” เหมียวอี้ขานรับ แล้วหยิบแผ่นหยกในมือขึ้นมาอ่าน
ฝั่งแดนสุขาวดี ประมุขพุทธะจะเปิดพลับพลาเทศนาธรรมที่เขาหลิงซานโดยเว้นระยะเป็นช่วงๆเทศนาธรรมครั้งหนึ่งก็ใช้เวลาหลายวันหลายคืน เป็นงานใหญ่งานหนึ่งของแดนพุทธ นอกจากชาวพุทธที่เกี่ยวข้องกับแดนสุขาวดีที่ไปร่วมฟังได้ ก็จะเชิญขุนนางชั้นสูงบางส่วนของตำหนักสวรรค์มาด้วย เรื่องนี้เหมียวอี้รู้ดี แต่เวลาเปิดพลับพลาเทศนาธรรมที่ระบุในแผ่นหยกเป็นหนึ่งปีหลังจากนี้ จะว่าเร็วก็ไม่เร็ว จะว่าช้าก็ไม่ช้า
“ได้ ถึงตอนนั้นข้าจะไปฟังเสียงสวรรค์ของประมุขพุทธะ” เหมียวอี้รับปากทันที ส่วนตอนหลังจะไปหรือไม่ก็ต้องดูสถานการณ์ก่อน ถ้าไม่อยากไปขึ้นมา ก็หาข้ออ้างปฏิเสธได้ทุกเมื่อ
ผู่หลันประนมมือขอบคุณ แล้วจู่ๆ ก็ลุกขึ้นเดินเนิบนาบไปข้างระเบียงของตึกศาลา พิงระเบียงพลางทอดสายตามองจวนท่านอ๋องอันกว้างใหญ่ไพศาล “ตั้งแต่อ๋องสวรรค์ฮ่าวจากไป อาตมาก็มาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่ทราบว่าท่านอ๋องมีสนใจจะเดินเล่นเป็นเพื่อนอาตมาสักหน่อยไหม?”
คำพูดนี้หลงตัวเองเกินไปหน่อย นึกไม่ถึงว่าอรหันต์ต่ำต้อยคนหนึ่งจะขอให้อ๋องสวรรค์ผู้สง่าน่าเกรงขามเดินเล่นเป็นเพื่อนตัวเอง แต่คนที่อยู่ตรงนั้นล้วนฟังออกว่านางมีเรื่องจะคุยเป็นการส่วนตัวกับเหมียวอี้ เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือเชิญ “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
ผู่หลันเหมือนไม่อยากลงไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ข้างล่าง นั่งมองไปบนสะพานทางเดินที่ทอดข้ามระหว่างตึกศาลา
เหมียวอี้ยิ้มแล้วยื่นมือเชิญไปที่สะพานทางเดิน จากนั้นทั้งสองก็เดินเล่นช้าๆ อยู่บนสะพาน
นักบวชหญิงสองคนอยู่ที่นี่ต่อ ส่วนหยางเจาชิงก็รีบหยิบระฆังดาราขึ้นมา สั่งให้คนกันผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากบริเวณที่แขกกับเจ้าบ้านกำลังอยู่ด้วยกัน
ชมทิวทัศน์งดงามในจวนท่านอ๋องขณะเดินเล่นช้าๆ อยู่ในตึกศาลา ที่นี่มีเสน่ห์ไปอีกแบบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความงดงามหรูหราแลของหายากของทั้งจวนท่านอ๋อง ผู่หลันกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ช่างเป็นสถานที่งดงามเหมือนสวรรค์ในโลกมนุษย์จริงๆ!”
“คาดว่าสถานที่ฝึกบำเพ็ญของพุทธะจิ้งฮวาก็คงไม่ได้ไปกว่ากัน ได้ยินว่าเขาหลิงซานก็ยิ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพลังจิตวิญญาณ น่าเสียดายที่มีงานติดพันอยู่ตลอด หาโอกาสไปไม่ได้เลย” เหมียวอี้กล่าวตามมารยาท พอพูดถึงเขาหลิงซาน เขาก็นึกถึงเรื่องในปีนั้น กล่าวพร้อมยิ้มเรียบๆ “ในปีนั้นเคยไปเที่ยวที่เขาหลิงซาน ฆราวาสตั้งใจเตรียมให้ แต่ใครจะคิดว่ากลับเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด”
“อาศัยฐานะของท่านอ๋องตอนนี้ ถ้าอยากไปเขาหลิงซานก็สามารถไปได้ทุกเมื่อ เขาหลิงซานย่อมมองว่าเป็นแขกผู้มีเกียรติ ไม่ต้องให้อาตมาเตรียมการให้หรอก” ผู่หลันกล่าว
ไม่เห็นนางชักช้าไม่เข้าประเด็นหลักเสียที เหมียวอี้ก็พูดหยอกว่า “ดูท่าแล้ว ฆราวาสคงจะมาที่นี่เพื่อรำลึกความหลังจริงๆ”
ผู่หลันกล่าวยังใจเย็นว่า “แม้อาตมาจะเป็นชาวพุทธ แต่กลับให้ความสนใจกับท่านอ๋องมาตลอด อุบายปลุกปลั่นสถานการณ์เหนือการคาดเดาที่ท่านอ๋องใช้มาตลอดหลายปีนี้ สามารถทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ ไม่รู้ว่ามีตั้งกี่ชีวิตที่ต้องตายเพราะท่านอ๋อง การต่อสู้ชิงตำแหน่งอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ ท่านอ๋องก็แสดงความทะเยอทะยานมาเต็มที่ กระพือลมคาวฝนเลือด คนที่ตายไปไม่ใช่แค่ร้อยล้าน ขอบังอาจถามท่านอ๋องสักคำ เคยรู้สึกผิดบ้างไหม?”
เหมียวอี้เหล่ตามองนางแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีเจตนาอะไร “ทำไมอ๋องผู้นี้จะไม่รู้สึกกังวลใจทุกข์ใจ ทำไมจะไม่อยากอยู่อย่างสงบ ทว่าต้นไม้หวังอยู่นิ่ง แต่ลมกลับไม่หยุดพัด ก่อนหน้านี้พ่อบ้านยังบอกกับข้าอยู่เลย ว่าที่ไหนมีมนุษย์ที่นั่นก็มีบุญคุณความแค้น จะทำยังไงได้ล่ะ? ฆราวาสเห็นเพียงตอนที่ข้าบีบบังคับผู้อื่น แต่เคยเห็นตอนที่ข้าถูกบีบให้จนตรอกหรือเปล่า นึกถึงตอนที่กำลังพลหนึ่งล้านต้องการจะเล่นงานข้าคนเดียวให้ถึงตายตอนเข้าร่วมการทดสอบแดนอเวจี แล้วตอนนี้ก็มีคนอยากได้หัวของข้าอีก มีใครเคยรู้สึกผิดบ้างหรือเปล่าล่ะ? เกรงว่าคงแค่แค้นที่ข้าไม่รีบตายเร็วๆ! ถ้าครั้งนี้ข้าไม่ชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ ก็จะมีคนมาลงมือกับข้าอยู่ดี ถ้าเปลี่ยนเป็นฆราวาสบ้าง ท่านจะทำอย่างไร? ฆราวาสเห็นแค่ภายนอกของข้า ไม่เคยเห็นเหตุผลที่อยู่ภายใน ถึงได้กล่าวเช่นนี้ ชาวพุทธมีคำกล่าวว่าสละร่างกายให้เสือกิน มีคนประเภทนั้นอยู่จริงหรือ? อย่างน้อยอ๋องผู้นี้ก็ไม่เคยเห็น แล้วก็ทำไม่ได้ด้วย ฆราวาสถามถึงใจของข้า ถ้าคิดจะพูดว่าทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฝากฝั่ง ข้าก็ขอบอกฆราวาสเอาไว้เลย ข้าไม่เคยรู้สึกผิด ไม่มีทางหันหลังกลับ และจะไม่หันหลังกลับด้วย ปล่อยให้ข้างหน้ามีทะเลทุกข์ทะเลเลือด ข้าจะขึ้นเรือกระดูกขาวข้ามไป! ฆราวาสพอใจหรือยัง?”
ผู่หลันส่ายหน้าถอนหายใจ “ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้ว อย่าโกรธเคือง อาตมาไม่ได้มีเจตนาจะประณาม เพียงแต่รู้สึกสะท้อนใจเมื่อนึกถึงตอนเจอท่านอ๋องครั้งแรก ท่านอ๋องในตอนนั้นกล้าหาญที่จะช่วยผู้อื่น ช่วยเหลือคนอ่อนแอ ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอ๋องช่วยไว้ อาตมาก็ไม่มีวันนี้เช่นกัน ท่านอ๋องที่กล้าหาญช่วยเหลือผู้อื่น ในปีนั้น ตอนนี้ใต้เท้ากลับเหยียบภูเขากระดูกทะเลเลือด อาตมารู้สึกเหมือนฝันไป”
พอพูดถึงตรงนี้ ก็เป็นสิ่งที่หมียวอี้ฉงนสนเท่ห์มาตลอด อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ตามเวลาที่ฆราวาสกล่าวถึง ขอกล่าวอย่างล่วงเกิน อาศัยความงดงามของฆราวาส ถ้าเคยเห็นในปีนั้น คงไม่ถึงขั้นจำอะไรไม่ได้เลยสักนิด ข้านึกไม่ออกจริงๆ ว่าเคยช่วยชีวิตฆราวาสไว้ตอนไหน”
“ฝนตกแล้ว!” ผู่หลันพึมพำ แล้วจู่ๆ ก็ก้าวออกไป ยื่นมือไปนอกชายคาของสะพานทางเดิน สัมผัสเม็ดฝนที่โปรยปรายเงียบๆ
เหมียวอี้มองไปด้านนอก พบว่าฝนตกแล้วจริงๆ จึงพูดไปเรื่อยเปื่อยว่า “ที่นี่มีฤดูฝนค่อนข้างยาวนาน ได้ยินว่าซูอวิ้น พ่อบ้านของฮ่าวเต๋อฟางชอบดูฝนตก ทุกครั้งที่ฮ่าวเต๋อฟางสร้างจวน ก็จะเลือกสถานที่ที่มีฤดูฝนมากก่อน”
ผู่หลันกลับหยิบขลุ่ยออกมาเลาหนึ่ง แล้วเป่าบรรเลงขณะมองไปยังเม็ดฝนขมุกขมัวด้านนอก นิ้วเรียวขาวขยับขึ้นลง เสียงขลุ่ยแฝงอารมณ์สะอื้นอยู่ลึก
“…” เหมียวอี้อ้าปากค้างพูดไม่ออ รู้สึกเหมือนเจอกับคนบ้าเข้าแล้ว ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าผู้หญิงคนนี้มีเจตนาอะไรกันแน่ ผู้หญิงออกบวชคนหนึ่งถ่อมาเป่าขลุ่ยอยู่ที่นี่ เล่นบ้าอะไรกัน? แต่เหมือนเขาเคยได้ยินเพลงนี้ที่ไหนมาก่อน เป็นเพราะเขาไม่ใช่คนมีอารมณ์สุนทรีย์ ฟังเพลงจากขลุ่ยมาน้อยมาก เป็นเพราะฟังมาน้อย บางครั้งเวลาได้ฟังจึงจำได้บ้าง ท่วงทำนองเพลงกระตุ้นเค้าโครงเหตุการณ์บางอย่างที่เลือนรางอยู่ในสมองของเขาขึ้นมา
บรรเลงเพลงแค่ช่วงเดียว หลังจากวางขลุ่ยไว้ในมือแล้ว ผู่หลันก็หันตัวมาถามด้วยรอยยิ้ม “เพลงนี้อาตมาแต่งเองเมื่อหลายปีก่อน คงจะไม่ค่อยเหมือนคนอื่น ไม่ทราบว่าท่านอ๋องฟังแล้วพอจะจำได้บ้างไหม? กลางดึกวงัดในปีนั้น เห็นท่านอ๋องอ้างว้าง เลยตั้งใจบรรเลงให้ท่านอ๋องฟังตรงตีนเขา”
“เคยเป่าขลุ่ยให้ข้าฟังเหรอ?” เหมียวอี้ชี้ที่ตัวเอง ในดวงตาเต็มไปด้วยความงุนงง เขาฟังขลุ่ยมาน้อย ทั้งยังมีคนเคยตั้งใจเป่าให้เขาฟังอีก เป็นไปไม่ได้ที่จะจำไม่ได้ พอจะคุ้นกับทำนองเพลงอยู่บ้างจริงๆ
ผู่หลันเล่าว่า “ในปีนั้นที่ดาวไร้ลักษณ์ โลกมนุษย์เผชิญไฟสงคราม อาตมาบ้านแตกสาแหรกขาด อุ้มลูกน้อยหลบหนีอยู่ท่ามกลางชาวบ้านที่ตกทุกข์ได้ยาก ตอนที่นอนค้างแรมในป่า จู่ๆ ก็มีฝูงหมาป่าบนภูเขาโจมตี ชาวบ้านหนีกระจัดกระจาย อาตมาหิวโหย ทั้งยังอุ้มลูกน้อย ไม่มีแรงวิ่งเลย ตอนที่สะดุดล้มลง มีหมาป่าหิวโหยหลายตัวกระโจนเข้ามา เดิมทีคิดว่าจะไม่รอดแล้ว แต่ใครจะคิดว่าท่านอ๋องจะปรากฏตัวขึ้น หมาป่าหิวโหยพวกนั้นถูกท่านอ๋องควงกระบี่ฟันสังหารหมด แล้วก็เห็นท่านอ๋องชีวิตคนตกทุกข์ได้ยากคนอื่น ไล่หมาป่าหิวโหยกระเจิง ตอนนั้นคนที่ร่วมเดินทางกับท่านอ๋องยังมีอีกสองคน แต่กลับมีแค่ท่านอ๋องที่ชักกระบี่ออกมาช่วยชีวิตมนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเรา จากนั้นท่านอ๋องก็ตัดต้นไม้จากในป่า ก่อฟืนวางหม้อ ปรุงเนื้อหมาป่าให้ชาวบ้านที่อดอยาก อาตมายังเคยนำเนื้อที่สุกแล้วชิ้นหนึ่งให้ท่านอ๋อง แต่ท่านอ๋องไม่รับไว้ อาตมาจึงลูกชายมาคุกเข่าตรงหน้าท่านอ๋อง ขอให้ท่านอ๋องรับเป็นลูกศิษย์ แต่ก็ถูกท่านอ๋องปฏิเสธเหมือนเดิม แต่ท่านอ๋องกลับสีหนทางรอดให้อาตมา ให้อาตมาไปที่เมืองต้าเหลียง อาณาเขตของเหลียงอ๋อง ไปหาพระชายาเหลียง บอกเพียงว่าลูกพี่ลูกน้องของพระชายาให้ไปหาก็พอ ทั้งยังบอกพระชายาด้วยว่า ขอเพียงพระชายายอมรับไว้ ท่านก็จะติดหนี้น้ำใจนาง…เป็นคืนนั้นเอง ที่อาตมาเคยเป่าขลุ่ยบรรเลงเพลงนี้ให้ท่านอ๋องฟัง”
……………