พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2105 ช่วยออกมา
คนที่จะเข้าไปช่วยชื่อว่ากัวเหยียนถิง
ตู้เฉียวเองก็ถูกหนานโปบีบบังคับจนไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ซ่างกวนชิงไม่มีทางพาหนานโปมาที่นี่ได้เลย เซี่ยงจงก็ไม่มีหนทางเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ก็ไม่สามารถรู้ชัดได้ว่าเซี่ยงจงอยู่ที่ไหน สุดท้ายหนานโปก็ชี้แนะตู้เฉียวว่าขอแค่เป็นคนขององครักษ์เงาก็พอ หนานโปเตรียมจะคลำหาเบาะแสจากหน่วยงานภายในขององครักษ์เงา ดังนั้นตู้เฉียวจึงลงมือกับคนที่ชื่อกัวเหยียนถิง กัวเหยียนถิงเป็นลูกน้องของเซี่ยงจง คาดว่าคงเป็นคนขององครักษ์เงาเช่นกัน มีสถานะอะไรอยู่ในองครักษ์เงา ตู้เฉียวก็ไม่รู้ชัดเจน เป็นเพราะองครักษ์เงาลึกลับเกินไป คนนอกสืบหารายละเอียดของคนพวกนี้ได้ยากมาก
ที่โชคดีก็คือ หลังจากพระปีศาจควบคุมกัวเหยียนถิงสำเร็จ ก็พบว่ากัวเหยียนถิงเป็นหนึ่งในหัวหน้าคนสำคัญขององครักษ์เงา ยืนยันกับกัวเหยียนถิงจนแน่ใจแล้วว่าทางเข้าสถานที่หลอมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อยู่ตรงสถานที่ฝึกตนของประมุขชิงที่พระตำหนักอุทยานจริงๆ ที่นั่นมีองครักษ์เงารับหน้าที่เฝ้าอยู่ กัวเหยียนถิงก็เคยผลัดเวรยามไปเฝ้าที่นั่นบ่อยๆ เช่นกัน และกัวเหยียนถิงกับกำลังพลของตัวเองก็ไม่ได้ออกไปทำภารกิจกับเซี่ยงจง ตอนนี้คนที่รับหน้าที่เฝ้าที่หลอมสมบัติก็บังเอิญเป็นกลุ่มของกัวเหยียนถิงพอดี นี่ก็คือสาเหตุที่ตู้เฉียวจับกัวเหยียนถิงได้
ดูจากสถานการณ์ของสถานที่หลอมสมบัติที่กัวเหยียนถิงให้ข้อมูลมา เกรงว่าต่อให้ควบคุมกัวเหยียนถิงได้แล้ว แต่การจะช่วยหลินอ้าวเสวี่ยออกมาก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าจะเข้าสถานที่หลอมสมบัติก็ต้องผ่านการตรวจสอบ ตอนจะออกก็ต้องผ่านการตรวจสอบ นอกเสียจากจะได้หนังสือแนะนำจากซ่างกวนชิง และต่อให้นำคนออกจากพระตำหนักอุทยานได้ วังสวรรค์ก็จับตาดูคนที่เข้าออกวังสวรรค์อย่างเข้มงวด จะเข้าจะออกก็ล้วนต้องผ่านการตรวจสอบ คนที่สามารถเข้าออกวังสวรรค์ได้โดยไม่ต้องตรวจสอบมีน้อยจนนับนิ้วได้
นอกเสียจากจะปฏิบัติภารกิจลับ ไม่อยากให้คนจำนวนมากรู้ความลับ ซ่างกวนชิงถึงจะมอบหนังสือแนะนำให้ พวกขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ที่ได้เข้าประชุมราชสำนักไม่ต้องผ่านการตรวจสอบ แต่ตอนเข้าออกก็ต้องรายงานวังสวรรค์ก่อนอยู่ดี มีผู้คุมงานทั้งขั้นตอนจากวังสวรรค์
ถามหน่อยว่าภายใต้สถานการณ์อย่างนี้จะพาคนออกมาได้หรือ? โดยทั่วไปไม่มีโอกาสช่วยออกมาได้เลย แต่นั่นคือสำหรับคนทั่วไป ถ้าเป็นสำหรับพระปีศาจหนานโป ก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง แต่ก็อันตรายมาก ต้องเสี่ยงดวง ตอนนี้พระปีศาจก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วเช่นกัน ทำได้เพียงลองดูสักครั้ง ต่อให้เป็นแค่การสร้างความเคลื่อนไหวเพื่อให้หนิวโหย่วเต๋อแน่ใจว่าสถานที่หลอมสมบัติอยู่ที่พระตำหนักอุทยานจริงๆ ก็ได้ เขาไม่รู้อีกว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเหมียวอี้คือต้องการจะช่วยหลินอ้าวเสวี่ยออกมา
ส่วนตู้เฉียว ตอนนี้ก็ถูกพระปีศาจคุมไว้ชั่วคราว ดึงวิญญาณออกมาควบคุม ไม่อย่างนั้นพระปีศาจก็ยังไม่สามารถใช้วิชานี้ควบคุมคนจำนวนมากเกินไป ถ้าสามารถจบเรื่องนี้ได้อย่างราบรื่น ก็ยอมควบคุมตู้เฉียวต่อไปอีก
ระฆังดารามีความเคลื่อนไหว หนานโปหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเรียบๆ
จั่วเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกันลองถามว่า “เริ่มแล้วเหรอ?” หนานโปตอบ “อืม”
นอกประตูใหญ่พระตำหนักอุทยาน กัวเหยียนถิงถลันตัวมาเหยียบลงตรงนั้น แม้ทหารยามทั้งหมดจะรู้จักเขา แต่เขาก็ยังต้องแสดงป้ายคำสั่งถึงจะผ่านเข้าไปได้อย่างราบรื่น
เดินมาตลอดทางจนถึงตำหนักต้องห้ามที่อยู่ลึกในพระตำหนักอุทยาน นอกลานตำหนักที่มีต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบมีกองทัพองครักษ์เฝ้าอยู่ ขอแสดงป้ายคำสั่งอีกครั้งแล้วถึงได้เข้าไป หลังจากเข้ามาข้างในแล้ว ในลานตำหนักก็มีสายตาจับจ้องมาทั้งจากที่ลับและที่แจ้ง เขาเป็นฝ่ายเดินเข้าไปในศาลาหลังหนึ่ง คนที่อยู่ในนั้นกุมหมัดคารวะเขา “นายท่าน!”
กัวเหยียนถิงรูดกำไลเก็บสมบัติออกจากข้อมือ หยิบระฆังดาราในนั้นออกมา แล้วบอกกับทั้งสองว่า “ต้องเอาอันนี้เข้าไปด้วย มีภารกิจ”
ทั้งสองพยักหน้า นำระฆังดาราเข้าไปอันเดียวไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถ้าในนี้มีความลับอะไรจะเปิดเผยจริงๆ แค่กัวเหยียนถิงรู้คนเดียว ต่อให้ไม่ใช้ระฆังดาราก็เปิดเผยความลับได้อยู่ดี ส่วนกำไลเก็บสมบัติอันนั้น กัวเหยียนถิงวางไว้ในถาดอันหนึ่งบนโต๊ะ ทางถามว่า “ไม่มีเรื่องอะไรใช่ไหม?”
หนึ่งในนั้นทำการตรวจสอบ แม้ในตอนนี้สมาชิกองครักษ์เงาที่อยู่ที่นี่จะเป็นลูกน้องของกัวเหยียนถิงหมด แต่ก็ยังต้องปฏิบัติตามระเบียบการอย่างเข้มงวด
อีกคนหนึ่งนำถ้ำถ้วยน้ำชาเปล่ามาคว่ำกำไลเก็บสมบัติที่อยู่บนถาดเอาไว้ ก่อนที่กัวเหยียนถิงจะออกมาก็จะไม่มีใครแตะต้องของของเขา รอให้กัวเหยียนถิงออกมาแล้วก็ย่อมส่งให้เขาเอง ขณะทำอย่างนั้นก็ตอบว่า “ทุกอย่าปกติขอรับ!”
“ฝ่าบาทไม่อยู่เหรอ?” กัวเหยียนถิงถาม
คนที่คว่ำถ้วยน้ำชาตอบว่า “ไม่อยู่ที่พระตำหนักอุทยาน น่าจะอยู่ที่วังสวรรค์ขอรับ”
หลังจากคนที่ตรวจสอบแน่ใจแล้วว่าบนตัวกัวเหยียนถิงไม่มีอะไรผิดปกติ ก็ส่งสัญญาณมือให้คนที่คอยดักซุ่มอยู่รอบๆ บอกใบ้ว่าทุกอย่างปกติ
กัวเหยียนถิงมองไปรอบๆ แวบหนึ่ง เดินออกจากศาลามาที่เขตลานบ้านอีกแห่ง เดินตรงไปนอกห้องที่ประตูปิดสนิท พอเคาะประตู ด้านในก็มีคนเปิดประตูออก แล้วก็มีคนอีกสองคนตรวจสอบเขา หลังจากแน่ใจว่าทุกอย่างปกติแล้วถึงได้ปล่อยเขาเข้าไป
ในห้องมีทางเข้าแค่ทางเดียว มีบันไดหินยาวลงไปข้างล่าง ท่ามกลางความมืดสลัวมีไข่มุกราตรีคอยส่องแสงสว่าง
เดินลงไปตามบันไดได้ประมาณหนึ่งพันจั้ง ระหว่างทางล้วนมีทหารยามเฝ้าอยู่ เมื่อเห็นเขาก็จะกล่าวทำความเคารพ “นายท่าน!”
เดินผ่านถึงประตูใหญ่ของตำหนักใต้ดินที่ทำจากดวงจิตน้ำแข็ง พอเข้าไปก็มีไอร้อนโผเข้ามา
เป็นโลกที่เต็มไปด้วยทะเลเพลิงและหินหนืด เห็นคนเดินไปเดินมา มีเสียงเหล็กโลหะกระทบกันดังออกมา กัวเหยียนถิงเดินหาไปทั่วอยู่ครู่หนึ่ง ถามถึงสถานการณ์จากลูกน้องตัวเอง ระหว่างทางยืมแหวนเก็บสมบัติมาจากมือของช่างฝีมือคนหนึ่ง หลังจากเตรียมตัวนิดหน่อย สุดท้ายถึงได้มายังจุดที่รับหน้าที่ดูแลเรื่องอาหารของทุกคน ที่พักทุกแห่งล้วนมีดวงจิตน้ำแข็งขอลดอุณหภูมิ ดังนั้นจึงเหมาะกับการอยู่อาศัย
หลินอ้าวเสวี่ยมารดาของเฟยหง ทุกวันนี้ไม่ต้องทำงานเบ็ดเตล็ดพวกนั้นอีกแล้ว นางรับหน้าที่คอยคุมสมาชิกครอบครัวผู้หญิงที่ถูกลงโทษให้มาอยู่ที่นี่ให้จัดการปัญหาเรื่องอาหารการกินของที่นี่
เมื่อเห็นหลินอ้าวเสวี่ย กัวเหยียนถิงก็บอกทันทีว่า “เจ้าตามข้ามานี่หน่อย”
“ค่ะ!” หลินอ้าวเสวี่ยเดินตามกัวเหยียนถิงไปยังเคารพยำเกรง เมื่ออยู่ในนี้ คนพวกนี้มีอำนาจสั่งหารผู้หญิงที่ทำผิดอย่างพวกนาง นางเคยเห็นกับตาว่านักโทษหญิงที่ไม่รักษากฎระเบียบถูกคนพวกนี้ประหารอย่างไร้เหตุผล ทำเหมือนฆ่าแล้วก็ไร้ประโยชน์
เดินมาถึงห้องศิลาห้องหนึ่ง หลินอ้าวเสวี่ยยังไม่ทันรู้ว่ามีเรื่องอะไร กัวเหยียนถิงก็หันตัวมาใช้นิ้วจิ้มให้นางสลบ แล้วเก็บเข้าแหวนเก็บสมบัติเสียเลย
หลังจากหลับตาเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง กัวเหยียนถิงก็ยัดแหวนเก็บสมบัติไว้ในหน้าอก เสร็จแล้วถึงได้เดินออกไป เขาคอยระวังรอบข้างตลอดทาง เดินมาถึงทางออกอย่างไม่รีบร้อน แล้วก็เดินขึ้นบันไดมาอีก ตอนที่ใกล้จะถึงทางออกบนพื้นดิน เขาก็ผ่อนฝีเท้าตัวเองให้เดินช้าลง แล้วเขย่าระฆังดาราที่อยู่ในกระบอกแขนเสื้อติดต่อกับภายนอก
อุทยานหลวง เรือนพักของอ๋องสวรรค์ก่วง มีบ่าวไพร่คนหนึ่งเดินออกมา แล้วห่อไปทางพระตำหนักอุทยาน
ทหารยามที่อยู่พระตำหนักอุทยานรีบหันไปมอง ไม่รู้ว่าคนๆ นี้มาด้วยธุระอะไร เมื่อเห็นผู้ที่มาเหยียบลงพื้นแล้วเดินไม่หยุด ทหารยามหนึ่งในนั้นก็ยกมือส่งสัญญาณให้หยุดเดิน
ใครจะคิดว่าผู้ที่มาจะชักดาบออกมากะทันหัน แล้วฟันดาบออกมาสุดกำลังหนึ่งครั้ง พลังอิทธิฤทธิ์โหมซัดสาดออกมา
ทหารยามตกใจมาก ถ้าปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นที่นี่ ไม่ว่าใครก็รับผิดชอบไม่ไหว นึกไม่ถึงด้วยว่าจะมีคนใจกล้าขนาดนี้ บังอาจมาทำตัวกำเริบเสิบสานที่นี่!
“บึ้ม!”
เสียงระเบิดดังสะเทือน ทหารยามหนึ่งในนั้นโบกทวนแทงออกมาเสียเลย ทำลายพลังอิทธิฤทธิ์ที่คนนั้นโจมตีเข้ามา แค่โจมตีครั้งเดียวก็ทำให้ดาบในมืออีกฝ่ายสะเทือนกระเด็นหลุดไปแล้ว บ่าวคนนั้นก็กระอักเลือดกระเด็นออกไปเช่นกัน แต่กลับไม่ยอมหยุด ยังคงควงหมัดถล่มยิงพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาใส่พื้นดินอีกหลายครั้งต่อเนื่องกัน
ทหารยามสองคนถลันตัวเข้ามา จับตัวบ่าวคนนั้นไว้อย่างไม่เปลืองแรง
บ่าวที่เฝ้าอยู่ในเรือนพักบนแนวเทือกเขารอบๆ ตกใจแล้ว ทยอยกันออกมาดูความเคลื่อนไหว มองดูผิวดินที่เป็นพังทลายะนอกพระตำหนักอุทยาน ทั้งยังมีการจับกุมอีก ทุกคนต่างก็อกสั่นขวัญแขวน ไม่รู้ว่าใครกันที่เบื่อหน่ายจะมีชีวิตอยู่แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะถ่อไปก่อกวนที่พระตำหนักอุทยาน
ทว่าเมื่อเกิดความเคลื่อนไหวนี้ กัวเหยียนถิงที่เดินช้าๆ อยู่ระหว่างทางใต้ดินก็ตาเป็นประกายทันที รีบถลันตัวออกมา ตะคอกถามสองคนที่ตรวจสอบอยู่ในห้องทางออกว่า “มีเรื่องอะไร?”
ทั้งสองก็กำลังแปลกใจเหมือนกันว่าด้านนอกมีความผิดปกติอะไร ต่างก็ส่ายหน้าตอบว่า “ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรเหมือนกันขอรับ!”
“ออกไปดูหน่อย!” กัวเหยียนถิงตวาด
สองคนนี้รีบเปิดประตู แล้วกัวเหยียนถิงก็นำออกไป โดยมีสองคนนี้ตามหลัง
พอมาถึงลานตำหนักด้านนอก กัวเหยียนถิงก็ตะคอกอีกว่า “เรียกคนมาตามข้าออกไปดูอีก ส่วนคนที่เหลือเตรียมป้องกันอย่างเข้มงวด!” ขณะเดียวกันก็โบกมือขยุ้ม ถ้วยน้ำชาที่คว่ำอยู่ในศาลาเกิดรอยแยกแตกออก กำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งตกมาอยู่ในมือเขา แล้วก็สวมเอาไว้บนข้อมือเสียเลย。
ทั้งที่ลับและที่แจ้งมีคนถลันตัวออกมาหกคน เพราะตามหลังกัวเหยียนถิงไปอย่างรวดเร็ว
พอมาถึงประตูพระตำหนักอุทยาน เห็นบ่าวคนนั้นนอนตาเหลือกเลือดไหลออกมุมปากอยู่บนพื้น กัวเหยียนถิงก็ถามทหารยามคนหนึ่งว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ทหารยามคนนั้นขมวดคิ้ว “อยู่ดีๆ ก็วิ่งเข้ามาก่อกวน เพิ่งจะจับตัวได้ก็ตัดชีพจรฆ่าตัวตายเองแล้ว”
กัวเหยียนถิงหันกลับไปถ่ายทอดเสียงบอกลูกน้องที่อยู่ข้างหลังทันที “ระวังจะมีอุบาย พวกเจ้ากลับไปเสริมการป้องกัน ใครบุกเข้ามาฆ่าไม่ละเว้น!”
พวกลูกน้องกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง แล้วรีบถลันตัวกลับไป
คนที่อยู่ในเรือนตามแนวภูเขาต่างก็มองไปทางประตูพระตำหนักอุทยาน ส่วนทหารยามที่เฝ้าพระตำหนักอุทยานก็รีบรายงานสถานการณ์เร่งด่วนขึ้นไป กัวเหยียนถิงฉวยโอกาสออกไปเงียบๆ
หลังจากมาถึงดาราจักร กัวเหยียนถิงตรงไปที่ทางออกอาณาเขตดาว เขย่าระฆังดาราที่อยู่ในแขนเสื้ออีกครั้ง ติดต่อภายนอกเพื่อรายงานเวลาที่จะไปถึง
หนานโปที่ซ่อนตัวอยู่บนดาวเคราะห์รกร้างตอบกลับระฆังดารา แล้วพูดกับจั่วเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายทันที “เตรียมลงมือ!”
จั่วเอ๋อร์หันตัวออกมาจากปากถ้ำ มองไปรอบๆ ก่อนจะกระโดดลงในหุบเขาด้านล่าง จากนั้นปล่อยคนออกมาพันคน แล้วกำชับสั่งงาน
พันคนนี้ล้วนสวมเครื่องแบบเกราะรบตำหนักสวรรค์ สวนเป็นทหารยอดฝีมือที่อยู่ในทัพอารักขาของอิ๋งจิ่วกวงปีนั้น
รอจนกระทั่งหนานโปที่คำนวณเวลาแล้วส่งสัญญาณให้ลงมือ พันคนนั้นก็ถลันตัวเหาะออกมาจากดาวเคราะห์รกร้าง จัดกระบวนทัพเหาะออกมา ตรงไปยังซุ้มประตูนอกทางออกอาณาเขตดาววังสวรรค์
จั่วเอ๋อร์กลับเข้ามาในถ้ำ เฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวกับหนานโป
ทัพที่เฝ้าอยู่รอบๆ ซุ้มประตูเห็นกำลังพลกลุ่มหนึ่งของตำหนักสวรรค์มาถึง ก็พากันต้องมองอย่างระแวดระวัง
จนกระทั่งคนเข้ามาใกล้ ตอนที่ฝั่งนี้ส่งกำลังพลกลุ่มหนึ่งเข้าไปตรวจสอบ จู่ๆ ทหารพันคนนั้นก็จัดกระบวนทัพสังหาร ทั้งหมดมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อยู่ในมือ ยิงมาทางกำลังพลที่เข้ามาตรวจสอบอย่างบ้าคลั่ง สังหารกำลังพลกลุ่มเล็กร้อยคนที่เข้ามาตรวจสอบจนต้องรีบป้องกัน
ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เปลี่ยนทิศทางโจมตีไปทางซุ้มประตูหลังนั้น ลูกธนูดาวตกกระหน่ำยิงอย่างบ้าคลั่ง พอยิงเสร็จรอบหนึ่งก็หันเลี้ยวหนีไปเลย
เมื่อเห็นสถานการณ์ดังนี้ หนานโปกับจั่วเอ๋อร์ก็รีบออกจากถ้ำเช่นกัน หนีออกไปอย่างรวดเร็ว
กำลังพลที่เฝ้าคุ้มกันอยู่นอกซุ้มประตูตกใจมาก ขณะกำลังจะวางกำลังรับมือการบุกโจมตี ใครจะคิดว่าทัพฝ่ายศัตรูจะหนีไปแล้ว
“กำลังพกองขวาตามโจมตี!” แม่ทัพคนหนึ่งคำรามอย่างเกรี้ยวโกรธ
กำลังพลแสนกว่าคนไล่ตามไปทันที
ประตูดวงดาวตรงทางออกวังสวรรค์ก็ยิ่งมีกำลังทหารป้องกันหนาแน่น ตอนที่กัวเหยียนถิงเข้าใกล้ ก็มีกำลังพลเข้ามาหาและตรวจสอบเขาเช่นกัน
กัวเหยียนถิงก็นับว่าเป็นคนหน้าคุ้น ทหารยามรู้จักเขา แต่ก็ยังต้องดำเนินตามระเบียบการ
กัวเหยียนถิงเพิ่งจะเผยป้ายคำสั่ง ทหารที่เข้ามาตรวจสอบยังไม่ทันถามอะไร จู่ๆ ข้างหลังก็มีเสียงระเบิดสะเทือนฟ้าดังขึ้น มีคำสั่งเรียกรวมทัพใหญ่!
ทหารยามที่ตรวจสอบไม่สนใจกัวเหยียนถิงแล้ว รีบเลี้ยวกลับไปอย่างรวดเร็ว ได้รับคำสั่งทหารให้ไปรวมตัวกัน
กัวเหยียนถิงย่อมรู้สถานการณ์ของที่นี่ดี ไม่อย่างนั้นคงไม่เตรียมการอย่างนี้ รู้ว่าอีกไม่นานประตูดวงดาวจะถูกปิด จึงฉวยโอกาสตอนวุ่นวายพุ่งไปที่ประตูดวงดาว หนีออกไปแล้ว
พอถูกพ่นออกมาในอวกาศ ตัวก็มาอยู่ที่ซุ้มประตูใหญ่ด้านนอกแล้ว ภายใต้การจับตาดูของทหารที่เฝ้าซุ้มประตู เขาเผยป้ายคำสั่งในมือ เมื่อเห็นด้านนอกตั้งกระบวนทัพเตรียมโจมตี ก็ยังถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ทหารยามมองป้ายคำสั่งในมืออีกฝ่ายแวบหนึ่ง ในเมื่อผ่านการตรวจสอบออกมาแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องถามว่า ตอบเพียงคำเดียวว่า “มีคนจู่โจม!”
กัวเหยียนถิงพยักหน้า เหมือนไม่อยากถามเช่นกัน ขอให้ทัพป้องกันให้ทางสะดวก แล้วก็ออกไปอย่างนี้
ตอนที่เขาเพิ่งจะออกไป อวกาศก็มีกองทัพอีกหลายกลุ่มถูกพ่นออกมา แม่ทัพที่ออกมาถามถึงสถานการณ์ข้างนอก
ยังจะมีสถานการณ์อะไรได้ ทัพอารักขาของอิ๋งจิ่วกวงมีศักยภาพไม่ธรรมดา หนีเร็วสุดๆ ฝั่งนี้ก็กลัวว่าจะเป็นแผนล่อเสือออกจากภูเขา ปล่อยให้คนหนีไปได้แล้ว ทำได้เพียงรายงานขึ้นไปเบื้องบน บอกว่าจะปิดประตูดวงดาวเพื่อตรวจสอบอาณาเขตดาวผืนนี้
………………