พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2107 ข้าน้อยไม่มีอะไรจะพูดแล้ว
“เกิดการลอบจู่โจมทั้งข้างนอกข้างในไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เกรงว่าจะพุ่งเป้ามาที่หลินอ้าวเสวี่ย…” มาถึงขั้นนี้แล้ว ซ่างกวนชิงไม่ปิดบังเขาเช่นกัน เล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ
หลังจากฟังจบ ซือหม่าเวิ่นเทียนก็ไม่มีอารมณ์มาสำราญบานใจบนความทุกข์ของคนอื่นอีก ยกแขนเสื้อปาดเหงื่อตรงหน้าผาก รู้สึกเหมือนเหงื่อซึมนิดหน่อย เขาเดาได้ทันทีว่าเป็นฝีมือของหนิวโหย่วเต๋อ หรือพูดได้อีกอย่างว่า หนิวโหย่วเต๋อรู้ถึงเบื้องลึกของเฟยหงตั้งนานแล้ว หลายปีมานี้ใช้ประโยชน์เฟยหงเพื่อตบตาประมุขชิงมาตลอด ส่วนเฟยหงก็คือคนที่หน่วยตรวจการซ้ายแทรกไว้ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ เกิดช่องโหว่แบบนี้ขึ้นแต่เขากลับไม่รู้ความจริงเลยสักนิด โดยเฉพาะในเวลานี้ที่ประมุขชิงตัดสินใจจะกำจัดหนิวโหย่วเต๋อแล้ว เกรงว่าเฟยหงคนเปิดเผยข่าวเรื่องที่จะลงมือให้หนิวโหย่วเต๋อรู้ตั้งนานแล้ว ไม่แปลกใจที่ฟังเฟยหงบอกมาตลอดว่าไม่มีโอกาสเข้าใกล้หนิวโหย่วเต๋อ
และเพราะด้วยเหตุนี้เอง แสดงว่าฝั่งนั้นรู้แล้วว่าเฟยหงกำลังจะถูกเปิดโปง หนิวโหย่วเต๋อถึงได้ลงมือช่วยคนเพื่อคลายความห่วงหน้าพะวงหลังให้เฟยหง!
หรือพูดได้อีกอย่างว่า เมื่อก่อนที่ประมุขชิงปิดตาข้างเดียวให้พฤติกรรมของหนิวโหย่วเต๋อมาตลอด ก็เป็นเพราะหน่วยตรวจการซ้ายรายงานข่าวผิดๆ มาให้ เท่ากับว่าการที่หนิวโหย่วเต๋อเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ได้ เติบโตถึงขั้นที่ทำให้ประมุขชิงกังวลได้ เป็นผลงานจากหน่วยตรวจการซ้ายของเขา คิดแล้วก็เหงื่อกาฬแตกแล้วจริงๆ!
ตอนนี้เขายิ้มไม่ออกแล้วจริงๆ ความรับผิดชอบไม่ได้น้อยกว่าซ่างกวนชิงเลย เมื่อเทียบกับพวกโพ่จวินที่อยู่ข้างนอกแล้ว เขาเกิดปัญหาใหญ่ยิ่งกว่า ยังจะมีอารมณ์มาหัวเราะเยาะความทุกข์ของคนอื่นได้อย่างไร เขาเริ่มพูดจาไม่คล่องแล้ว ถามอย่างวิตกกังวลว่า “ซ่างกวน ทำยังไงดี?”
“เรียกเจ้ามาเพราะอยากจะฟังความเห็นของเจ้า แล้วเตรียมจะทำยังไง?” ซ่างกวนชิงถาม
ซือหม่าเวิ่นเทียนคว้าข้อมือเขา “ซ่างกวน นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เดี๋ยวถ้าฝ่าบาทรู้แล้ว ทั้งเจ้าทั้งข้าก็ผลักความผิดไปให้ใครไม่ได้!”
ซ่างกวนชิงผลักมือเขาออก มองไปรอบๆ แล้วกล่าวเสียงต่ำอย่างแฝงความหมายล้ำลึก “มีความเป็นไปได้มากว่าอีกประเดี๋ยวฝ่าบาทจะเรียกเกาก้วน ต้องให้เกาก้วนสืบเรื่องนี้แน่!”
“อืม!” ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้า แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ทำไมผู้การใหญ่ไม่เชิญเกาก้วนมาคุยกันสักหน่อยล่ะ?”
ซ่างกวนชิงบอกว่า “ติดต่อเกาก้วนไปแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง”
ซือหม่าเวิ่นเทียนกะพริบตา รู้ถึงความคิดของซ่างกวนชิงแล้ว สงสัยจะเรียกคนมาเพื่อปรึกษาเรื่องนี้กันก่อน กลัวว่าคนเดียวจะโน้มน้าวเกาก้วนไม่ไหว ก็เลยต้องดึงเขามาเพิ่มน้ำหนักด้วย จะได้โน้มน้าวให้เกาก้วนลงมืออย่างปรานีได้
เป็นอย่างที่ซ่างกวนชิงบอก เกาก้วนมาแล้ว นำกำลังพลของหน่วยตรวจการขวากลุ่มหนึ่งลงมาเหยียบนอกประตูใหญ่ของพระตำหนักอุทยาน
อุดมการณ์สูงส่ง สีหน้าเรียบเฉยเหมือนอย่างเคย มีลักษณะท่าทางไม่น่าเข้าใกล้อยู่ตลอด สวมหมวกทรงสูงสีดำ ชุดคลุมสีดำทั้งตัวปลิวสะบัดตามลม
พอเขามาถึง สมาชิกที่รวมตัวอยู่ตรงประตูก็หลีกทางให้เดิน ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้น ว่าเมื่อเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ก็ย่อมต้องให้หน่วยตรวจการขวาของเกาก้วนดูแล ใครกล้าขวางทาง ผู้พิพากษาหน้าตายคนนี้ก็ฆ่าคนแบบตาไม่กะพริบได้เลย ต่อให้เป็นโพ่จวินที่เคยด่าเกาก้วนว่าขุนนางทรราช ตอนนี้ก็ต้องโบกไม้โบกมือให้ลูกน้องหลีกทางเช่นกัน
ทำกลางสายตาฝูงชน เกาก้วนยืนตรง รองเท้ายาวสีดำพื้นขาวใต้ชุดคลุมก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ผ้าคลุมปลิวสะบัดอยู่ข้างหลัง มาหยุดยืนตรงหน้าศพร่างนั้น จ้องประเมินศพด้วยสายตาเย็นชา สมาชิกหน่วยตรวจการขวายืนเรียงแถวอยู่ทางฝั่งซ้ายและขวาของเกาก้วน
เกาก้วนพาคนมา ย่อมเป็นเพราะได้ยินเรื่องนี้แล้วเช่นกัน
“มีใครรู้บ้างว่าคนตายคือใคร?” เกาก้วนกวาดสายตาเย็นชามองกลุ่มคนพร้อมเอ่ยถามเสียงเรียบ
คนที่ยศน้อยพยายามไม่พูดอะไร ถ้าเข้าไปเกี่ยวข้องเรื่องนี้จริงๆ แล้วถูกเกาก้วนพาตัวไปหน่วยตรวจการขวา แบบนั้นก็จะอึดอัดแล้ว
กลับเป็นโพ่จวินที่โบกมือให้ลูกน้อง มีคนผลักพ่อบ้านชั่วคราวที่ดูแลเรือนพักของก่วงลิ่งกงออกมา โพ่จวินบอกบว่า “คนลอบโจมตีที่ตายไปเป็นบ่าวในเรือนพักที่อุทยานหลวงของจวนตระกูลก่วง พ่อบ้านของเรือนพักจวนตระกูลก่วงยืนยันแล้ว”
เกาก้วนจ้องพ่อบ้านคนนั้นพร้อมเอ่ยถาม “จริงหรือเปล่า?”
พ่อบ้านคนนั้นพยักหน้าอย่างหวาดกลัวเล็กน้อย “ใช่ขอรับ! แต่ว่านายท่านเกา เรื่องนี้จวนตระกูลก่วงของพวกเราไม่รู้เรื่องจริงๆ!”
“นำตัวคนกับศพไป!” เกาก้วนกล่าวเรียบๆ แล้วเอียงหน้าบอกอีกว่า “ควบคุมทุกคนที่อยู่ในเรือนพักจวนตระกูลก่วงเอาไว้!”
“ขอรับ!” มีคนเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไปปฏิบัติตามทันที หิ้วพ่อบ้านคนนั้นเดินออกไปเลย ศพบนพื้นก็เก็บไปแล้วเช่นกัน
เกาก้วนบอกโพ่จวินอีกว่า “รบกวนผู้บัญชาการองครักษ์ซ้ายส่งกำลังพลกลุ่มหนึ่งไปให้ความร่วมมือด้วย”
โพ่จวินพยักหน้า แล้วโบกมือชี้เลือกแม่ทัพคนหนึ่งให้นำคนตามคนของหน่วยตรวจการขวาไปที่เรือนพักจวนตระกูลก่วง
เกาก้วนกวาดสายตามองกลุ่มคน แล้วถามอย่างเยียบเย็นว่า “ใครคือพยานที่เห็นกับตา?”
ผ่านไปครู่เดียว ทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งก็ยืนออกนอกแถวอย่างอึดอัดเล็กน้อย
เกาก้วนบอกเพียงประโยคเดียวว่า “พาทั้งหมดกลับไปสืบสวนอย่างเข้มงวดที่หน่วยตรวจการขวา!”
จับพวกเราไปทำไม? ทหารสวรรค์พวกนั้นรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรม พากันมองไปทางโพ่จวิน วันนี้เป็นเวรของหน่วยองครักษ์ซ้ายของโพ่จวินพอดี ทว่าโพ่จวินก็คงความเงียบไว้ตลอดเช่นกัน เมื่อเกิดเรื่องประเภทนี้ขึ้น เขาเองก็ไม่สะดวกจะห้ามไม่ให้เกาก้วนสืบคดี
เมื่อนำพยานกลุ่มนี้ไป เกาก้วนก็กล่าวอย่างเยียบเย็นอีก “เก็บกวาดพื้นที่ ตรวจสอบกันตรงนี้เลย!”
พอสมาชิกในที่เกิดเหตุเก็บกวาดแล้ว เกาก้วนสะบัดชายเสื้อ เดินเข้าไปในพระตำหนักอุทยานอย่างไม่รีบร้อน ไม่มีใครกล้าขัดขวาง
ในตึกศาลา เมื่อเห็นเกาก้วนมาถึง ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนก็เข้ามาต้อนรับด้วยกัน
เดินเข้ามาในทางเดินของตึก พอเกาก้วนเห็นท่าทีของสองคนนี้ ก็ตระหนักได้ทันทีว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แค่ถามเสียงเรียกว่า “ผู้การใหญ่นัดข้ามา ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรจะกำชับ?”
ซ่างกวนชิงส่ายหน้าถอนหายใจ “เกาก้วน ไม่ปิดบังเจ้านะ เกรงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จะยุ่งยากแล้ว…” เล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ ทันที
หลังจากเกาก้วนฟังจบ ดูจากสายตาสื่อความหวังของทั้งสองก็พอเข้าใจอะไรบางอย่างได้แล้ว ถามอย่างใจเย็นว่า “รายงานเรื่องนี้ต่อฝ่าบาทหรือยัง?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนกุมหมัดคารวะยิ้มเจื่อน “เรื่องนี้พวกเราต้องรับผิดชอบไม่น้อยเลยจริงๆ อีกประเดี๋ยวฝ่าบาทต้องให้เจ้าไปตรวจสอบแน่ หวังว่าพี่เกาจะใจกว้างปรานี ไม่อย่างนั้นฝ่าบาทคงไม่ให้อภัยพวกเราง่ายๆ แน่!”
ซ่างกวนชิงก็พยักหน้ายิ้มอย่างขมขื่นเช่นกัน เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาเดียวกัน
เกาก้วนเงียบไปพักหนึ่ง แล้วถามด้วยน้ำเสียงเนิบๆ ว่า “ทั้งสองรู้ถึงผลที่ตามมาจากการปิดบังเรื่องนี้หรือเปล่า? เรื่องแบบนี้ถ้าพวกเราร่วมมือกันปิดบัง ผู้การข้างกายฝ่าบาท หน่วยตรวจการซ้ายขวา ทั้งสองลองชั่งน้ำหนักดูสักหน่อยเถอะ ถ้าให้ฝ่าบาทรู้เข้า เกรงว่าพวกเราจะรักษาหัวไว้ไม่ได้ แบบนี้เท่ากับบีบให้ฝ่าบาทเปลี่ยนคน! แล้วฝั่งหนิวโหย่วเต๋อเราก็ยังไม่รู้สถานการณ์ว่าเป็นยังไง ถ้าหลินอ้าวเสวี่ยโผล่หน้าอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋ออย่างเปิดเผยจะทำยังไง? พวกเราจะแอบติดต่ออย่างลับๆ กับหนิวโหย่วเต๋อได้เชียวเหรอ?”
“หลินอ้าวเสวี่ยคือนักโทษที่ถูกกำหนดชื่อไว้แล้ว ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อใจกล้ากว่านี้ แต่ก็ไม่มีทางให้หลินอ้าวเสวี่ยเปิดเผยตัวต่อสาธารณะหรอก?” ซือหม่าเวิ่นเทียนไม่แน่ใจ
“เรื่องนี้มีความเคลื่อนไหวไม่ใช่เล็กๆ เจ้ากล้ารับประกันไหมว่าในมือฝ่าบาทไม่มีสายลับคนอื่นแล้ว?” เกาก้วนถามเสียงเย็น
แค่ประโยคเดียวเท่านั้น ก็ทำให้ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนพูดไม่ออก ถ้าฝ่าบาทรู้เรื่องนี้จากช่องทางอื่นล่ะ ผลที่ตามมาก็ร้ายแรงจนไม่อยากจินตนาการถึง
เกาก้วนถอนหายใจอย่างที่ไม่ค่อยทำบ่อยนัก “ตามความเห็นของข้า ทั้งสองรายงานต่อฝ่าบาทอย่างซื่อสัตย์เถอะ! แม้ฝ่าบาทจะเดือดดาล และอาจจะทำโทษ แต่โทษก็ยังไม่ถึงตาย อีกทั้งเรื่องนี้ก็ยังเกี่ยวข้องกับโพ่จวินและอู๋ฉวี่ด้วย ฝ่าบาทจะฆ่าพวกเราตายให้หมดเชียวหรือ? คนทำผิดเยอะก็ลงโทษไม่ไหว ถ้าพวกเราปิดบัง เช่นนั้นโพ่จวินกับอู๋ฉวี่ก็จะไม่เป็นอะไร แต่พวกเราต้องตายแน่นอน!”
ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนสบตากันอย่างพูดไม่ออก…
ตำหนักดาราจักร ประมุขชิงวางฝ่ามือสองข้างบนโต๊ะ เอนกายมาข้างหน้าเล็กน้อย เรากับเสือดุที่ซุ่มหมอบ แววตาเยียบเย็นล้ำลึก กวาดสายตามองคนที่อยู่เบื้องล่างทีละคน แล้วกล่าวอย่างแข็งกระด้างว่า “ขนาดอยู่ใต้หนังตาข้า ดาบเกือบจะมาพาดคอข้าแล้ว!”
ซ่างกวนชิง ซือหม่าเวิ่นเทียน โพ่จวิน อู๋ฉวี่ ทั้งหมดก้มหน้าเล็กน้อยและไม่พูดอะไร มีเพียงเกาก้วนยืนตรงด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ เพราะเขาไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้เลยสักนิด
สถานการณ์ของเรื่องนี้ พวกเขาปรึกษากันคร่าวๆ ก่อนแล้ว เมื่อเปิดเผยเรื่องนี้ให้คนปากมากอย่างโพ่จวินรู้ ก็หมายความว่าไม่มีใครกล้าปิดบังอีก อีกฝ่ายเพิ่งจะรายงานเรื่องทั้งหมดให้ประมุขชิงฟัง และเมื่อคนพวกนี้ปรึกษากัน ความเป็นไปของเรื่องราวก็ยิ่งเด่นชัด กัวเหยียนถิงฉวยโอกาสหนีไปแล้วจริงๆ ฝั่งกองทัพองครักษ์มีคนเห็นกับตา
คนที่ยืนอยู่เบื้องล่างไม่มีใครกล้าพูดอะไร
ประมุขชิงเดินอ้อมออกมาจากโต๊ะยาว เดินเนิบนาบมาถึงข้างกายของพวกเขา แล้วยกเท้าเตะซ่างกวนชิงล้มลงพื้น
ซ่างกวนชิงเอามือเช็ดรอยเลือดที่มุมปาก แล้วรีบลุกขึ้นมาคุกเข่าก้มหน้า
ประมุขชิงชี้เขาพลางแสยะยิ้ม “ไม่น่าเชื่อว่าในองครักษ์เงาจะมีหนอนบ่อนไส้ ยังเข้าออกสถานที่ฝึกตนของข้าบ่อยอีก ถ้าจะเชื่อใจเจ้าได้ยังไง เจ้าตอบแทนข้าอย่างนี้น่ะเหรอ?”
ซ่างกวนชิงโขกศีรษะกับพื้น กล่าวอย่างเกรงกลัวว่า “บ่าวทรยศความเมตตาของฝ่าบาท โทษนี้สมควรตายหมื่นครั้ง!”
“ทหาร!” ประมุขชิงตะโกนไปด้านนอกประตู
ด้านนอกประตูมีทหารพุ่งเข้ามาหลายคน ซ่างกวนชิงเงยหน้า มองประมุขชิงด้วยแววตาน่าสงสาร
ประมุขชิงชี้เขา “ลากเขาออกไป…” สบตากับซ่างกวนชิงครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็สั่งว่า “ลงโทษ ยี่สิบแส้สยบมังกร!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท! ขอบพระทัยฝ่าบาท…” ซ่างกวนชิงแทบจะสะอื้น ไม่ได้สั่งตัดหัวเขา ก็แสดงว่าจะไว้ชีวิตเขา ยี่สิบแส้สยบมังกรแม้จะทำให้คนตายได้ แต่ก็ใช่ว่าเบื้องล่างจะไม่รู้กาลเทศะจนทำให้เขาถึงตาย
มีคนมาดึงแขนซ้ายขวาออกไปทันที ซ่างกวนชิงตะโกนขอบคุณตลอดทาง
“เจ้า!” ประมุขชิงเอานิ้วจิ้มหน้าอกซือหม่าเวิ่นเทียน เขาคุกเข่ากับพื้นทันที
ประมุขชิงแค้นจนกัดฟันกรอด “นี่คือสายลับที่เจ้าแทรกไว้เหรอ? นี่คือผลงานที่เจ้าภูมิใจนักภูมิใจหนางั้นเหรอ? ไม่น่าเชื่อว่าหน่วยตรวจการซ้ายของข้ากำลังสู้กับข้า!”
“ข้าน้อยสมควรตายหมื่นครั้ง!” ซือหม่าเวิ่นเทียนเอาศีรษะโขกพื้นอย่างหวาดกลัว
“ทหาร! ลากออกไป ลงโทษยี่สิบแส้สยบมังกร!”
มีทหารหลายคนเพิ่งเข้ามา หนีบแขนซือหม่าเวิ่นเทียนลากออกไปโดยตรง
“ยังมีพวกเจ้าสองคนอีก!” ประมุขชิงโบกมือชี้ไปที่โพ่จวินกับอู๋ฉวี่ ตะคอกอย่างโมโห “ทักอารักขาของข้าตาบอดกันหมดหรือไง? ปล่อยให้ใครคิดจะเข้าก็เข้ามาได้ คิดจะออกก็ออกไปได้ เห็นบ้านของข้าเป็นสถานที่ไร้คนเหรอ ข้าจะมีพวกเจ้าไว้ทำอะไร? ปกติจะชอบโวยวายไม่ใช่เหรอ?” เข้าเน้นชี้ไปที่โพ่จวิน โมโหจนแทบคำรามแล้ว!
โพ่จวินกับอู๋ฉวี่คุกเข่าข้างเดียวทันที ก้มหน้าบอกว่า “ข้าน้อยสมควรตายหมื่นครั้ง!”
“ทหาร! ลากออกไป ลงโทษด้วยแส้สยบมังกรคนละห้าที ถ้ามีครั้งหน้าอีก ตัดหัวไม่ละเว้น!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ทั้งสองกุมหมัเคารวะพร้อมกัน ครั้งนี้โพ่จวินไม่กล้าเถียงแม้แต่ครึ่งคำ
มีทหารพุ่งเข้ามาอีกหลายคน ลากทั้งสองออกไปเช่นกัน
ประมุขชิงเหล่ตามองเกาก้วนแวบหนึ่ง หาเหตุผลมาตำหนิเกาก้วนไม่ได้ โมโหจนเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา
เกาก้วนไม่พูดอะไร ยืนนิ่งอย่างเย็นชาอยู่อย่างนั้น
สุดท้ายประมุขชิงก็หยุดอยู่ตรงหน้าเกาก้วน ถามว่า “เรื่องนี้เจ้าคิดว่ายังไง?”
“น่าจะเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อขอรับ!” เกาก้วนกล่าว
“ตอนนี้ข้ายังต้องฟังเจ้าพูดเหลวไหลอีกมั้ย?” ประมุขชิงจิ้มหน้าอกเขา แล้วถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้าถามเจ้าว่าควรจะทำอย่างไร?”
เกาก้วนตอบเสียงเย็นว่า “ในปีนั้นที่ตรวจสอบองครักษ์เงา ข้าน้อยก็เคยบอกแล้ว รู้สึกว่าองครักษ์เงามีปัญหา แต่สุดท้ายฝ่าบาทก็ทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก ตอนนี้…ข้าน้อยไม่มีอะไรจะพูดแล้ว!”
………………