พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2110 หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าต้องตาย!
“…” จางผิงพูดไม่ออก แบบนี้ไม่มีทางเจรจากันได้แล้ว ทำได้เพียงบอกต่อหนานโปอย่างนั้น
บนเนินทรายที่รกร้าง พายุหมุนพัดเม็ดทรายเข้ามา หนานโปกำระฆังดาราพลางแสยะยิ้ม
จั่วเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ถามว่า “เขาพูดว่ายังไง?”
“เดาออกตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเวรนี่คงไม่ยอมจำนนง่ายๆ ดึงดันจะให้ข้าส่งคนไปก่อน เขาถึงจะมอบของกลับมา” หนานโปกล่าว
จั่วเอ๋อร์รีบโบกมือห้าม “ผู้อาวุโส ห้ามเชื่อเขาเด็ดขาด คนประเภทนี้ทำได้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีโอกาสไปคุมทัพใต้หรอก!”
“ข้าจะเชื่อเขาง่ายๆ ได้ยังไง!” หนานโปทำเสียงฮึดฮัด แล้วหันกลับมาถามว่า “ของที่ให้เจ้าเตรียมไว้จะส่งมาทันเวลาหรือเปล่า?”
“เสาะหารวบรวมไว้แล้ว กำลังให้คนนำมาส่งที่นี่ น่าจะไม่มีปัญหา” จั่วเอ๋อร์ตอบ
หนานโปพยักหน้า แล้วตอบกลับระฆังดารา
ในห้องหนังสือ หลังจากต่อรองกับแล้ว สุดท้ายก็กำหนดไว้ว่าอีกสามวันจะส่งคนและส่งของพร้อมกัน วิธีการแลกเปลี่ยนแบบนี้เหมียวอี้สามารถยอมรับได้ อย่างน้อยอาศัยกำลังของเขา ก็ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะเสียเปรียบ ที่ควรกังวลก็คือสัตว์พระปีศาจ เพียงแต่สิ่งที่ทำให้คนไม่เข้าใจก็คือ พระปีศาจขอให้ฝั่งนี้พาเฟยหงมาด้วย ต้องการให้เฟยหงเป็นพยานการแลกเปลี่ยนนี้เองกับตาตัวเอง ซึ่งเหมียวอี้ก็ตอบตกลงแล้ว
ทั้งยังมีสถานที่แลกเปลี่ยนของโดยละเอียดอีก หนานโปยังไม่ได้บอกให้รู้ บอกว่าเมื่อถึงเวลาก็ย่อมรู้เอง เหมียวอี้ไม่ยอมเพ่นพ่านไปไหนซี้ซั้ว แต่หนานโปกลับบอกว่าอยู่ในอาณาเขตทัพใต้
“อยู่ในอาณาเขตทัพใต้เหรอ?” หยางชิ่งประหลาดใจนิดหน่อย ขมวดคิ้วครุ่นคิดพร้อมบอกว่า “พระปีศาจอวดดีเกินไปหน่อยหรือเปล่า ไม่กลัวหรือว่าในระหว่างนั้นจะมีอุบาย?” จนใจที่สถานการณ์ที่รู้ในตอนนี้มีจำกัด ยากที่จะศึกษาอย่างละเอียด
“เขาต้องเตรียมอะไรบางอย่างไว้แน่นอน ตั้งตารอเถอะ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะเล่นลูกไม้อะไรบนอาณาเขตของข้า!” เหมียวอี้หน้านิ่ง หันไปมองหยางเจาชิงแล้วสั่งว่า “เตรียมกำลังพลให้พร้อม เตรียมตัวให้ดี!”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงกุมหมัดเอ่ยรับ
“ถือโอกาสเชิญฮูหยินกับฟยหงมาที่นี่สักหน่อย” เหมียวอี้โบกมือสัก
หลังจากสองหยางออกไปแล้ว เหมียวอี้ก็รู้สึกหนักใจนิดหน่อย ถ้าจะบอกว่าไม่กังวลเลยสักนิดก็โกหกแล้ว ชื่อเสียงบารมีในปีนั้นของพระปีศาจหนานโปก็เห็นๆ กันอยู่ โดยเฉพาะเรื่องที่ช่วยหลินอ้าวเสวี่ยออกมาจะพระตำหนักอุทยาน วิธีการนี้ทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ ทำให้เขากังวลใจ
แต่ถ้าอยากจะช่วยหลินอ้าวเสวี่ย จะไม่ตอบตกลงก็ไม่ได้ อีกฝ่ายทำถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเขาไม่ตอบตกลง พระปีศาจก็จะไม่เชื่อว่าเขาทำข้อตกลงอย่างจริงใจอีก
ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็พาเฟยหงเข้ามาในห้องหนังสือแล้ว
ตั้งแต่เข้าพักในจวนท่านอ๋อง เฟยหงก็ไม่เคยเข้ามาที่นี่เลย นางอดไม่ได้ที่จะมองสำรวจสภาพแวดล้อมในห้องหนังสือ
หลังจากผู้หญิงทั้งสองทำความเคารพ เหมียวอี้ก็บอกใบ้ว่าไม่ต้องมาพิธี สายตาจ้องเฟยหงเงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “เฟยหง ช่วยแม่เจ้าออกมาจากเงื้อมมือของตำหนักสวรรค์ได้แล้ว”
“หา!” เฟยหงมองมาด้วยความดีใจ ในช่วงเวลานี้ถ้าจะบอกว่านางไม่หวาดระแวงเลยสักนิดก็โกหกแล้ว เพราะไม่เห็นฝั่งเหมียวอี้เคลื่อนไหวสักที ตอนนี้จู่ๆ ก็ได้ยินข่าวดี นางพบว่ารู้สึกผิดต่อเหมียวอี้จริงๆ ที่ก่อนหน้านี้ตัวเองคิดมาก นางคำนับซ้ำๆ กล่าวเสียงเกือบสะอื้นว่า “ขอบคุณท่านอ๋อง! ขอบคุณท่านอ๋อง!”
เหมียวอี้ยกมือห้าม “เจ้าอย่าเพิ่งขอบคุณข้า แม้จะช่วยแม่เจ้าออกมาจากมือตำหนักสวรรค์แล้ว แต่ตัวกลับอยู่ในมือพระปีศาจหนานโป ถ้านัดแลกเปลี่ยนกับเขาอีกสามวันหลังจากนี้!” ที่จริงเขาไม่อยากบอกเรื่องนี้กับเฟยหงเลย กลัวว่าเฟยหงจะกังวลโดยไม่จำเป็น เตรียมจะบอกหลังจากทำเรื่องนี้สำเร็จ แต่พระปีศาจยืนกรานจะให้เฟยหงไปเป็นประจักษ์พยานเอง บอกว่าจะตรวจสอบตราอิทธิฤทธิ์ของเฟยหง ไม่มีทางปิดบังได้ เขาก็เลยทำได้เพียงบอกล่วงหน้า
ดีใจเร็วเกินไปจริงๆ พอได้ยินว่ามารดาตกอยู่ในมือพระปีศาจหนานโป สำหรับเฟยหงแล้ว ก็จินตนาการได้ไม่ยากว่าการมีอยู่ของพระปีศาจนั้นน่ากลัวขนาดไหน เฟยหงดีใจไม่ออกแล้ว ถามด้วยสีหน้ากังวลว่า “ท่านอ๋อง ท่านแม่ของข้าอยู่ในมือเขาจริงเหรอ? เป็นแผนการของเขาหรือเปล่า?”
เหมียวอี้โบกมือ “จุดนี้ไม่ต้องสงสัยเลย แม่เจ้าอยู่ในมือเขาแน่นอน” มีข่าวระดับนั้นจากวังสวรรค์ กอปรกับพระปีศาจรู้ความสัมพันธ์ระหว่างหลินอ้าวเสวี่ยกับเฟยหง หลินอ้าวเสวี่ยจะต้องอยู่ในมือพระปีศาจแน่นอน
เฟยหงมองออกแล้วเช่นกันว่าเหมียวอี้มีสีหน้าค่อนข้างจริงจังหนักแน่น ตระหนักได้แล้วว่าเรื่องในครั้งนี้ไม่ธรรมดา ถามอย่างร้อนใจสุดๆ “แลกเปลี่ยนกันยังไงคะ?”
“เขาเสนอเงื่อนไขหนึ่งขึ้นมา ต้องการให้เจ้าไปเป็นพยานการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ด้วยตัวเอง เรื่องนี้ไม่เป็นอะไรหรอก จะได้ยืนยันได้ว่าเป็นแม่ของเจ้าตัวจริงหรือเปล่า ดังนั้นเรื่องนี้ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ปัญหาในตอนนี้ก็คือ ข้ารู้สึกสงสัยข้อแลกเปลี่ยนที่เขาเสนอมา กังวลว่าเขาจะเล่นตุกติกกับการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ ที่เรียกตัวมา ก็เพราะอยากให้เจ้ารู้ ถ้าการแลกเปลี่ยนราบรื่นก็แล้วไป ข้าจะต้องเห็นการช่วยแม่เจ้าสำคัญที่สุดอยู่แล้ว แต่ถ้าพระปีศาจเล่นตุกติก ก็อาจเกิดเหตุไม่คาดคิดกับแม่ก็ได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะเตรียมใจไว้ให้ดี!” เหมียวอี้ตอบ
เฟยหงกัดริมฝีปากทันที หลังจากเงียบไปนาน นางก็พยักหน้าเบาๆ ความรู้สึกกลัดกลุ้มตรงหว่างคิ้วยากที่จะหายไป
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วเงียบๆ อยู่ข้างกัน นางไม่พูดอะไรสักคำ ในเวลานี้นางไม่สะดวกจะพูดอะไรมาก ต่อให้อยากหวังดีเตือนเหมียวอี้ให้ระวังตัวก็ไม่สะดวกจะพูด ถ้าพูดอะไรไปโดยไม่ระวัง ก็อาจทำให้เฟยหงเข้าใจผิดว่าตนไม่อยากให้เขาไปเสี่ยงอันตรายเพื่อมารดาของนาง
เหมียวอี้ส่งสายตาให้อวิ๋นจือชิว
อวิ๋นจือชิวเข้าใจ เขาต้องการให้สามวันนี้นางดูแลปลอบโยนเฟยหงให้ดี จากนั้นก็บอกให้เฟยหงออกไป
“ฟู่ว!” เหมียวอี้เงยหน้าเอนกายพิงเก้าอี้ แล้วถอนหายใจยาวออกมาเครื่องหนึ่ง ยามเผชิญหน้ากับการรุกเคลื่อนไหวของพระปีศาจผู้มีชื่อเสียงบารมีน่าเกรงขาม เขากดดันไม่ใช่ในน้อยๆ
และตั้งแต่ช่วงนั้นเป็นต้นมา งานในมือเขาก็มีเยอะมากจริงๆ ทัพใต้ที่จัดกลุ่มใหม่มีหลายคนและหลายเรื่องที่มาขอความเห็นให้เขาตัดสินใจ บวกกับเรื่องร้อยแปดพันเก้าที่อยู่ตรงหน้า แทบจะทำให้เขาไม่เคยได้ฝึกตนอย่างสงบใจเลย…
โลกมนุษย์ ในเมืองเล็กที่เจริญรุ่งเรือง ฟ้าเพิ่งจะสว่าง ประตูเมืองเพิ่งเปิดออก ประตูรั้วของบ้านเล็กหลังหนึ่งเปิดออกแล้ว
อู่หนิงเดินออกมา หันตัวไปลงกลอนประตูอย่างรอบคอบ แล้วทักทายกับเพื่อนบ้านที่ผ่านมาบนถนนราวก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
เดินทะลุตรอกซอกซอยตลอดทางจนออกจากประตูเมือง แล้วก็ตรงไปยังป่าภูเขาที่อยู่ไม่ไกล พอมาถึงในภูเขา ถึงได้อาศัยสภาพพื้นที่พรางตัวเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว พอมาถึงหุบเขาที่ระบุไว้ เขาก็กระโจนตัวกระโดดลงไป หลังจากลงไปข้างล่างแล้ว ก็พบว่าตรงหน้าผาที่อยู่ก้นหุบเขามีหลายคนกำลังเอนกายพิงและยิ้มให้เขา มีคนมาถึงก่อนแล้ว
อู่หนิงยิ้มให้พวกเขาเบาๆ แล้วตัวเองก็หาหน้าผาที่เว้าเข้าไปยืนพิงแล้ว ด้านบนมีคนมองลงมาก็มองไม่เห็น
ผ่านไปไม่นาน ก็มีคนทยอยมาอีกหลายคน หลังจากพยักหน้าให้กันแล้วก็ซ่อนตัวอยู่สองฝั่งใต้หน้าผา
ตอนที่แสงแดดจากที่ไกลๆ ส่องเฉียงลงมาในหุบเขา ก็มีเงาคนคนหนึ่งถลันตัวเข้ามาแล้ว เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำที่จอนสองข้างแซมผมขาว แววตามีประกายมุ่งมั่น เขามองคนที่ซ่อนตัวอยู่ฝั่งซ้ายและขวาของหุบเขา แล้วยกมือถอดหน้ากากบนใบหน้าออก ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นผู้บัญชาการองครักษ์เงา เซี่ยงจง
คนสิบกว่าคนที่อยู่สองฝั่งก้าวขึ้นมาเรียงแถวหน้ากระดานสองแถวทันที แล้วกุมหมัดคารวะพร้อมกัน “นายท่าน!”
เซี่ยงจงพยักหน้าเบาๆ หลังจากมองสำรวจบนใบหน้าคนกลุ่มนี้สักพักหนึ่ง ก็กล่าวเสียงต่ำว่า “ยกเลิกภารกิจครั้งนี้!”
ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก โดยเฉพาะอู่หนิงที่ประหลาดใจเป็นสองเท่า เขามาที่นี่เพื่อฆ่าเหมียวอี้ ทุกคนซ่อนตัวอยู่ที่นี่ตลอดเพื่อรอโอกาสลงมือ จึงกุมหมัดคารวะถามทันที “นายท่าน ทำไมต้องยกเลิกภารกิจขอรับ?”
เซี่ยงจงถอนหายใจเบาๆ เบื้องบนเรียกให้พวกเขากลับไป ซ่างกวนชิงไม่ได้ปิดบังพวกเขา ไม่อย่างนั้นถ้าสมาชิกองครักษ์เงากลับไปแล้วพบว่าถูกหน่วยตรวจการขวากักตัวไปสอบสวน ก็จะทำให้สงสัยว่าหลอกพวกเขากลับไป ดังนั้นจึงบอกความจริงให้รู้แล้ว ซ่างกวนชิงก็บอกมาแล้วเช่นกัน ครั้งนี้เขาพูดต่อหน้าฝ่าบาทจนทำให้ฝ่าบาทอนุญาตแล้ว เพราะเรื่องนี้เกิดกับคนฝั่งวังสวรรค์ ตรวจสอบแค่สมาชิกที่อยู่วังสวรรค์เท่านั้น ส่วนสมาชิกที่มาดักซุ่มอยู่ข้างนอกไม่สะดวกจะเปิดเผยตัวตน ด้วยเหตุนี้จึงเรียกแค่คนฝั่งวังสวรรค์กลับไป ส่วนสมาชิกที่ดักซุ่มเหล่านี้ พอแยกย้ายแล้วก็ไปดักซุ่มที่อื่นต่อ
เมื่อเห็นเขาไม่พูด ฝั่งนี้ก็มีคนถามหยั่งเชิงว่า “นายท่าน ได้ยินว่ามีคนลอบโจมตีที่พระตำหนักอุทยาน เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือเปล่า?” คนนี้รู้ข่าวมาจากคนที่ดักซุ่มอยู่ที่อื่นว่าเกิดเรื่องขึ้นกับวังสวรรค์
“พระตำหนักอุทยานโดนลอบโจมตี?” ทุกคนตกใจ มีคนถามอย่างประหลาดใจว่า “อย่าบอกนะว่าเกี่ยวข้องกับคนในของพวกเรา?”
เซี่ยงจงจึงกล่าวเสียงต่ำ “สิ่งที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม ยกเลิกภารกิจแล้ว พวกเจ้าต่างคนต่างกลับไปที่ของตัวเองเถอะ ปฏิบัติภารกิจเดิมของตัวเองต่อไป…” พอพูดถึงตรงนี้ สุดท้ายก็กำชับอีกว่า “จำไว้นะ หลังจากกลับไปแล้วก็อย่าสืบข่าวส่งเดช ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเจ้า ทุกคนเข้าใจนะ?”
นี่ก็คือสาเหตุที่เขาเรียกรวมคนพวกนี้ให้มาเจอกัน ไม่อย่างนั้นก็สามารถพูดผ่านระฆังดาราได้เลย เนื่องจากจุดที่คนพวกนี้ดักซุ่มอยู่มีช่องทางข่าวสารอยู่บ้างไม่มากก็น้อย วังสวรรค์เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีข่าวลือออกมา จากนั้นก็ต้องสงสัยแน่นอนว่าเกี่ยวข้องกับการยกเลิกภารกิจครั้งนี้ ไม่แน่ว่าอาจมีคนอดใจไม่ไหวจนสืบว่าเกิดอะไรขึ้นกับองครักษ์เงากันแน่ ที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีกับทุกคน ไม่อย่างนั้นถ้าถูกหน่วยตรวจการขวาเพ่งเล็งขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร ถ้าให้เกาก้วนรู้ว่ายังไม่ได้ส่งมอบรายชื่อองครักษ์เงาที่กำลังปฏิบัติภารกิจดักซุ่มไปให้ เช่นนั้นก็เกรงว่าจะคุยกับผู้พิพากษาหน้าตายนั่นยากแล้ว เขาเคยโดนทรมานในคุกใหญ่ของหน่วยตรวจการขวามาก่อน ได้รับความทุกข์ทรมานเต็มที่ เกือบเอาชีวิตไม่รอด จึงไม่อยากให้พี่น้องเข้าไปรับความทรมานนั้นอีก
“เข้าใจแล้ว” ทุกคนรับปากอย่างมึนงง
“ทุกคนแยกย้ายกันกลับไป อย่ารวมตัวกันกลับไป…แยกย้ายเถอะ!” เซี่ยงจงโบกมือย่างหงอยเหงาเล็กน้อย หลังจากสวมหน้ากากแล้ว ก็ขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว นำทุกคนไปก่อนแล้ว
คนในหุบผามองหน้ากันไปมองหน้ากันมา มีบางคนอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ปฏิบัติตามกฎขององครักษ์เงา ไม่สืบข่าวอะไรจากคนอื่นอีก
จากนั้นทุกคนก็ทยอยกันออกไป สุดท้ายเหลืออู่หนิงที่ยืนเงียบอยู่ในหุบผาคนเดียว
เขาสังเกตได้จากหวงฝู่ตวนหรงตั้งนานแล้ว ว่าลูกสาวตัวเองกับหนิวโหย่วเต๋อมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยปกติ เขาไม่กล้าถาม กลัวว่าจะเป็นเหมือนที่ตัวเองเดา เพราะผลที่ตามมาไม่ใช่สิ่งที่สองแม่ลูกจะรับไหว จึงรับภารกิจลอบสังหารหนิวโหย่วเต๋อเสียเลย เขาถึงได้เอ่ยปากยืนยันความจริงจากหวงฝู่ตวนหรง ทำให้เขายิ่งแน่วแน่ที่จะกำจัดหนิวโหย่วเต๋อทิ้ง ถึงขั้นตัดสินใจแน่ๆ เลยว่าต้องฆ่าให้ได้ มีแค่ต้องให้หนิวโหย่วเต๋อตายเท่านั้น ถึงจะปิดบังเรื่องของลูกสาวกับหนิวโหย่วเต๋อได้ แล้วเรื่องนี้ก็จะผ่านไป ไม่อย่างนั้นช้าหรือเร็วก็ต้องถูกเปิดโปงแน่ ถึงตอนนั้นคงไม่ต้องรอให้ตำหนักสวรรค์ลงมือ เกรงว่าตระกูลหวงฝู่จะสังหารสองแม่ลูกนี้ก่อนแล้ว เขาทนเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้
ใครจะไปคิด ว่าจู่ๆ จะได้รับคำสั่งนี้ ยกเลิกภารกิจ!
ยืนเหม่อลอยในหุบเขานานมาก สายตาเริ่มกระจ่างชัดทีละนิด เริ่มฉายแววเด็ดเดี่ยว กัดฟันพูดกับตัวเองว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าต้องตาย!”
ทันใดนั้นก็ถลันตัวพุ่งขึ้นฟ้าไป…
ระหว่างตึกศาลา เหมียวอี้เดินเล่นเพียงลำพัง ดูเหงานิดหน่อย ถึงแม้อนุภรรยาของทั้งอ๋องสวรรค์จะช่วยให้หายเหงาได้ แต่ถ้าอวิ๋นจือชิวไม่อยู่ข้างกาย เขาก็พบว่าแม้แต่คนที่จะคุยด้วยอย่างจริงใจสักคนก็ไม่มี
หยางเจาชิงเร่งฝีเท้าเดินมา มารายงานข้างหลังเหมียวอี้ “ท่านอ๋อง ด้านนอกมีคนมาขอพบขอรับ บอกว่าเป็นสหายเก่าของท่าน”
เหมียวอี้หันกลับมาถาม “ใครกัน?”
หยางเจาชิงยื่นแผ่นหยกให้แผ่นหนึ่ง “ตามที่คนรายงานบอกมา เขาไม่ยอมเปิดเผยตัวตน บอกว่าท่านอ๋องเห็นสิ่งนี้แล้วก็จะรู้ว่าเขาคือใคร”
เหมียวอี้รับมาดูในมือ เห็นในนั้นเขียนเอาไว้แค่สองคำว่า : พ่อหวง!
………………