พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2124 ทุกข์หรือไม่?
ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าไต้ซือศีลเจ็ดกำลังช่วยชีวิตศีลแปด เหมียวอี้กับพวกเหยียนซิวมองหน้ากันเลิกลั่กอย่างอดไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าปัญหาที่กลุ่มยอดฝีมือแก้ไขไม่ได้ แต่ศีลเจ็ดแก้ไขได้! สิ่งนี้ทั้งทำให้เหมียวอี้ดีใจ ทั้งทำให้เหมียวอี้นึกเสียใจทีหลัง ดีใจเพราะช่วยชีวิตศีลแปดได้แล้ว แต่เสียใจทีหลังเพราะไม่น่าปล่อยให้พระปีศาจหนีไปเลย!
ปุ่มบนตัวศีลแปดเล็กลงเรื่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ของต้องห้ามที่ลงไว้บนตัวยังไม่ถูกถอนออก ภายใต้การระงับด้วยพลังอิทธิฤทธิ์ของไต้ซือศีลเจ็ด ร่างกายไม่สามารถขยับได้ แต่กลับกำลังร้องไห้ ส่ายหน้าบอกว่า “อย่านะ! ท่านอาจารย์ อย่านะ! ตาแก่โล้น ข้าไม่ต้องการให้ท่านทรมานแทนข้า ข้าสมควรตายเอง…พี่ใหญ่ รีบห้ามท่านอาจารย์!”
ไม่ได้ยินแบบนี้ บรรดาคนที่อยู่ข้างๆ ก็ตกใจจนขนลุก อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดของไต้ซือศีลเจ็ดเมื่อครู่นี้ ที่บอกว่าหากข้าไม่ลงนรก แล้วใครจะลงนรก อย่าบอกนะว่าไต้ซือศีลเจ็ดไม่มีทางถอนพิษได้ แต่แค่ย้ายพิษจากตัวศีลแปดมาไว้บนร่างกายตัวเอง?
ทว่าไม่รอให้เหมียวอี้ตอบสนองอะไร ไต้ซือศีลเจ็ดก็ใช้ฝ่ามือสองข้างผลักเบาๆ ศีลแปดหงายหลังล้มลงนอนแล้ว
“ไต้ซือ!” เหมียวอี้รีบนั่งยองๆ ข้างกายไต้ซือศีลเจ็ด ประคองตัวไว้พลางร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูอาการ ที่จริงไม่ต้องตรวจดูก็รู้แล้วว่าอาการไม่ดี หลังจากปุ่มพวกนั้นย้ายร่างแล้ว ก็เหมือนจะเสียการควบคุม ความเร็วในการพองตัวเพิ่มขึ้นเยอะมาก ราวกับเป่าลูกโป่ง
เหมียวอี้อับจนปัญญา รู้สึกหวาดกลัวแล้ว คนอื่นก็ไม่มีหนทางแก้ไขปัญหาเช่นกัน
ไต้ซือศีลเจ็ดที่ทำเรื่องนี้เสร็จแล้วประนมมือกล่าวว่า “อามิตตาพุทธ!” บนใบหน้า บนหน้าผากมีห้อเลือดขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ศีลแปดทั้งกลิ้งทั้งคลานเพื่อลุกขึ้นมา ดึงแขนไต้ซือศีลเจ็ดเอาไว้ แล้วบอกกับเหมียวอี้ว่า “พี่ใหญ่ รีบคลายผนึกให้ข้า ข้าแก้ไขได้” เขาเตรียมจะใช้วิชาศีลย้ายวิชามารในร่างกายศีลเจ็ดกลับเข้ามาในร่างกายตัวเองอีกครั้ง
เหมียวอี้ดึงมือศีลแปดและรีบลงมือคลายผนึกบนตัว ศีลแปดคว้ามือศีลเจ็ดและเพิ่งจะนั่งขัดสมาธิ
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! ห้อเลือดบนใบหน้าไต้ซือศีลเจ็ดพลันระเบิดออกจุดแล้วจุดเล่า เลือดกระเด็นใส่หน้าศีลแปด
เสียงเปรี๊ยะดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ห้อเลือดบนร่างกายไต้ซือศีลเจ็ดระเบิดอย่างต่อเนื่อง ช่วยพริบตาเดียวก็กลายเป็นมนุษย์เลือด ใบหน้าไม่เหลือโฉมหน้าเดิมแม้แต่น้อย ในร่างกายก็มีเสียงระเบิดดังมาเช่นกัน
พวกเหมียวอี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ตกใจจนเหม่อ ต่างก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
“ไม่! อาจารย์…” ศีลแปดลนลานทำอะไรไม่ถูก เห็นได้ชัดว่าสายไปแล้ว บนใบหน้าและร่างกายเต็มไปด้วยเลือดของศีลเจ็ด เขาจับมือศีลเจ็ดพลางร้องไห้เหมือนเด็กไร้ที่พึ่ง น้ำตาพรั่งพรูไม่หยุด เขาส่ายหน้าขณะมองศีลเจ็ดที่ไม่เหลือโฉมหน้าเดิม
เหยียนซิวรีบหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมา นั่งยองๆ ข้างกายเพื่อเยียวยาให้ศีลเจ็ด
ไต้ซือศีลเจ็ดที่หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวส่ายหน้าช้าๆ กล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า”ใช้ไม่ได้แล้ว!”
เหมียวอี้รีบแตะมือร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบ ถึงได้พบว่าหัวใจของไต้ซือศีลเจ็ดระเบิดหมดแล้ว ช่วยให้รอดไม่ได้เลย ตามหลักน่าจะขาดใจไปแล้ว แต่ลมหายใจในร่างกายกลับยังทำงานอย่างนุ่มนวล แขวนชีวิตของศีลเจ็ดเอาไว้ไม่ให้ขาดใจ แต่ลมหายใจที่อ่อนโยนนั่นทำงานอย่างอ่อนแอลงเรื่อยๆ
เหมียวอี้ใช้มือข้างหนึ่งกุมศีรษะพลางยืนขึ้น เอียงหน้ามองไปด้านข้าง พูดไม่ออกสักคำ!
ศีลแปดดิ้นรนคุกเข่าตรงหน้าศีลเจ็ด ร้องไห้ฟูมฟาย ตัวงอเหมือนกุ้ง กระแทกศีรษะบนหลังมือที่เหี่ยวย่นของศีลเจ็ด เอาหน้าผากดันหลังมือของศีลเจ็ดไว้ กอดไว้ที่หน้าผากตัวเองไม่ปล่อย ส่ายหน้ากล่าวเสียงสะอื้นว่า “เพราะอะไร? ท่านอาจารย์ ข้าไม่เข้าใจ ทำไมคนดีมักไม่ได้รับกรรมดี?”
ไต้ซือศีลเจ็ดกล่าวช้าๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง “ทำไมจะไม่ได้รับกรรมดี? ถ้าอาตมาเป็นคนดี ทำดีต่อเจ้า นี่ไม่ใช่ผลบุญของเจ้าหรอกหรือ? เจ้าไม่รู้สึกถึงกรรมดีเชียวหรื?”
“ฮือๆ…” ชั่วพริบตานี้ ศีลแปดร้องไห้จะเป็นจะตาย พยักหน้ากล่าวขณะน้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลออกมา “ศิษย์เข้าใจแล้ว!”
ไต้ซือศีลเจ็ดยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาอย่างยากลำบาก วางบนศีรษะศีลแปด ถามอย่างไร้เรี่ยวแรงต่อไปว่า “เด็กโง่! ทุกข์หรือไม่?”
“ทุกข์!” ศีลแปดพยักหน้าร้องไห้
“ปล่อยวางได้หรือ…” ไม่รู้ว่าไต้ซือศีลเจ็ดยังอยากจะพูดอะไรอีก ไม่มีแรงพูดให้จบแล้ว มือที่วางบนศีรษะศีลแปดก็ไหลตกลงมาอย่างสิ้นแรง ศีรษะหลุบลง ตกลงอยู่ตรงหน้าอก
“ฮือๆ…” ศีลแปดหมอบอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมเงยหน้า แต่สัมผัสได้แล้ว ร้องไห้จนแทบเสียสติ
เหมียวอี้หลับตาเงยหน้า นิ่งเงียบไปนานมาก
แม้พวกชิงเยว่จะไม่รู้จักไต้ซือศีลเจ็ด แต่ในเวลานี้ก็เหมือนกับเหยียนซิว มองร่างชำรุดที่กำลังนั่งมรณภาพของไต้ซือศีลเจ็ดอย่างเกิดความรู้สึกนับถือ
จนกระทั่งตอนที่เหมียวอี้โค้งกายให้ไต้ซือศีลเจ็ดที่นั่งมรณภาพ กลุ่มแม่ทัพก็โค้งกายตามเช่นกัน ทั้งหมดเผยสีหน้าเคารพนับถือที่มาจากใจ
จากนั้นคนอื่นก็ถอยออกไป ก่อนที่ชิงเยว่จะถอยออกไป ก็นำร่างของมู่น่าวางไว้บนพื้น
ตรงนั้นเหลือเพียงร่างไม่สมบูรณ์สองร่าง แล้วก็สองพี่น้อง คนหนึ่งหมอบร้องไห้อย่างเจ็บปวดทรมานตรงหน้าไต้ซือศีลเจ็ด คนหนึ่งยืนเอามือไขว้หลังเงยหน้ามองดาวบนฟ้า
จนกระทั่งความสนใจของศีลแปดย้ายไปบนตัวมู่น่า ไปคุกเข่าตรงหน้ามู่น่าและกอดไว้นานไม่ยอมปล่อย เหมียวอี้ก็ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “บอกมาเถอะ! เรื่องเป็นยังไงกันแน่?”
“ที่จริงข้าหาวิธีเปิดคลังสมบัติจากด้านในได้นานแล้ว…” ขณะกอดมู่น่า ศีลแปดก็ร้องไห้พลางเล่าเรื่องที่ตัวเองแอบออกจากจุดซ่อนสมบัติสำนักหนานอู๋อย่างละเอียด
เหมียวอี้เงยหน้ามองฟ้าอย่างไม่สะทกสะท้าน ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว ที่แท้น้องชายคนนี้หลอกเขามาตลอดหลายปี เอะอะก็บอกว่าเหงาจนทนไม่ไหว ที่จริงกำลังตบตาเขามาตลอด และศีลแปดก็มักแอบไปพบกับอวี้หลัวช่า แต่อวี้หลัวช่ากลับช่วยศีลแปดปิดบัง
“ดี! เจ้ารอง เจ้าช่างดีจริงๆ หลอกข้ามาหลายปีขนาดนี้! มีคนตั้งมากมายเท่าไหร่ที่อยากได้โอกาสฝึกตนอย่างสงบใจแต่ก็ไม่ได้ มีคนตั้งมากมายเท่าไหร่ที่อยากได้โอกาสฝึกตนอย่างสงบใจแต่ก็ไม่ได้ ที่แท้สิ่งที่ข้าใส่ใจ สิ่งที่ข้าพยายามดิ้นรนมาหลายปีขนาดนี้ ในสายตาเจ้าเป็นสิ่งที่น่าเหยียดหยามขนาดนี้นี่เอง” เหมียวอี้ทำสีหน้าเยาะเย้ยตัวเอง ก้มหน้าเหล่ตามองศีลแปดอย่างเย็นเยียบ
ศีลแปดเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา “พี่ใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว!”
เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินมาตรงหน้าเขา โค้งตัวลง ใบหน้าแทบจะชนกับหน้าศีลแปด “เจ้ารอง เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเพื่อที่จะช่วยเจ้า ข้ามอบอะไรให้พระปีศาจไป? ข้าให้บัวโลหิตพระปีศาจไปแล้ว มันช่วยให้พระปีศาจสร้างกายหยาบขึ้นมาใหม่ได้ ถ้าพระปีศาจกลับมามีพลังเหมือนในปีนั้นเมื่อไร ก็ไม่รู้ว่าในใต้หล้าจะมีคนต้านทานเขาได้หรือเปล่า! ข้าช่วยเจ้าไว้ได้แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าในภายหลังจะต้องมีอีกกี่ชีวิตตายด้วยน้ำมือพระปีศาจ พระปีศาจไม่มีทางปล่อยข้าไปหรอก ไม่มีทางปล่อยพี่สะใภ้เจ้าไป ไม่มีทางปล่อยเจ้าสามไป แล้วไม่มีทางปล่อยลูกน้องคนสนิทพวกนี้ของข้าด้วย ไม่รู้ว่าตอนนี้ข้าใช้ชีวิตของคนตั้งมากมายเท่าไหร่เพื่อแลกกับชีวิตเดียวของเจ้า แต่ข้าจะทำยังไงได้ล่ะ? พอข้าเห็นเจ้า ก็นึกถึงพ่อแม่ของเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะบุญคุณที่เขาเลี้ยงดูข้า เกรงว่าข้าคงไม่รอดชีวิตมาถึงทุกวันนี้ และไม่มีข้าในวันนี้ด้วย ดังนั้นข้าไม่มีทางเห็นเจ้าตายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่ทำอะไร ดังนั้นข้าไม่มีทางเห็นเจ้าตายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่ทำอะไร และไม่มีทางฆ่าน้องชายตัวเองต่อหน้าลูกน้องของตัวเองด้วย เพียงแต่ถ้านึกไม่ถึงว่าทำอย่างนี้จะทำร้ายให้ไต้ซือศีลเจ็ดตาย! ลองนับรวมๆ ดูแล้ว เจ้ารอง บาปของข้าหนักกว่าเจ้าเสียอีก!”
“พี่ใหญ่!” ศีลแปดส่ายหน้าร้องไห้ “ล้วนเป็นความผิดของข้า ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า ท่านจะด่าหรือจะตีข้าข้าก็รับได้หมด จะฆ่าข้าก็ได้ ท่านอย่าเป็นแบบนี้สิ!”
เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน ส่ายหน้าถอนหายใจ “ข้าไม่ด่าเจ้าหรอก ไม่ตีเจ้าด้วย และไม่ฆ่าเจ้าด้วย ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เราโตแล้ว ข้าไม่ควรควบคุมเจ้าเหมือนเป็นเด็ก ควบคุมไม่ไหวด้วย! ควบคุมเจ้าไม่ไหวจริงๆ!” พูดจบก็หันตัวช้าๆ เดินไปข้างหน้าช้าๆ หันหลังโบกมือให้ กล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “ต่อไปนี้เจ้าไม่ต้องห่วงแล้ว! ในเมื่อเจ้าเฝ้าหวังอิสระ เช่นนั้นก็ไปใช้ชีวิตอย่างอิสระเถอะ เจ้าอยากจะทำอะไรก็ตามใจเจ้า ถ้าเจ้าประสบปัญหาอะไรก็บอกมา ถ้าข้าช่วยได้ก็จะพยายามช่วยให้เต็มที่ ถ้าเข้าช่วยเจ้าไม่ได้ เจ้าก็อย่าโทษข้าแล้วกัน ต่อไปนี้ข้าจะไม่ด่าเจ้าอีกแล้ว จะไม่ตีเจ้าอีก ต่อไปนี้จะไม่ควบคุมเจ้าอีกแล้ว…อาจารย์เจ้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่เลวเลย ถึงอย่างไรก็ช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ ฝังเขาไว้อย่างสงบเถอะ!”
ขณะที่พูดคำพูดเหล่านี้ น้ำเสียงของเหมียวอี้เหมือนแก่ชราลงหลายแสนปี เขาเดินไปข้างหน้าช้าๆ เหมือนหลังค่อมเล็กน้อย ทำให้คนเชื่อได้ยากว่าเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ที่องอาจห้าวหาญ เผด็จการเต็มเปี่ยมคนนั้น
ศีลแปดรู้สึกได้จากตัวเขาแล้ว ว่าอะไรที่เรียกว่า ‘เรื่องน่าเศร้าที่สุดไม่เศร้าเกินกว่าจิตใจตาย’ เขาตะโกนเสียงดัง “พี่ใหญ่!”
เหมียวอี้ถลันตัวเหาะขึ้นไปบนฟ้า ไม่หันกลับมาอีก เก็บกำลังพลเหาะไปยังจุดลึกในดาราจักรอย่างรวดเร็ว
“พี่ใหญ่…” ศีลแปดพึมพำอย่างเหม่อลอย แล้วมองใบหน้างามวิจิตรในอ้อมกอดตัวเองอีกครั้ง ก้มหน้ากอดอยู่หน้าร่างที่นั่งท่าขัดสมาธิของไต้ซือศีลเจ็ด…
หลังจากนั้นหลายวัน ดาวพิษ แม่น้ำใต้ดินที่มืดมิด ปากถ้ำทางเข้าคลังซ่อนสมบัติสำนักหนานอู๋ ศีลแปดประนมมือเดินเข้าไปช้าๆ จากนั้นประตูด้านหลังก็ปิดสนิท
ศีลแปดที่ก้าวขึ้นบนฐานดอกบัว ยิ้มบางๆ ขณะมองงูขาวที่ขดอยู่ในกลีบดอกบัว
สุดท้ายก็ก้าวขึ้นไปนั่งบนแท่น นั่งท่าขัดสมาธิ พึมพำท่องด้วยเสียงต่ำว่า “มิใช่มารมิใช่เคราะห์ ไม่ยึดติดไม่เพ้อฝัน ไร้ฝุ่นไร้ราคี ไม่สัมผัสไม่คล้อยตาม อย่ารักอย่าโกรธ ยากจะหาจุดเริ่มต้น ยากจะหาจุดจบ หยิบยื่นบุปผา เป็นเพียงฝันฉากหนึ่ง!”
ปิดตาสองข้างลงช้าๆ…
เขาหลิงซาน ทัศนียภาพงดงามหลากหลาย บรรยากาศมงคลดุจสายรุ้ง หงส์ร่อนมังกรบิน เจดีย์สูงขาวดุจหยกตั้งเรียงราย เสียงระฆังดังแว่ว ศิษย์ชาวพุทธะมาจากทั่วสารทิศ แขกผู้มีเกียรติทยอยกันเหาะมาถึงที่นี่
เหมียวอี้ ก่วงลิ่งกง โค่วหลิงซวี เถิงเฟย เฉิงไท่เจ๋อ ห้าอ๋องสวรรค์มาถึงแล้ว เขาหลิงซานส่งคนระดับเดียวกันห้าคนมาต้อนรับด้วยตัวเอง พุทธะหน้าหยกก็รวมอยู่ในนั้นด้วย เป็นฝ่ายนำเหมียวอี้เดินไปยังที่พักซึ่งอยู่บนยอดเขาที่สูงตระหง่านแห่งหนึ่ง
บนยอดเขามีวัดที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่ง ข้างในมีเจดีย์ขาวหยกหนึ่งหลังที่สร้างจากพลังปรารถนา รอบข้างมีเจดีย์เล็กๆ ไม่น้อย สภาพแวดล้อมสงบเงียบ กำลังพลที่เฝ้าอยู่ที่นี่เปลี่ยนเป็นคนของเหมียวอี้หมดแล้ว ส่วนที่พักของเหมียวอี้ก็คือเจดีย์สูงสีหยกขาวหลังนั้น อวี้หลัวช่านำทางพาไปเยี่ยมชม เหมียวอี้กันผู้ติดตามออกไป แล้วทั้งสองก็เดินช้าๆ ขึ้นไปบนเจดีย์สูง
พวกเขายืนบนแท่นยอดเจดีย์ ทอดสายตามองทัศนียภาพที่งดงามหลากหลายของเขาหลิงซาน พลังจิตวิญญาณที่ลอยขึ้นมาขับกับทิวทัศน์ด้านล่าง ทำให้คนที่เห็นรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ ไม่ได้ดูงดงามหรูหรา แต่กลับแสดงความยิ่งใหญ่อลังการไร้ที่เปรียบของเขาหลิงซาน
เมื่อไม่มีคนนอก อวี้หลัวช่าก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “พี่ใหญ่ไม่ต้องห่วง มือของประมุขชิงยังยื่นมาไม่ถึงที่นี่หรอก ประมุขพุทธะไม่มีทางปล่อยให้ประมุขชิงเป็นใหญ่เพียงผู้เดียว เขาหลิงซานคือสถานที่ปลอดภัย ถ้าเกิดความเคลื่อนไหวอะไรข้าจะแจ้งท่านทันที”
เหมียวอี้พยักหน้า “รบกวนแล้ว”
อวี้หลัวช่าบอกว่า “คนบ้านเดียวกันไม่พูดจาห่างเหิน พี่ใหญ่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมไต้ซือศีลเจ็ดไม่มาด้วย?” นางเตรียมต้อนรับไต้ซือศีลเจ็ดแล้ว แต่กลับติดต่อไม่ได้ เหมียวอี้ก็บอกเพียงว่าไต้ซือศีลเจ็ดมาไม่ได้แล้ว มีอะไรให้คุยกันต่อหน้า
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ไต้ซือศีลเจ็ดมรณภาพแล้ว”
อวี้หลัวช่าตกใจมาก “จะเป็นไปได้ยังไง? แม้อายุขัยของท่านจะเหลือไม่มากแล้ว แต่ก็น่าจะยังอยู่ได้อีกสักระยะ”
“จะบอกว่าตายด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโปก็ได้!” เหมียวอี้ถอนหายใจ
อวี้หลัวช่าตกใจอีก “พระปีศาจ? เรื่องเป็นยังไงกันแน่?”
……………