พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2125 งานบุญแดนสุขาวดี
ทว่าเหมียวอี้ตอบไม่ตรงคำถาม จ้องนางพลางกล่าวช้าๆ ว่า “ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ที่ข้าให้ศีลแปดเก็บตัวฝึกฝนก็เพราะหวังดีกับเขา แต่เขาแอบออกจากสถานที่ฝึกตนมาพบกับเจ้า ทำไมเจ้าไม่บอกข้า?”
“…” อวี้หลัวช่าพูดไม่ออก ใบหน้าเผยความรู้สึกตกตะลึงแล้วก็ค้างไป ถามเรื่องพระปีศาจแต่ทำไมโยงมาเรื่องนี้ได้ล่ะ นางตอบอย่างเก้อเขินเล็กน้อยว่า “พี่ใหญ่ เรื่องระหว่างชายหญิงเป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ สามีภรรยาแอบพบกัน จะบอกให้บุคคลที่สามรู้ส่งเดชได้ยังไง”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” เหมียวอี้ทำท่าเหมือนเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน และให้ความรู้สึกว่ากำลังเหน็บแนมด้วย จ้องนางพลางพยักหน้า “นอกจากศีลแปดจะแอบพบกับเจ้าแล้ว ยังแอบพบกับผู้หญิงคนอื่นด้วย ผู้หญิงคนนั้นท้องลูกของศีลแปด ศีลแปดพานางแอบหนี ไม่ทันระวังไปเจอกับพระปีศาจหนานโป…” แล้วก็เล่าเรื่องราวต่อจากนั้นโดยละเอียด
สีหน้าของอวี้หลัวช่าเรียกได้ว่าแพรวพราวสุดๆ มีทั้งโมโห มีทั้งคับแค้น มีทั้งสมน้ำหน้า อกสั่นขวัญแขวน ทุกข์ใจ เคียดแค้นที่ศีลแปดเป็นผู้ชายที่ชอบล้อเล่นกับความรู้สึกของผู้หญิง หวาดเสียวที่ศีลแปดเอาชีวิตรอดมาได้ สมน้ำหน้าที่มู่น่าตายอนาถ ทุกข์ใจที่ไต้ซือศีลเจ็ดตายเพื่อช่วยผู้ชายหลายใจอย่างศีลแปด และเข้าใจเจตนาที่เหมียวอี้ถามแบบนี้เช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะนางช่วยศีลแปดปิดบัง ควบคุมให้เหมียวอี้ตั้งแต่แรก มีหรือที่จะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น นี่หรือที่ไต้ซือศีลเจ็ดจะตายอย่างอนาถ
ชั่วขณะนั้นนางไม่รู้จะพูดอะไร การตายอนาถของมู่น่าทำให้ความโกรธของนางลดลงแล้วไม่น้อย แต่จะว่าไปแล้วการตายของไต้ซือศีลเจ็ด นางก็มีส่วนต้องรับผิดชอบเหมือนกัน มิหนำซ้ำนางยังปากมากพูดเอาใจให้ไต้ซือศีลเจ็ดมาร่วมงานบุญที่นี่ ภายใต้การหักลบกลบกันแบบนี้ ชั่วขณะนั้นก็ไม่นับว่าแค้นศีลแปดเท่าไรแล้ว แต่ก็ยังกล่าวอย่างแค้นใจว่า “ตอนนี้เจ้าเวรตะไลศีลแปดนั่นอยู่ที่ไหน?”
เหมียวอี้ทอดสายตามองไปไกล หลังจากเกิดเรื่องแล้วอวิ๋นจือชิวรู้ข่าว ก็เป็นฝ่ายติดต่อไปหาศีลแปดก่อน ศีลแปดบอกอวิ๋นจือชิวเพียงประโยคเดียวว่า ‘ถวายตัวเป็นศิษย์ตถาคต’ แล้วก็ไม่ได้ข่าวอีกเลย ส่วนเหยียนซิวที่ซุ่มอยู่ตรงปากทางลับก็เห็นกับตาว่าศีลแปดเข้าแดนสุขาวดีไปแล้ว เขาพอจะเดาได้ว่าศีลแปดไปที่ไหน แต่ปากก็ยังตอบว่า “หลังจากช่วยเขาออกมาแล้ว ข้าก็บอกเขาว่าต่อไปนี้จะไม่ด่าเขาอีก จะไม่ตีเขาอีก ต่อไปนี้จะไม่ควบคุมเขาแล้ว เขาอยากจะทำอะไรก็ตามใจเขา ข้าควบคุมพวกเจ้าสองคนไม่ไหวด้วย เขาอยากจะไปไหนก็ช่างเขาเถอะ ข้าไม่ไปถามอีกแล้ว”
อวี้หลัวช่ารู้สึกปลงในใจ แอบด่าศีลแปดว่าสารเลว นางรู้สึกได้ว่าศีลแปดทำร้ายหัวใจพี่ใหญ่คนนี้แล้วจริงๆ นางเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี มอบบัวโลหิตให้พระปีศาจเพื่อที่จะช่วยศีลแปด ถ้าพระปีศาจหวนคืนมาอีกครั้ง แค่คิดก็รู้แล้วว่าท่านนี้จะแบกรับความกดดันขนาดไหน
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ก็บอกว่า “ศีลแปดก็ส่วนศีลแปด พี่ใหญ่อย่าลามไปโกรธซินหูนะ”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ไม่เห็นแก่หน้าพระสงฆ์ ก็ควรเห็นแก่หน้าพระพุทธรูป มีพุทธะหน้าหยกอย่างเจ้าอยู่ ข้าจะกล้าล่วงเกินลูกชายเจ้าได้ยังไง”
อวี้หลัวช่ารู้สึกอับอาย รู้ว่าลามมาโกรธตนที่ช่วยศีลแปดปิดบัง ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ นางกล่าวอย่างกินปูนร้อนท้องว่า “ถึงยังไงก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน พี่ใหญ่พูดอย่างนี้ ทำให้ข้าไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว เจ้าเวรศีลแปดนั่น อย่าให้ข้าเจอเขานะ ข้าจะช่วยสั่งสอนแทนพี่ใหญ่เอง!”
เหมียวอี้ไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เปลี่ยนประเด็นสนทนาแล้ว “หนานโปได้บัวโลหิตไป สามารถหวนกลับมาใหม่ได้ทุกเมื่อ เรื่องบางเรื่องไม่สะดวกจะประกาศให้ภายนอกรู้ ไม่น่าเชื่อว่าหนานโปจะรู้จักทางรักทางนั้น ข้าสงสัยว่าเดิมทีเขาอยากจะเข้าแดนสุขาวดี ดังนั้นที่ฝั่งแดนสุขาวดี เจ้าต้องเตือนประมุขพุทธะมากๆ หน่อย เสริมการป้องกัน”
อวี้หลัวช่าพยักหน้า “ทางลับเข้ามาทางออกของฝั่งนี้ สงสัยข้าต้องเตรียมคนไปเฝ้าไว้แล้ว”
เหมียวอี้ยื่นแผ่นหยกให้แผ่นหนึ่ง “ไม่ได้มีแค่ทางลับเข้ามาที่นี่ ยังมีทางลับออกจากที่นี่ด้วย เจ้ารู้เอาไว้ก็พอ อย่าบอกคนนอกอีก ต่อไปยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก นับว่าเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ให้เจ้า ส่วนซินหูเจ้าก็ไม่ต้องห่วง ถ้าเป็นไปได้ อย่าให้เขาเข้ามายุ่งกับความขัดแย้งอะไรอีก ข้ามีประสบการณ์มามากพอแล้ว ข้าไม่อยากให้เขากลายเป็นศีลแปดคนที่สอง และไม่อยากให้เขากลายเป็นไต้ซือศีลเจ็ดด้วย”
อวี้หลัวช่ารับแผ่นหยกมาตรวจอ่านในมือ พบว่าเป็นภาพเส้นทางสองเส้นทาง กะว่าถ้ามีโอกาสจะไปทำความคุ้นเคยไว้สักรอบ นางพยักหน้าบอกว่า “พี่ใหญ่พูดถูก ซินหูมีพี่ใหญ่ดูแลข้าก็วางใจแล้ว!”
เหมียวอี้เปลี่ยนเรื่องคิด ถามอีกว่า “เจดีย์สยบปีศาจเป็นมายังไงกันแน่ ทำไมถึงต้องเก็บรวบรวมความปรารถนาร้ายมากขนาดนั้น?”
อวี้หลัวช่านิ่งไปชั่วขณะ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “คงจะนำมาใช้ควบคุมประมุขไป๋กับประมุขปีศาจ ส่วนรายละเอียดข้าก็ไม่รู้ชัด ในปีนั้นเรื่องที่แอบวางแผนทำร้ายประมุขไป๋กับประมุขปีศาจก็เป็นความลับสุดยอด พวกเราจำนวนไม่น้อยที่พอเรื่องเกิดแล้วถึงได้รู้ว่าสู้กับพวกเขา แม้แต่เจดีย์สยบปีศาจหลอมสร้างขึ้นมาเมื่อไรก็ยังไม่รู้เลย จะเห็นได้ว่าใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย คนฝั่งแดนสุขาวดีที่รู้ความจริงคงมีเพียงคนสนิทของประมุขพุทธะ มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ข้าแน่ใจได้ ว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขไป๋กับประมุขปีศาจที่อยู่ในเจดีย์สยบปีศาจจะยังมีชีวิตอยู่ ไม่อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องคอยรวบรวมพลังปรารถนาจากใต้หล้ามาตลอดหรอก”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ความปรารถนาร้ายไม่มีทางสยบประมุขไป๋ได้ ในนั้นมีเงื่อนงำแน่นอน”
“ทำไมพี่ชายแน่ใจขนาดนี้?” อวี้หลัวช่าถาม
เหมียวอี้ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดารา จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสามารถเอาชนะเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาได้ อาศัยพลังของประมุขไป๋ ต่อให้มีความปรารถนาร้ายมากกว่านี้แต่ก็ยากจะเข้าใกล้ร่างกายของประมุขไป๋ การใช้ความปรารถนาร้ายมาสยบประมุขไป๋คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องนี้ให้อวี้หลัวช่ารู้ ถามอีกว่า “ตามความเห็นของเจ้า คุณสมบัติประจำตัวของประมุขไป๋เป็นยังไง?”
“คุณสมบัติประจำตัว?” อวี้หลัวช่าพึมพำ พอพูดถึงสิ่งนี้ ความคิดของนางก็ค่อนข้างสับสน ขณะที่คิดก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อน “เกรงว่าจะเป็นชายในฝันของผู้หญิงส่วนใหญ่ในใต้หล้า หน้าตาและความสามารถไม่เป็นรองใคร ผู้สง่างามแห่งยุค เป็นบุคคลที่น่าทึ่งอย่างแท้จริง ในปีนั้นไม่รู้ว่ามีสาวงามตั้งเท่าไหร่เทใจให้เขา ยินดีจะมอบร่างกายให้ แต่จนใจที่หัวใจของเขามีเจ้าของแล้ว เขารักเพียงประมุขปีศาจรั่วสุ่ย อาศัยแค่สิ่งเล็กน้อยพวกนี้ จะมีผู้ชายที่ไหนเทียบเขาได้ล่ะ? ไม่ปิดบังพี่ใหญ่ ในปีนั้นข้าก็เคยเทใจให้เจ้าเหมือนกัน เคยบอกกับเขาว่า ขอเพียงเข้าเต็มใจ ข้าก็จะยอมทิ้งทุกอย่างเพื่ออยู่กับเขา แต่เขาก็ไม่แยแสข้าเลย”
“เขาไม่ได้สนใจเรื่องรักใคร่ในอดีตของเจ้า ข้าถามว่าคุณสมบัติประจำตัวเขาเป็นยังไง ทำไมต้องรู้สึกใจหายกับเรื่องนี้?” เหมียวอี้ถาม
“เอ่อ…” อวี้หลัวช่าเก้อเขินอีกแล้ว เมื่อครู่นี้เพิ่งนึกขึ้นได้ อดไม่ได้ที่จะใจหายจริงๆ ที่จริงแล้วนางพูดแบบนี้ไม่ถูกต้อง ถึงอย่างไรก็เป็นแม่คนแล้ว ที่นางช่วยปิดบังเรื่องของศีลแปด ในใจก็รู้สึกผิดแล้ว จึงไม่ถือสากับคำพูดที่ไม่เกรงใจของเหมียวอี้ นางกล่าวว่า “ยามชักกระบี่ก็กระดูกกองเป็นภูเขา ยามซ่อนคมเป็นชายเจ้าสำราญ อยู่ระหว่างธรรมะและอธรรม คุณสมบัติประจำตัวก็ไม่นับว่าดีหรือเลว เป็นคนที่ถ้าใครไม่รังแกข้า ข้าก็ไม่รังแกใคร ส่วนรายละเอียดข้าก็ไม่ได้สนิทกับเขามาก ไม่ค่อยรู้ชัดเจน”
อยู่ระหว่างธรรมะและอธรรม? พูดแล้วก็เหมือนไม่ได้พูด เหมียวอี้เงียบไป หลายปีมานี้เขาสืบเรื่องนี้อยู่บ้าง บางคนก็บอกว่าดี บางคนก็บอกว่าชั่ว ยกตัวอย่างเช่นเซี่ยโห้วท่าบอกว่าเจ้าเล่ห์มาก บางเรื่องเขามองไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงอยากรู้มากว่าประมุขไป๋เป็นคนอย่างไร เขาถามอีกว่า “แล้วประมุขปีศาจเป็นคนยังไง?”
ไม่รู้ว่าจะมีทฤษฎีกาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์หรือเปล่า เสวี่ยหลิงหลงเปลี่ยนไปหลังจากอยู่กับสวีถังหราน สิ่งนี้อยู่ในสายตาเขาตลอด เพราะมีตัวอย่างนี้ให้เห็น เขาจึงอยากสืบจากอีกด้านหนึ่ง
อวี้หลัวช่าตอบว่า “งดงาม! งดงามจนทำให้ข้าน้อยเนื้อต่ำใจที่ด้อยกว่า งดงามจนทำให้ข้าไม่กล้าแข่งกับนาง”
“งดงาม! นิสัยประจำตัวก็บรรยายได้แบบนี้เหมือนกัน” อวี้หลัวช่าตอบ
“…” เหมียวอี้มองนางอย่างอึ้งๆ ไปพักหนึ่ง แล้วถามอีกว่า “พาข้าไปดูที่เจดีย์สยบปีศาจหน่อยได้ไหม?” ในเมื่อมาที่นี่แล้ว เขาก็อยากสืบให้ลึกถึงก้นบึ้งสักหน่อย
อวี้หลัวช่าส่ายหน้า “ไม่ได้! แม้แต่ข้ายังไม่มีทางเข้าใกล้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าพี่ใหญ่จะเข้าใกล้ได้…พี่ใหญ่ เหมือนท่านจะสนใจประมุขไป๋มากเลยนะ?”
เหมียวอี้หาข้ออ้างตอบว่า “ได้ยินเรื่องบางอย่างมา เลยอยากจะพิสูจน์สักหน่อย”
ในวันนั้น พวกเหมียวอี้ไปกราบทัพทายประมุขพุทธะที่วัดต้าเหลยอิน
วันต่อมา ประมุขพุทธะแสดงธรรมอย่างเป็นทางการ อยู่บนวัดต้าเหลยอินของวัดต้าเหลยอิน ลูกศิษย์ชาวพุทธที่มีฐานะในแดนสุขาวดีมารวมตัวกันอย่างเนืองแน่น พวกเหมียวอี้และพวกกอ๋องจากตำหนักสวรรค์นั่งขัดสมาธิอยู่แถวหน้าสุด ประมุขพุทธะกล่อมเกลาพวกเขาไม่ได้ แล้วพวกเขาก็ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ด้วย ที่จริงประมุขพุทธะก็ไม่ได้ต้องการให้พวกเขาสนใจเช่นกัน สิ่งที่ต้องการก็คือให้พวกเขาลดฐานะเมื่ออยู่ที่นี่ สิ่งที่ต้องการก็คือท่าทีของพวกเขา มีลูกศิษย์ชาวพุทธมากมายที่ปักหลักอยู่ในอาณาเขตของบรรดาอ๋องสวรรค์ ถ้าจู่ๆ มีใครไม่ไว้หน้าประมุขพุทธะแล้ว ก็จะส่งผลกระทบมากมายต่อลูกศิษย์ชาวพุทธในอาณาเขต เบื้องหลังมีคนประจบสอพลอมากเกินไป
นั่งอยู่อย่างนี้ต่อเนื่องกันหลายวัน ระหว่างนั้นไม่มีการพัก เมื่อเทศนาธรรมจบ พวกเหมียวอี้ก็สนทนากับประมุขพุทธะตามมารยาทแล้วกล่าวอำลา แล้วประมุขพุทธะก็ส่งคนให้ไปส่งพวกเขาออกนอกอาณาเขต
ด้วยความที่ประมุขพุทธะจัดเตรียมงานโดยเน้นให้ความสำคัญและตัดสิ่งรบกวนทุกอย่างออกไป แม้แต่ตำหนักสวรรค์เองก็ต้องไว้หน้า งานบุญใหญ่จบลงอย่างราบรื่น ด้วยความร่วมมือของฝ่ายอำนาจใหญ่ในใต้หล้า ระหว่างทางไม่เกิดปัญหาใดๆ
ประมุขพุทธะย่อมใช้สิ่งนี้เพื่อแสดงการมีอยู่ของตัวเองในใต้หล้า บางทีนี่อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ประมุขพุทธะจัดงานบุญนี้ขึ้นมา ไม่แปลกใจเช่นกันที่ก่อนหน้านี้ต้องการจะกดดันตำหนักสวรรค์ กดดันไม่ให้มีข่าวลือวุ่นวายพวกนั้น แท้จริงแล้วต้องการจะตัดสิ่งรบกวนทุกอย่าง
เมื่อกลับมาถึงจวนท่านอ๋องแล้ว เหมียวอี้ก็พบแขกที่ตัวเองไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอ แต่ก็ถือว่าสมเหตุสมผล
ในดถงหลัก ผู้อาวุโสมู่เซินของเผ่าปีศาจถอดหน้ากากอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ เมื่อเห็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ท่านนี้ ก็มีภาพตราตรึงในความทรงจำลึกซึ้งมาก เคยไปมาหาสู่กันมาก่อน จะให้ลืมก็คงยาก เขาพบว่าอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ก็คือคนที่ไขปริศนาอักษรในปีนั้น มู่เซินผู้อาวุโสเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมประมุขปราสาทแมกไม้ให้เขามาที่นี่
ธิดาศักดิ์สิทธิ์เผ่าปีศาจหายตัวไปแล้ว ตอนแรกเผ่าปีศาจก็ยังไม่หวาดกลัวเท่าไหร่ ถึงอย่างไรศีลแปดก็บอกไว้แล้วว่าจะพามู่น่าไปทัศนาจร ด้วยความเชื่อถือที่มีต่อศีลแปด เผ่าปีศาจจึงไม่ค่อยใจร้อนในการตามหา ตอนแรกก็ยังติดต่อกับมู่น่าได้ แต่ตอนหลังมู่น่าขาดการติดต่อไป เผ่าปีศาจถึงได้รู้สึกกลัว มาขอให้ปราสาทแมกไม้ช่วยตามหา
ประมุขปราสาทแมกไม้บอกพวกเขาว่าไม่ต้องตามหาแล้ว แต่เผ่าปีศาจจะยอมได้อย่างไร แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าประมุขปราสาทแมกไม้มีเหตุผลอะไร จึงให้มู่เซินมาหาคำตอบจากอ๋องสวรรค์หนิวโหย่วเต๋อ
คำตอบของเหมียวอี้ก็เหมือนกับประมุขปราสาทแมกไม้ ถอนหายใจเราบอกว่า “ผู้อาวุโส ไม่ต้องตามหาแล้ว”
มู่เซินหัวใจกระตุกวูบ “ธิดาศักดิ์สิทธิ์มีความหมายไม่ธรรมดาต่อเผ่าปีศาจ จะเป็นหรือตายก็ขอให้บอกมาเถอะ! ไม่อย่างนั้นจะชี้แจงกับคนในเผ่าได้อย่างไร?”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “มู่น่ากับศีลแปดบังเอิญเจอพระปีศาจหนานโป โดนพระปีศาจหนานโปสังหารแล้ว ลาโลกนี้ไปแล้ว โปรดระงับความเศร้าโศก!”
“หา!” แม้มู่เซินจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะอุทานเสียงหลง น้ำตาไหลแล้ว คนอื่นเกลี้ยกล่อมเขาอาจจะไม่สำเร็จ แต่นี่คือคำพูดของคนที่แก้ไขอักษรปริศนาสำเร็จในปีนั้น เขาทำได้เพียงเชื่อ แล้วโค้งตัวทั้งน้ำตา “มิกล้ารบกวนท่านอ๋องแล้ว ผู้น้อยขอตัว!”
“ช้าก่อน!” เหมียวอี้เรียกเขา แล้วขมวดคิ้วถามว่า “ประมุขปราสาทแมกไม้หลินไห่ให้เจ้ามาหาคำตอบเรื่องนี้กับข้าเหรอ?”
“ใช่แล้ว!” มู่เซินพยักหน้า
เหมียวอี้หรี่ตา ข่าวเรื่องนี้ยังไม่แพร่ออกไปเลย ทำไมหลินไห่รู้ข่าวเร็วขนาดนี้? ทั้งยังชี้แนะให้มู่เซินมาหาเขาอีก…
………………