พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2126 คนหายไปหนึ่งแสนคน
หลังจากส่งมู่เซินกลับไปแล้ว เหมียวอี้ก็กดความคิดบางอย่างไว้ชั่วคราว ตรงหน้ายังมีอีกเรื่องที่ต้องจัดการ
บัวโลหิตตกอยู่ในมือพระปีศาจแล้ว ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าปีศาจจะหวนกลับคืนมาเมื่อไหร่ แต่ดูจากที่พระปีศาจละทิ้งวิธีการที่เคยทำในสถานที่ผนึก และใจร้อนอยากได้บัวโลหิต ก็พอจะมองเบาะแสบางอย่างออกแล้ว
ส่วนการแลกเปลี่ยนที่แพ้ย่อยยับนั้น มีคนเห็นเองกับตามากเกินไป ในจำนวนนั้นมีสายลับของคนอื่นหรือเปล่า ไม่ว่าใครก็พูดได้ไม่ชัดเจน ตอนนั้นคนพวกนั้นไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แต่คนที่เห็นกับตาว่าเขากับพระปีศาจตกลงทำข้อแลกเปลี่ยนกันกลับเป็นเรื่องจริง ตอนที่ยังไม่กลับมาก็ควบคุมไม่ให้คนพวกนี้ติดต่อกับภายนอก หลังจากกลับมาแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะควบคุมไว้ตลอด มีความเป็นไปได้สูงว่าช้าเร็วก็ต้องมีข่าวหลุด
จำเป็นต้องแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ ขณะเดียวกันก็ต้องเตือนคนเบื้องล่างไว้ด้วย ว่าพระปีศาจอาจจะหวนกลับคืนมาจริงๆ แล้ว ไม่อย่างนั้นเอาใส่เขาคนเดียวก็ป้องกันไม่ไหว!
หลังจากรีบเรียกหยางชิ่งมาปรึกษาหารือเรื่องนี้ สุดท้ายก็ให้เซี่ยโห้วท่าปล่อยข่าวลือผ่านตระกูลเซี่ยโห้วอีกครั้ง
ใช้เวลาไม่นาน ใต้หล้าก็ทยอยมีข่าวลือออกมา ว่าหนิวโหย่วเต๋อกับตระกูลเซี่ยโห้วร่วมมือกันวางกับดักสู้กับพระปีศาจหนานโปแต่พลาด โดนพระปีศาจหนานโปใช้แผนซ้อนแผน แย่งชิงบัวโลหิตของบรรพจารย์มารโลหิตไปได้แล้ว บัวโลหิตนี้สามารถช่วยพระปีศาจหลอมสร้างกายหยาบขึ้นมาใหม่ได้ มีความเป็นไปได้สูงว่าพระปีศาจจะได้ฟื้นฟูพลังในปีนั้นกลับมา
เมื่อข่าวนี้หลุดออกไป ใต้หล้าก็สั่นสะเทือนแรงมาก ใจคนล้วนหวาดหวั่น!
ตระกูลเซี่ยโห้วกับเหมียวอี้ออกมาแก้ข่าวอย่างต่อเนื่องแต่ก็ไม่มีประโยชน์
นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ตำหนักสวรรค์ส่งซ่างกวนชิงมาด้วยตัวเอง ถามว่าสถานการณ์นี้จริงหรือเท็จ
โค่วหลิงซวี ก่วงลิ่งกง เถิงเฟย เฉิงไท่เจ๋อก็มาเยือนจวนอ๋องสวรรค์ที่ทัพใต้ด้วยตัวเอง ถามว่าเรื่องนี้จริงหรือเท็จเช่นกัน
ทว่าเหมียวอี้ปฏิเสธลูกเดียว บอกว่าไม่มีเรื่องแบบนี้ เป็นข่าวลือล้วนๆ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมรับเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นก็อธิบายได้ไม่ชัดเจน และรับผิดชอบไม่ไหวด้วย
จากนั้นถึงได้ยกเลิกข้อห้ามกับกำลังพลกลุ่มใหญ่ที่เห็นเรื่องนี้เองกับตาในตอนนั้น ข่าวไหนที่ควรจะหลุดไป ก็ปล่อยให้คนที่มีความตั้งใจปล่อยข่าวเถอะ
ใช้เวลาไม่นาน ความเคลื่อนไหวต่างๆ ในใต้หล้าก็พิสูจน์การคาดเดาของเหมียวอี้แล้ว ในทัพอารักขาของเขามีสายลับของอำนาจฝ่ายอื่นอยู่ด้วย อำนาจแต่ละฝ่ายเสริมการตรวจสอบและสอดส่องในเขตตัวเอง นี่ก็คือสิ่งที่เหมียวอี้หวังจะได้เห็น
เหมียวอี้เรียกชิงเยว่กับหลงซิ่นมาคุยนานมากเรื่องนี้ ขอให้พวกเขาคิดหาทางกวาดล้างสายลับในทัพอารักขา เผยเจตนาว่าต่อให้ฆ่าผิดตัวก็ดีกว่าปล่อยไป ล้อเล่นอะไรกัน ในกำลังพลทัพอารักขาของตัวเองมีสายลับของอำนาจภายนอกอยู่ด้วย ใครจะรับไหว? บางครั้งความผิดพลาดเล็กน้อยก็มักจะทำให้เกิดความเสียหายที่ประเมินไม่ได้
ยามเผชิญความกดดันกับการที่พระปีศาจอาจหวนคืนกลับมาได้ทุกเมื่อ เหมียวอี้ก็ไม่พอใจกับการควบคุมดูแลของทัพใต้เป็นอย่างมาก พวกที่มีความสามารถในการควบคุมไม่พอ มีความคืบหน้าช้ามาก บางทีถึงขั้นไม่มีความคืบหน้าอะไร เหมียวอี้ก็เลยเดือดดาล ถอดตำแหน่งคนที่ไม่มีความสามารถเพียงพอออก แล้วเปลี่ยนคนกลุ่มใหม่มา ไม่ต้องไว้หน้าอะไรกันทั้งนั้น
ต่อให้จะเป็นคนเก่าคนแก่ในจวนแม่ทัพภาคแดนรัตติกาล ก็โดนถอดไปเหมือนกัน
แน่นอนว่าในจำนวนนั้นมีทหารที่ยอมแพ้อยู่ด้วย ท่านโหวคนหนึ่งไม่พอใจกับสิ่งนี้ พูดจาเหน็บแนมประมาณว่าข้ามแม่น้ำแล้วหรือสะพานทิ้ง ปลุกปั่นลูกน้องเก่าให้กดดันเบื้องบน เหมียวอี้จึงไม่ปราณีเลยแม้แต่น้อย ส่งทหารไปปราบโดยตรง ล้างเลือดเสียเลย กำจัดทิ้งทั้งตระกูล!
เหมียวอี้ใช้วิธีการที่เข้มงวดและรวดเร็วยางต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ใช้อำนาจกดดัน ไปจนถึงกดดันให้เบื้องล่างให้คำชี้แจงกับเขา!
บนตึกศาลาของเรือนชั้นใน อวิ๋นจือชิวกำลังพูดคุยและชมทัศนียภาพกับกลุ่มอนุภรรยา ภาพเหตุการณ์ที่เหมียวอี้เดินเร่งฝีเท้ากลับเข้ามาในจวนท่านอ๋องดึงดูดความสนใจของผู้หญิงกลุ่มนี้แล้ว เสียงพูดคุยหัวเราะเบาลงแล้วไม่น้อย ต่างก็สังเกตเหมียวอี้ที่กลับมาจากข้างนอกโดยไม่ได้ตั้งใจ
สำหรับสาวๆ ในจวนท่านอ๋อง อ๋องสวรรค์หนิวมีความหมายต่อพวกนางอย่างไรก็ไม่จำเป็นต้องพูดมาก ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ พวกนางต่างเฝ้าคอยไม่มากก็น้อย
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วมองเหมียวอี้ที่เดินกลับมาเหมือนพยัคฆ์มังกรเยื้องย่าง ในใจรู้สึกกังวล รู้ช่วงนี้เหมียวอี้มีความกดดันเยอะมาก งานยุ่งมาก ยุ่งจนแทบไม่มีเวลาคุยกับนาง วิ่งเต้นไปทั่วทัพใต้อย่างที่พบเห็นได้บ่อย ไม่เสียดายที่จะลดฐานะท่านอ๋องเพื่อไปแก้ปัญหาบางอย่างด้วยตัวเองให้รวดเร็วฉับไว
มีคนอยากจะตามไปดูด้วยเช่นกัน แต่สถานที่สำคัญในจวนท่านอ๋อง ไม่ใช่ว่าอนุภรรยาคนไหนก็จะเข้าใกล้ได้ ส่วนใหญ่ยังไม่มีสิทธิ์นั้น
ตอนที่เข้าใกล้ห้องหนังสือ อวิ๋นจือชิวก็โบกมือให้เชียนเอ๋อร์ บอกไปว่าไม่ต้องรายงาน นางย่องเข้าไปฟังอยู่ตรงประตูห้องหนังสือ
เสียงของหยางเจาชิงดังขึ้นในนั้น “พอท่านโหวจ้าวตาย ในบรรดากำลังพลเดิมของสายตระกูลอวี่เหวินก็ก่อกวนความสงบสุขไม่น้อยจริงๆ ให้อวี่เหวินชวนไปปลอบโยน อวี่เหวินชวนก็กดดันมากเช่นกัน ลูกน้องเก่าตายไปอย่างนี้ เขาไม่ประกาศสนับสนุนทั้งยังต้องไปปลอบใจ ลำบากใจจริงๆ ขอรับ”
หลังจากเหมียวอี้เงียบไปพักหนึ่ง ก็ถามว่า “ลูกสาวของอวี่เหวินชวนชื่ออวี่เหวินหรูเมิ่งใช่ไหม?”
หยางเจาชิงปาดเหงื่อเล็กน้อย แม้แต่ชื่อของอนุภรรยาตัวเองก็ยังไม่กล้าแน่ใจ นี่ต้องไม่ใส่ใจขนาดไหนกัน อย่างไรเสียอวี่เหวินหรูเมิ่งก็เป็นยอดหญิงงามคนหนึ่ง เขาพยักหน้าตอบว่า “ให้แล้วขอรับ! ชื่อว่าหรูเมิ่งจริงๆ”
เหมียวอี้เคาะนิ้วมือบนผิวโต๊ะ “แจ้งให้ฝั่งนั้นรู้สักหน่อย บอกว่าคืนนี้ข้าจะไปที่นั่น”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ จากนั้นทั้งสองก็คุยกันเรื่องอื่นอีก
อวิ๋นจือชิวกัดริมฝีปากเล็กน้อย ล้มเลิกความคิดที่จะเดินเข้าไป นางเดินออกไปเงียบๆ แล้ว
ในคืนนั้น อวิ๋นจือชิวที่ยืนอยู่บนตึกเห็นกับตาว่าเหมียวอี้ไปที่เรือนพักของอวี่เหวินหรูเมิ่ง…
ช่วงเวลาและทิวทัศน์อันงดงามหลุดดั่งความฝัน ฉาเพียงนกยวนยาง ไม่อิจฉาเซียน ภายใต้ผ้าห่มแพรไหม อวี่เหวินหรูเมิ่งยังคงหน้าแดงเรื่อหลังจากฝนกระหน่ำหยุดลง กำลังนอนเปลือยเปล่าซบแขนข้างหนึ่งของเหมียวอี้ ทั้งสองกำลังพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกัน
หลังจากกระอักกระอ่วนอยู่ครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็เอ่ยถึงเรื่องสำคัญ “หรูเมิ่ง ทางบ้านเจ้ายังดีอยู่ใช่ไหม?”
“ค่ะ!” อวี่เหวินหรูเมิ่งขานรับ ต่อให้ไม่ดีก็ไม่สะดวกจะพูดออกมา นางเองก็รู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์จะเอ่ยคำขอส่งเดช ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ที่บ้านฝากให้ผู้น้อยมาทักทายท่านอ๋อง เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้เจอท่านอ๋องเลย”
เหมียวอี้เอามือลูบไล้เอวอ่อนบางของนาง ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ล้วนเป็นข้าที่สะเพร่า ช่วงนี้มีเรื่องรำคาญใจมากเกินไป เบื้องล่างมักมีคนออกนอกลู่นอกทางคอยก่อกวน เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้าบอกพ่อเจ้าสักหน่อย ให้เขาหาเวลาที่เหมาะสมพาแม่เจ้ามาพบข้า…อืม ถ่ายทอดคำพูดข้าลงไป!”
เขาเชื่อว่าอวี่เหวินชวนไม่ได้โง่ น่าจะรู้ว่า ‘เวลาที่เหมาะสม’ คือเมื่อไหร่ ถ้าไม่ได้แก้ไขปัญหายุ่งยาก คาดว่าอวี่เหวินชวนก็ไม่กล้ามาพบเขาเช่น
“ค่ะ! ข้าจะจำไว้” อวี่เหวินหรูเมิ่งเอ่ยรับอย่างว่าง่าย ในเวลานี้นิสัยบางอย่างเปลี่ยนเป็นโอนอ่อนผ่อนตามแล้ว
“ต่อไปนี้ถ้าอยากจะพบข้า แล้วฝั่งหวังเฟยไม่สะดวก เจ้าก็บอกเข้าบ้านหยางได้โดยตรง ต่อไปก็บอกพ่อบ้านหยางได้” เหมียวอี้อนุญาตให้นางเป็นพิเศษ แน่นอนว่าสิทธิพิเศษนี้สามารถยกเลิกได้ทุกเมื่อ ต้องดูว่าอวี่เหวินชวนจะรู้กาลเทศะหรือไม่
พออวี่เหวินหรูเมิ่งได้ฟังก็แอบดีใจ แขนขาวดุจหยกกอดเขาไว้แน่น ร่างกายแนบชิดยิ่งกว่าเดิม…
ในวัดแห่งหนึ่งตรงตีนเขานอกเมือง ที่ชั้นบนสุดของตึก พระปีศาจหนานโปที่มีสีหน้าค่อนข้างซื่องซึมกำลังนั่งขัดสมาธิ พระสงฆ์ในวัดกำลังกำลังเดินไปเดินมาอยู่นอกกำแพงเจดีย์ ไม่มีใครคาดคิดว่าพระปีศาจที่คนทั้งใต้หล้าหวาดกลัวจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่ เป็นเพราะเจ้าอาวาสของวัดนี้เป็นคนที่ตระกูลอิ๋งเตรียมไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
จั่วเอ๋อร์ผลักประตูเล็กเข้ามา เดินมารายงานข้างๆ ว่า “ผู้อาวุโส ข่าวลือด้านนอกยังตึกเครียด ข่าวลือที่หนิวโหย่วเต๋อยังคงแพร่ออกไป”
หนานโปเหลือบหนังตาขึ้น แสยะยิ้มบอกว่า “บัวโลหิตอยู่ในมือข้าแล้ว ตอนนี้ข้าต้องคิดเล็กคิดน้อยกับเขาหรืออะไรนั่นด้วยเหรอ? ตอนนี้เขากำลังสร้างความกล้าหาญให้ตัวเองยามเดินทางตอนกลางคืน ไม่ต้องสนใจเขา อีกละเดี๋ยวก็ถึงเวลาคิดบัญชีกับเขาแล้ว ของที่หนานโป : ค้างให้ไปจัดการไปถึงไหนแล้ว?”
จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “กำลังให้ลูกน้องหาเป้าหมายลงมือ เรื่องนี้ไม่ยาก แค่ต้องทำอย่างระมัดระวังเท่านั้น ขอเพียงผู้อาวุโสฟื้นตัวแล้ว ก็สามารถลงมือได้ทุกเมื่อ ตอนนี้ถ้าลงมือเร็วเกินไป เลี้ยงคนไว้เยอะขนาดนั้นก็เปลืองแรงมาก”
“เหลือแค่พยายามครั้งสุดท้ายแล้ว อย่าให้เกิดช่องโหว่อะไร” หนานโปกล่าว
“รับทราบ จะไม่ให้เกิดความผิดพลาดแน่นอน!” จั่วเอ๋อร์ตอบ
ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วสามปี
หอสามรากฐาน หลังจากโค่วหลิงซวีนั่งลง ก็ใช้นิ้วเคาะโต๊ะพลางถามเสียงต่ำ “เมืองที่มีคนหนึ่งแสนคน ทำไมหายตัวไปเพียงชั่วข้ามคืน?”
ในเมืองแห่งหนึ่งของโลกมนุษย์ในอาณาเขตของเขา เพียงชั่วข้ามคืนคนก็หายไปแล้วหนึ่งแสน ทั้งชายทั้งหญิง ทั้งเด็กและคนชราหายไปหมด อย่าไปมองว่านี่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาหนึ่งแสนคน เพราะสะเทือนมาถึงเขาโดยตรง
ถังเฮ่อเหนียนตอบว่า “เรื่องนี้มีเงื่อนงำจริงๆ จากการตรวจสอบ น่าจะมีคนวางค่ายกลตัดขาดเมืองนี้กับโลกภายนอก จากนั้นก็ฉวยโอกาสลักพาตัวคนในเมืองไปทั้งหมดในตอนกลางคืน ความเร็วแบบนี้นอกจากนักพรตก็ไม่น่าจะมีคนอื่นแล้ว”
“พวกเจ้าที่ ผีหลักเมือง เทพประจำประตูมัวไปทำอะไรกิน เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ความจริงอีกเหรอ? จะเก็บพวกเขาไว้ทำประโยชน์อะไร เอาไปประหารให้หมด!” โค่วหลิงซวีกล่าว
ถังเฮ่อเหนียนจึงตอบว่า “ท่านอ๋อง พวกเจ้าที่ ผีหลักเมือง เทพประจำประตูก็หายตัวไปเช่นกัน แม้แต่พระสงฆ์ในวัดก็หายไปหมดด้วย บางแห่งมีร่องรอยการต่อสู้เล็กน้อย คาดว่าคงมีคนสืบหาพวกผีหลักเมืองเจ้าที่ แล้วควบคุมพวกเขาไว้ก่อน ก่อนจะลงมือลักพาตัวคนไป ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่จะไร้ข่าวเลย”
โค่วเจิงที่อยู่ข้างๆ กล่าวอย่างจริงจัง “ยังมีคนชาวพุทธด้วย เกรงว่าเรื่องนี้คงปิดบังไม่ได้แล้ว!”
เป็นอย่างที่เขาบอก ปิดบังไม่อยู่แล้วจริงๆ เรื่องนี้รู้ไปถึงตำหนักสวรรค์เร็วมาก แม้แต่กลุ่มขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็กำลังปรึกษาเรื่องนี้กัน มนุษย์ธรรมดาหนึ่งแสนคน บางทีสำหรับคนพวกนี้อาจจะเหมือนมดตัวเล็กๆ แต่ลักษณะของเรื่องนี้ไม่เหมือนกัน คนทั้งเมืองหายตัวไปแล้ว สะเทือนไปถึงหน่วยตรวจการขวาให้ต้องส่งคนไปตรวจสอบเอง
เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายที่ไม่จำเป็น ข่าวยังไม่แพร่ไปในวงกว้าง แต่ขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ระดับเหมียวอี้ได้รับข่าวเร็วมาก
พอจบการประชุมขุนนาง เหมียวอี้ก็ได้รับข่าวแล้ว เขาเดินไปเดินมาช้าๆ อยู่ในศาลา ทำไมถึงเกิดเรื่องประหลาดอย่างนี้ขึ้นได้? เขาตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหาปีศาจโลหิตที่พิภพเล็ก
หลังจากอธิบายสถานการณ์ให้ฟังแล้ว ก็ถามว่า : เจ้าเคยบอกว่าพระปีศาจอยากใช้บัวโลหิตลองสร้างกายหยาบขึ้นมาใหม่ ต้องใช้เลือดสดจำนวนมาก เจ้าคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพระปีศาจหรือเปล่า?
ปีศาจโลหิต : ข้ายืนยันไม่ได้ แต่เป็นไปได้สูงว่าเกี่ยวข้องกัน โดยส่วนใหญ่นักพรตที่ไหนจะมาสนใจลักพาตัวเด็กสตรีและคนชราไปล่ะ? คนชราคนป่วยร่างกายอ่อนแอก็ทำอะไรไม่ได้ด้วย
เหมียวอี้ : หรือพูดอีกอย่างว่า ถ้าเป็นพระปีศาจทำจริงๆ ก็แสดงว่าพระปีศาจเริ่มสร้างกายเนื้อใหม่แล้ว โอกาสสำเร็จสูงหรือเปล่า?
ปีศาจโลหิต : ข้าไม่รู้ว่าเขาต้องการลองสร้างกายหยาบแบบไหน ถ้าเป็นกายหยาบของนักพรตโดยทั่วไป ขอเพียงไม่เกิดอะไรผิดพลาด ก็น่าจะไม่มีปัญหา ถ้าเขาไม่มีความมั่นใจเกรงว่าคงจะไม่สิ้นเปลืองบัวโลหิตเพื่อไปทดลอง
เหมียวอี้ : ถ้าเป็นฝีมือของพระปีศาจ หลังจากเขาหลอมสร้างกายหยาบแล้ว เจ้ารู้สึกว่าเขาต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะฟื้นพลังกลับมาเหมือนในปีนั้น?
ปีศาจโลหิต : ข้าไม่รู้ ตามหลักแล้วกายหยาบก็คือกายหยาบ วรยุทธ์ก็คือวรยุทธ์ หลังจากหลอมสร้างกายหยาบขึ้นใหม่แล้วก็ต้องเริ่มฝึกวิชาทีละขั้น แต่ในเมื่อพระปีศาจใจร้อนอยากทำสำเร็จเร็วๆ แบบนี้ เกรงว่าคงศึกษาตามวิธีการปกติไม่ได้…นี่ล้วนเป็นบาปกรรมที่ข้าสร้างขึ้นมา เป็นข้าที่ถ่ายทอดวิชาหลอมสร้างกายหยาบให้เขา อาตมาบาปหนัก!
เหมียวอี้ยังจะพูดอะไรได้อีก ทำได้เพียงปลอบใจว่า : นี่คือสิ่งที่เจ้าไม่เต็มใจ ในปีนั้นเจ้าถูกเขาควบคุม!
……………