พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2127 เริ่มชีวิตใหม่
หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จ เหมียวอี้ก็สงบอารมณ์ได้ยาก
ปีศาจโลหิตบอกว่าเป็นความผิดของนาง ทว่าความเชื่อมโยงของเหตุและผลบางอย่าง แม้แต่เหมียวอี้ก็อธิบายได้ไม่ชัดเจน ถ้าไม่ใช่เพราะบุญคุณความแค้นระหว่างเขากับปีศาจโลหิตในปีนั้น ปีศาจโลหิตจะมาเจอศีลแปดได้อย่างไร แล้วจะตกอยู่ในมือพระปีศาจได้อย่างไร? ถ้าพูดย้อนไปไกลอีกหน่อย ถ้าไม่มีพฤติกรรมกร่างอำนาจทั้งใต้หล้าของพระปีศาจ ก็ไม่มีเรื่องเหมือนอย่างวันนี้เช่นกัน ถ้าพูดให้ไกลกว่าเดิม ถ้าไม่ใช่เพราะในอดีตคนในใต้หล้ามองพระปีศาจเป็นศัตรู จะสร้างพระปีศาจหนานโปที่ยิ่งใหญ่แห่งยุคได้อย่างไร? มีเรื่องราวมากมายที่พัวพันกับเรื่องบุญคุณความแค้น ไม่ว่าใครก็พูดได้ยากว่าเป็นความผิดของใคร นอกจากตัวบุคคลและฝ่ายอำนาจที่แสดงจุดยืนของตัวเอง ส่วนอย่างอื่นก็มีความเกี่ยวพันที่ไม่ชัดเจนเลย
เหมียวอี้ทอดสายตามองไปยังจุดไกลๆ ที่ถูกปกคลุมด้วยม่านละอองฝน เขาถอนหายใจเบาๆ ต่อให้มีตาทิพย์แต่ก็ยากจะมองความขัดแย้ง บุญคุณความแค้นและวงจรเวรกรรมที่ไม่หยุดหย่อนนี้ให้กระจ่างได้ บางทีสิ่งที่ไต้ซือศีลเจ็ดทำอาจจะถูกต้องแล้ว…
ในถ้ำใต้ดินที่อยู่ลึกลงไป หนานโปสะบัดแขนเสื้อโปรยหินยอดผลึกจำนวนมากออกมา วางค่ายกลไว้ในสระน้ำที่ขุดไว้เรียบร้อยแล้ว รอบสระน้ำมัดสัตว์ปีศาจรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันไปไว้หลายตัว
เมื่อจัดสระน้ำเสร็จแล้ว ก็ฝั่งเลี่ยมหินผลึกห้าสีเอาไว้เต็มสระน้ำ กลายเป็นภาพประหลาดภาพหนึ่ง ถ้ามองหลายครั้งก็ทำให้รู้สึกตาลาย ตามที่หนานโปสะบัดแขนเสื้อ บนจานโลหะที่อยู่กลางสระน้ำก็มีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์แผ่ออกมา ท่อโลหะหลายอันที่อยู่รอบๆ มีเสียงโครกคราก ตามติดด้วยน้ำเลือดสีแดงที่พรั่งพรูออกมา กรอกเข้าไปในสระน้ำห้าสี ไม่นานในช่องว่างใต้ดินก็เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น
คลื่นเลือดที่ไม่แข็งตัวกระเพื่อมอยู่ในสระ จั่วเอ๋อร์กับอิ๋งเยว่ที่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายและขวาของหนานโปรู้สึกขนพองสยองเกล้า กลั้นหายใจไม่สูดดมกลิ่นคาวเลือดที่แรงจนเตะจมูก แม้แต่จั่วเอ๋อร์ที่ชีวิตอยู่มาหลายปีก็ไม่เคยเห็นฉากที่มีคาวเลือดมากขนาดนี้มาก่อน ทั้งสองรู้ดีว่าสระเลือดที่ใหญ่ขนาดนี้ต้องสละชีวิตคนมากมายขนาดไหนกลั่นออกมา ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้นึกถึงคนเหล่านั้น รู้สึกชาวาบหนังศีรษะและมือเท้าแล้ว
จนกระทั่งเลือดสดที่กรอกเข้าสระเลือดหยุดแล้ว หนานโปก็พลิกฝ่ามือคว้าบัวโลหิต ร่ายอิทธิฤทธิ์โยนบัวโลหิตที่เปล่งแสงวิบวับออกมากลางอากาศ หลังจากกำหนดตำแหน่งแล้วก็ตกลงช้าๆ บัวโลหิตตกลงไปตรงตำแหน่งจานอิทธิฤทธิ์กลางสระเลือด
ชั่วพริบตาที่รากบัวขาวดุจหยกจมลงกลางน้ำเลือด หนานโปก็เริ่มมีสีหน้าตึงเครียด เห็นบัวโลหิตวางนิ่งอยู่บนจานอิทธิฤทธิ์โลหะไม่ขยับไปไหน น้ำเลือดแทบจะทำให้ใบบัวกับดอกบัวที่งอกจากกลีบเลี้ยงจมมิด เห็นแสงสลัวอยู่ในน้ำเลือด แต่บัวโลหิตกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร ปากหนานโปเริ่มท่องไม่หยุด “ฟื้นขึ้นมา ฟื้นขึ้นมา ฟื้นขึ้นมา…”
ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วยาม บัวโลหิตยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร หนานโปเม้มริมฝีปากแน่น สองตาจ้องบัวโลหิตไม่ละสายตา อย่างไรเสียของบางอย่างก็ได้ยินมาจากปากปีศาจโลหิต ส่วนสถานการณ์โดยละเอียดเป็นอย่างไร เขาเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ในใจไม่ค่อยมีความมั่นใจ รู้สึกกังวลสุดๆ
จั่วเอ๋อร์กับอิ๋งเยว่สบตากันเป็นระยะ แม้เหตุการณ์ตรงหน้าจะทำให้ทั้งสองรับไม่ค่อยไหว แต่อย่างไรเสียก็เป็นสิ่งที่ได้มาเพราะอำนาจที่เหลือของตระกูลอิ๋งทุ่มเทจ่ายในราคาสูง ถ้าทำไม่สำเร็จ เรียกได้ว่าทำให้พวกนางสะเทือนใจไม่น้อย
หลังจากผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม จู่ๆ ทั้งสองก็จ้องไปในสระเลือด ดวงตาของหนานโปเบิกกว้างขึ้นหลายเท่า
แสงสว่างขมุกขมัวใต้น้ำเลือดเริ่มอับแสงลงทีละนิด กระทั่งชั่วพริบตาที่แสงนั้นดับลง ทุกอย่างก็หายไปแล้ว
ไม่นานก็เห็นใต้น้ำเลือดเปล่งแสงสีแดงอ่อนขึ้นมาอีก แสงสีแดงอ่อนสายหนึ่งขึ้นมาจากส่วนก้านราก ขึ้นไปที่ก้านใบของบัวโลหิตอย่างช้าๆ กระทั่งหลังจากแสงสีแดงอ่อนปกคลุมไปทั่วทั้งใบบัวโลหิตและดอกบัว ก้านใบบัวโลหิตก็เหมือนจะสั่นไหวเบาๆ ก้านและใบเหมือนจะแผ่ออกหลายส่วน ไม่เหมือนสิ่งไร้ชีวิตอีก เกิดแสงสว่างมันวาว บัวโลหิตราวกับได้รับชีวิตใหม่ แล้วก็เหมือนดูดกินน้ำเลือดอย่างหิวกระหายจนอิ่ม น้ำเลือดในสระเลือดเหมือนกำลังลดลงทีละขั้น
หนานโปตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้นทันที โบกไม้โบกมือหัวเราะลั่น “ฟื้นแล้ว ฟื้นแล้ว บัวโลหิตฟื้นแล้ว!”
เขาหันกลับมาตะโกนบอกทั้งสองอีก “เร็วๆๆ! ไปทำตามที่ข้ากำหนดไว้ล่วงหน้าไว้!”
จั่วเอ๋อร์ชักกระบี่วิเศษออกมา ถลันตัวออกไป นักพรตปีศาจที่ถูกมัดไว้รอบสระเลือดและกลับคืนร่างเดิมถูกจั่วเอ๋อร์ใช้กระบี่ฟันเส้นเลือดอย่างรวดเร็ว เลือดสดทะลักออกมาจากเส้นเลือดของสัตว์ปีศาจหน้าตาดุร้ายตัวแล้วตัวเล่า ไหลกรอกเข้ามาในสระเลือด จากนั้นก็รีบเหาะขึ้นกลางอากาศแล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมเลือดปีศาจที่ทะลักออกมาให้กรอกไปยังตำแหน่งของบัวโลหิต แล้วเริ่มหมุนวนรอบรากของบัวโลหิตจนกลายเป็นน้ำวน
ส่วนอิ๋งเยว่ก็ถือกำไลเก็บสมบัติปล่อยเงาคนจำนวนมากลงในสระเลือด ชายหญิงเด็กคนชรามีหมด มีสภาพเป็นเงาคนรางๆ ไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดจะเป็นวิญญาณหยิน พอวิญญาณหยินเหล่านี้ถูกปล่อยออกมา ก็เห็นได้ชัดว่ามีแนวโน้มจะหนีกระเจิดกระเจิงด้วยความหวาดกลัว หนานโปประนมมือสองข้าง ปากเริ่มท่องคาถา เห็นวิญญาณหยินเหล่านั้นราวกับขวัญผวา กระโดดลงน้ำเลือดแล้วเดินไปที่บัวโลหิต พอเข้าใกล้บัวโลหิตร่างกายก็เตี้ยลง แล้วถูกน้ำเลือดวนหมุนเข้าไป
รอจนกระทั่งวิญญาณหยินเหล่านั้นหายเข้าไปในร่างของบัวโลหิตหมดแล้ว น้ำเลือดหมุนวนก็เริ่มสงบลงทีละนิดเช่นกัน เลือดของสัตว์ปีศาจพวกนั้นไหลหายไปหมดแล้ว ทุกอย่างล้วนอยู่ในแผนการของหนานโป แผนการที่ตั้งใจเตรียมไว้อย่างสมบูรณ์แบบ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่ปีศาจโลหิตบอกเขา เป็นเขาเองที่พัฒนาปรับเปลี่ยนหลังจากศึกษาสิ่งที่ปีศาจโลหิตถ่ายทอดมา ถ้าไม่มีความมั่นใจเขาก็ไม่กล้านำบัวโลหิตต้นนี้ไปทดลอง ถ้าพูดจากบางด้าน สามารถเรียกได้ว่าเป็นพรสวรรค์ของเขาจริง!
ทว่าบัวโลหิตที่ดูดร่างกายเล็กๆ ราวกับกระหายนั้นทำให้คนตกใจจริงๆ ผนังเลือดรอบๆ ด้านในสระเลือดยังลดลงอย่างช้าๆ จะเห็นได้ว่าบัวโลหิตยังคงดูดซับอยู่ แต่บนใบบัวโลหิตกลับปรากฏเส้นสีเขียวและดำหลายเส้น ทำให้หนานโปตาลุกวาวอีกครั้ง ทำสายตาตื่นเต้นดีใจ
อิ๋งเยว่กับจั่วเอ๋อร์หันกลับไปมองฝั่งซ้ายและขวาของเขา สำรวจดูสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายอย่างละเอียด ภาพเหตุการณ์แบบนี้ใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสได้เห็น
จนกระทั่งก้านและใบของบัวโลหิตโผล่พ้นผิวน้ำเลือดเกือบครึ่ง ในที่สุดบัวโลหิตก็หยุดดูดซับแล้ว แสงสีแดงอ่อนหมุนวนทั้งต้น รู้สึกได้เลยว่าในห้องศิลากำลังกลั่นของบางอย่าง อธิบายได้ไม่ชัดเจนว่าคืออะไร เหมือนมันอยู่ในความลึกลับ
สุดท้าย บัวโลหิตที่สะสมพลังงานเอาไว้เต็มเหมือนจะระเบิดแล้ว ในดอกบัวระเบิดแสงเลือดแววออกมา แสงพุ่งไปด้านบน ส่องสว่างทั้งห้องศิลา กลิ่นอายประหลาดแผ่ออกจากบัวโลหิต กระเพื่อมอยู่ในห้องศิลา ขณะเดียวกันก็มีหมอกเลือดแผ่ขึ้นมาจากบัวโลหิตเช่นกัน เป็นฉกอัศจรรย์อันน่าตื่นตาตื่นใจ แากที่แสงเลือดเริ่มกลายเป็นหมอกสีสันละลานตา เห็นรางๆ ว่าท่ามกลางหมอกเลือดมีกระแสอากาศสีเขียวดำกำลังพัวพันอยู่ในนั้น
จั่วเอ๋อร์กับอิ๋งเยว่มองหน้ากันเลิกลั่ก ต่างก็เห็นว่าอีกฝ่ายทำสายตาตกตะลึง
“เป็นอย่างนี้จริงด้วย ฮ่าๆ…” หนานโปกางแขนสองข้างกอดรับจากที่ไกลๆ หัวเราะลั่นอย่างดีใจไม่หยุด
กระทั่งหลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว ก็หันกลับมามองซ้ายมองขวาอีก “พวกเจ้าถอยไป เฝ้าด้านนอกไว้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ห้ามให้ใครบุกเข้ามาที่นี่!”
“รับทราบ!” ทั้งสองเอ่ยรับ หลังจากผลักประตูหินออกไป ก็ปิดประตูหินเอาไว้อีกครั้ง
หนานโปหลับตาลงช้าๆ ประนมมือนั่งขัดสมาธิ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นแสงสีทองระยิบระยับหลุดออกมา ลอยเข้าไปในน้ำเลือด แล้วก้าวเดินบนคลื่นน้ำ ราวกับเท้าทะยานคลื่น มุ่งหน้าไปที่บัวโลหิต หลังจากวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กับบัวโลหิตหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้วก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นแสงสีทองตกลงบนฝักบัว บัวโลหิตราวกับเป็นคบเพลิงที่มีเปลวเพลิงสีทองลุกโชน คลื่นเลือดสะท้อนเงากลับหัว โยกไหวสง่างาม
แสงทองเริ่มซึมเข้าไปในรูฝักบัว เห็นรางๆ ว่าแสงทองหลอมรวมเข้าไปในบัวโลหิต ไหลลงไปที่ก้านรากอย่างช้าๆ
เป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ แสงสีทองถึงได้จมหายไปในบัวโลหิตทั้งหมด บัวโลหิตทั้งต้นมีแสงสีทองอ่อนๆ เพิ่มมาหนึ่งชั้น
หลังจากเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นเวลาหลายวัน ก็เห็นส่วนรากของบัวโลหิตมีแสงสีขาวกรอกเข้าไปในก้านและใบ ราวกับในก้านและใบมีเส้นชีพจร
หลังจากนั้น บัวโลหิตก็เริ่มสูงใหญ่ขึ้นทุกวัน เปลี่ยนเป็นหยาบหนา หน้าตาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เติบโตราวกับถูกยืดให้ตึง
หลังจากนั้นสามเดือน บัวโลหิตก็เปลี่ยนไปจนไม่เหลือโฉมหน้าเดิม ผิวนอกเป็นสีดำแกมน้ำตาล ด้านในมีแสงสีแดงรางๆ
หลังจากนั้นสามเดือน บัวโลหิตก็ไม่เหลือสภาพบัวโลหิตแล้ว ราวกับเป็นหัวไชเท้าสีดำเสียบอยู่กลางน้ำเลือด ส่วนน้ำเลือดที่ไม่แข็งตัวในสระน้ำก็ถูกดูดจนลดลงเหลือก้นสระแล้ว
ในค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ขณะที่แสงจันทร์ส่องสว่างท้องฟ้า ผิวของ ‘หัวไชเท้า’ สีน้ำตาลดำในสระเลือดเริ่มมีรอยแยกหลายรอย ในรอยแยกกะพริบแสงสีแดง รอยแยกเพิ่มขึ้นเยอะเรื่อยๆ แสงสีแดงหนาแน่นราวกับใยแมงมุม ‘หัวไชเท้า’ กลับถูกเป่าให้พองขึ้นเร็วมาก สุดท้ายก็ระเบิดออกเสียงดัง ไอหมอกกระจายไปทั่วทิศ แสงสีแดงในนั้นกะพริบหายไป ในหมอกแดงที่อบอวลปรากฏร่างคนคนหนึ่งขึ้นมาอย่างช้าๆ เดินขากะเผลกเหมือนเดินไม่ถนัด
ไอหมอกสลายตัวอย่างช้าๆ เงาร่างที่เดินกะเผลกในห้องเริ่มปรากฏชัดเจนภายใต้แสงสว่างจากไข่มุกราตรีในห้อง ปรากฏร่างชายวัยกลางคนหัวโล้นร่างเปลือยเปล่า จมูกโด่ง กระดูกโหนกแก้มสูง ริมฝีปากหนา แก้มตอบ หน้าตาเหมือนชาวต่างชาติ แต่รูปร่างสูงใหญ่ แขนขายาว ลายกล้ามเนื้อชัดเจนสมบูรณ์แบบ ผิวขาวดุจหิมะ
เหยียบน้ำเลือดที่ไม่สูงเกินเท้า ชายวัยกลางคนร่างเปลือยเหมือนเริ่มคุ้นเคยกับการเดินทีละนิด แววตาที่คมกริบเหมือนเหยี่ยวมองสองมือของตัวเองที่ยกขึ้นมา สิบนิ้วกำแบไม่หยุด เดินไปข้างสระเลือดแล้วออกแรงปีนขึ้นไป
ผลปรากฏว่าพอเดินไปถึงประตูหินที่ปิดสนิท ก็เกิดปัญหาขึ้นอีกแล้ว ชายวัยกลางคนพบว่าตัวเองมีพลังกายเท่ามนุษย์ธรรมดาเท่านั้น ไม่มีแรงผลักประตูออกเลย อดไม่ได้ที่จะแหกปากตะโกนขอความช่วยเหลือ ทว่าลองตะโกนหลายครั้งก็ยังไม่สามารถเปล่งเสียงแบบปกติได้ หลังจากเค้นเสียงซ้ำไปซ้ำมาถึงได้เปล่งเสียงสั่นเครือออกมาว่า “เปิดประตู! เปิดประตุ…”
ทว่าด้านนอกไม่มีปฏิกิริยาอะไร เขาจึงเก็บหินก้อนหนึ่งจากด้านข้าง แล้วแรงกระแทกประตูหิน ท่ามกลางเสียงดังปั้งๆ ในที่สุดด้านนอกก็มีเสียงอิ๋งเยว่ร่ายอิทธิฤทธิ์ถามว่า “ท่านอาจารย์ เป็นท่านเหรอ?”
ไม่ผิดหรอก ชายวัยกลางคนก็คือพระปีศาจหนานโปที่ได้ชีวิตใหม่ เขาพยายามออกแรงเปล่งเสียง “เป็นข้า! เปิดประตู!”
พุดซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ แล้วก็ใช้หินเคาะประตูอีกหลายครั้ง จนกระทั่งคนด้านนอกร่ายอิทธิฤทธิ์แทรกซึมเข้ามาสำรวจ ถึงได้ยินเสียงเขาชัดเจน
ตึง! ประตูหินพลันเปิดออกแล้ว
เมื่อจู่ๆ เห็นคนร่างเปลือยเปล่าปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า จั่วเอ๋อร์กับอิ๋งเยว่ก็อึ้งไปชั่วครู่ สายตามองประเมินศีรษะจดเท้าโดยจิตใต้สำนึก ถึงได้พบว่าหนานโปจริงใจเปิดเผยจนถึงขั้นไร้ความเป็นส่วนตัว สิ่งที่ไม่ควรให้เห็นก็เปิดเผยให้เห็นชัดเจน ทั้งสองรีบหันหน้าหลบ อิ๋งเยว่อับอายจนหน้าแดง
หนานโปกลับไม่ถือสาอะไร ยื่นมือไปที่ทั้งสองคน แล้วกล่าวอย่างยากลำบากว่า “เสื้อผ้า!”
จั่วเอ๋อร์รีบหยิบจีวรสีเทาตัวหนึ่งยื่นให้ หนานโปไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย แต่งตัวต่อหน้าทั้งสองจนเสร็จ แล้วเดินเท้าเปล่าผ่านหน้าทั้งสองไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
………………