พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2128 ผู้หญิงที่หยางชิ่งชอบ
กลิ่นคาวเลือดทะลักออกมาจากประตูที่เปิดออก ทั้งสองรีบหันกลับไปตรวจดูในห้องศิลาที่ว่างเปล่า ตอนนี้ยังไม่มีกะจิตกะใจมาเก็บกวาด รีบมาเดินตามหลังพระปีศาจหนานโป มองประเมินพระปีศาจหนานโปจากข้างหลังอย่างละเอียด แม้จะรู้ว่าพระปีศาจต้องการอาศัยบัวโลหิตเพื่อคืนชีพ แต่เมื่อได้เห็นกับตาว่ามีคนเป็นๆ ปรากฏตัว ก็ยังรู้สึกอยากรู้อยากเห็นและตื่นตาตื่นใจ เมื่อครู่นี้เป็นเพราะพระปีศาจเปลือยร่าง ทั้งสองจึงรู้สึกอับอายที่จะมองหน้าตาของเขาให้ละเอียด
แต่ทั้งสองก็ค้นพบความผิดปกติเร็วมาก สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าย่างก้าวของพระปีศาจไม่มั่นคง ค่อนข้างสะเพร่าและสั่นคลอน
กำลังพลที่เหลือของตระกูลอิ๋งติดตามอยู่กับพระปีศาจไปเพื่ออะไรล่ะ? ก็เพราะหวังให้เขาลืมตาอ้าปากอีกครั้งไม่ใช่หรือ? จะไม่ให้สนใจก็ไม่ได้ อิ๋งเยว่ลองถามว่า “ท่านอาจารย์ ราบรื่นหรือไม่คะ?”
หนานโปพลันหยุดเดิน ก้มหน้ามองเท้าตัวเอง ผิวฝ่าเท้าละเอียดอ่อนเกินไป เดินเท้าเปล่าเจ็บเท้านิดหน่อย เขาเงยหน้ามองไปด้านหน้า ตรงนี้อยู่ลึกลงไปใต้ดิน ถ้าอยากจะอาศัยพลังเท้าของตัวเองตอนนี้เดินขึ้นไป เกรงว่าจะทำไม่ไหวพี่ เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “สำเร็จแล้ว!”
“เช่นนั้นร่างกายของท่าน…เหมือนจะอ่อนแอนิดหน่อย” อิ๋งเยว่เตือน
จั่วเอ๋อร์กลัวว่านางจะพูดผิดจนยั่วโมโหพระปีศาจ จึงช่วยพูดแก้สถานการณ์ “ผู้อาวุโสเพิ่งจะได้เกิดใหม่ ยังปรับตัวกับกายหยาบไม่ได้”
หนานโปก็ไม่ได้หลีกเลี่ยงที่จะพูดความจริง อย่างไรเสียเรื่องต่อๆ ไปก็ยังต้องให้พวกเขาช่วย “จะพูดว่ายังปรับตัวไม่ได้ก็ได้ กายหยาบนี้เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ดูเผินๆ เหมือนร่างกายแข็งแรง แต่มันก็แค่ภายนอกเท่านั้นแหละ ที่จริงไม่ต่างจากเด็กที่เพิ่งเกิดใหม่เท่าไหร่นะ ตอนนี้ข้าไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์เลย ถึงขนาดเทียบกับสถานะวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ด้วย วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยังอยู่ในช่วงปรับตัวให้เข้ากับกายหยาบ จึงยับยั้งความสามารถพิเศษของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไว้ ไม่สามารถใช้เคล็ดวิชา โดยทั่วไปไม่มีความสามารถที่จะปกป้องตัวเอง มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งก็อาจจะสังหารกายหยาบของข้าได้ สภาพของข้าตอนนี้อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่เคยฝึกตนมา ต้องหาสถานที่ปลอดภัยที่สุดเพื่อให้เวลาข้าฟื้นฟูพลัง!”
จั่วเอ๋อร์พยักหน้า “ผู้อาวุโสวางใจได้…เพียงแต่ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นานเกินไป ไม่อย่างนั้นจะถูกเปิดโปงได้ง่าย ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการฟื้นฟูพลัง คุณหน่อยจะได้วางแผนให้ละเอียดถี่ถ้วนล่วงหน้า!” นางกำลังใช้คำพูดทดสอบ
หนานโปไม่แม้แต่จะหันกลับมา สายตามองไปข้างหน้าอย่างมั่นคง “ข้าต้องหลอมร่างกาย ต้องฝึกตนเพื่อสร้างพื้นฐานบางอย่าง ในจุดนี้ไม่อาจขาดไปได้ ถ้าไม่มีพื้นฐาน การเพิ่มระดับพลังในช่วงหลังก็ทำได้ยาก ให้เวลาข้าสิบปี กายหยาบของข้าก็น่าจะสร้างพื้นฐานได้แล้ว หลังจากนั้นสิบปีก็จะมีความคืบหน้า อย่างนานสุดคือหมื่นปี ฟื้นพลังกลับมาอยู่ในจุดสูงสุดเหมือนปีนั้นคงจะไม่เป็นปัญหา ดังนั้นในเวลานี้ จะต้องให้ทุกคนรักษาความสงบเอาไว้ อย่าให้คนตามเจอร่องรอยของข้า รอให้ข้าฟื้นฟูพลังเสร็จแล้ว จะช่วยทวงของของพวกเจ้ากลับมาให้!”
“หนึ่งหมื่นปี…” จั่วเอ๋อร์ถอนหายใจ “เกรงว่าเบื้องล่างคงรอจนร้อนใจ!”
หนานโปหันหน้าช้าๆ กลับไปมองทั้งสอง “บอกเขาไปตรงๆ ว่าข้าฟื้นฟูกายหยาบกลับมาแล้ว จากนี้ไปพวกเขาก็จะได้ควบคุมใต้หล้า ตอนนี้อดทนไว้ก็เพื่ออนาคต!”
“เข้าใจแล้ว!” จั่วเอ๋อร์พยักหน้า…
ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบปี บนหาดทรายที่คลื่นเขียวมรกตซัดเป็นระลอก พระปีศาจหนานโปเดินเปลือยร่างเปียกชุ่มออกมาจากทะเล เดิมทีผิวขาวดุจหิมะ ตอนนี้ผิวกลายเป็นสีทองแดงแล้ว กล้ามเนื้อที่บึกบึนยิ่งระเบิดความรู้สึกมีพลังออกมา ตามที่ร่างนี้เดินขึ้นมาจากทะเล ที่ผิวทะเลข้างหลังก็ปรากฏเงาสีดำขนาดใหญ่ งูทะเลลายขาวดำตัวยาวเจ็ดแปดจั้งถูกเขาใช้มือข้างเดียวลากขึ้นมาบนชายหาด
จั่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ใต้ป่ามะพร้าวเดินเข้ามา พระปีศาจใช้มือข้างเดียวออกแรง สะบัดสัตว์ตัวใหญ่ออกจากผิวทะเลได้ สะบัดมาวางบนหาดทราย แล้วถึงได้ถามเสียงเย็นว่า “เตรียมตัวแล้วหรือยัง?”
จั่วเอ๋อร์พยักหน้าบอกว่า “เตรียมไว้ให้ผู้อาวุโสเรียบร้อยแล้ว” นิ้วชี้ไปที่ปากถ้ำตรงตีนเขา
พระปีศาจทิ้งรอยเท้าไว้บนหาดทราย เดินเข้าไปในปากถ้ำตรงตีนเขาอย่างไม่รีบร้อน
พื้นที่ว่างใต้ดินในถ้ำมีลักษณะเหมือนแอ่งกระทะ ตรงกลางมีแท่นเรียบ รอบๆ แท่นเป็นวงแหวนน้ำทะเลที่ทะลักเข้ามาจากทางลับ หนานโปเดินไปยืนบนหน้าผาในถ้ำแล้วมองลงไป เห็นเพียงบนเสาทองแดงตรงกลางแท่นมัดชายวัยกลางคนไว้หนึ่งคน เมื่อเห็นว่ามีคนเข้ามา ชายวัยกลางคนก็ดิ้นรนเล็กน้อย แต่กลับหลุดออกไปไม่ได้ ที่ปากมีโซ่มัดไว้ กำลังพูดอู้อี้ใส่หนานโปที่อยู่ด้านบน
ตรงหว่างคิ้วของหนานโปเผยสัญลักษณ์พลังบงกชขาว งอเข่าดีดตัวออกมา พลิกตัวกลางอากาศราวกับเหยี่ยวหัวดำ ถือโอกาสยื่นมือช้อนโซ่เหล็กเส้นหนึ่งที่แขวนกลางอากาศ ทั้งตัวไหลลงมาตามโซ่เหล็ก ตกลงบนเสาทองแดงที่มัดคน ร่างกายพลิกล้มไปข้างหลัง สองเท้าหนีบเสาทองแดงแล้วไถลหลังลงมา ชนชายวัยกลางคนที่โดนมัดอยู่ข้างหลัง
ทั้งสองคนยอดศีรษะชนกัน ชายวัยกลางคนข้างล่างยังร้องอู้อี้ หนานโปกลับกางแขนซ้ายขวา แล้วหลับตาลงช้าๆ
ผ่านไปครู่เดียว ชายวัยกลางคนที่ถูกมัดไว้ก็สั่นเทิ้มทั้งตัว บนร่างเริ่มมีควันขาวลอยออกมา ถูกหนานโปสูดเข้าทวารทั้งเจ็ด
ใบหน้าของชายวัยกลางคนแก่ชราลงอย่างรวดเร็วตามควันขาวที่ลอยออกมา ใช้เวลาครึ่งชั่วยามควันขาวก็เจือจางไป ชายวัยกลางคนที่แก่ชราลงหยุดขยับแล้ว หลับตาลงช้าๆ ไม่มีเสียงอีกแล้ว
หนานโปที่ห้อยกลับหัวยกเท้าแตะเสาทองแดง แล้วพลิกตัวเหาะลงมา ตอนตกลงพื้นอยู่ในท่าประนมมือนั่งขัดสมาธิ เขาแยกสองมือออกจากกัน วางลงบนเข่าสองข้างอย่างช้าๆ แล้วหลับตาอยู่ในสภาพนิ่งเงียบ
จั่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่บนหน้าผาใต้ดินได้เห็นขั้นตอนนี้เองกับตา ขณะที่แอบตกใจนางก็กลับโล่งใจ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ ถ้าฝึกตนตามช่องทางปกติ จะฟื้นพลังระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร…
ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วหนึ่งร้อยปี
ไอฝนขมุกขมัว หยางชิ่งเอามือไขว้หลังเดินไปที่ศาลา แววตาเลื่อนลอย ไม่รู้ว่าความคิดล่องลอยไปถึงไหนแล้ว
อีกฝั่งหนึ่งของสะพานโค้ง ซูอวิ้นที่สวมกระโปรงยาวสีขาวเดินเข้ามาช้าๆ ราวกับเป็นคนที่อยู่ในภาพวาด เดินมายืนข้างกายหยางชิ่ง นางหันตัวมาชมทิวทัศน์ด้านนอกด้วยกัน แล้วถือโอกาสถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านบุรุษหยางกำลังคิดอะไรอยู่? หรือกำลังคิดเรื่องสำคัญในชีวิตเจ้าอีกแล้ว?”
เวลามักจะทำให้หลายสิ่งเจือจางลง มีคน มีเรื่องราว มีวัตถุ และมีความรู้สึกเช่นกัน
ในตอนนี้ความรู้สึกรักที่ซูอวิ้นมีต่อฮ่าวเต๋อฟางก็เริ่มห่างไกลแล้วเช่นกัน จะบอกว่าลืมรักก็ไม่ได้ แต่คนก็ไม่ได้จมอยู่ในความรู้สึกแบบนั้นบ่อยๆแล้ว ช้าหรือเร็วก็ต้องได้สติกลับมา ความเจ็บปวดในปีนั้นไม่มีทางลุกลามมาจนถึงทุกวันนี้ เรื่องราวในอดีตคือสิ่งที่มองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้ มันเริ่มจืดจางลงทีละนิด คนละเรื่องราวในชีวิตจริงกลับแจ่มชัดมีชีวิตชีวาอยู่ตรงหน้าและตราตึงในความทรงจำไม่หยุดหย่อน บางสิ่งดับบางสิ่งเกิด ดังนั้นคนจึงกล่าวว่าเวลาคือสิ่งที่ไร้ความปราณีที่สุด
จะบอกว่าซูอวิ้นลืมฮ่าวเต๋อฟางแล้วก็ไม่ได้เช่นกัน คนที่ทำให้นางจดจำฝังลึกถึงกระดูก นางจะลืมเลือนได้อย่างไร เขายังอยู่ในหัวใจ สิ่งที่ทิ้งไว้มากกว่านั้นก็คือความเสียใจที่ยากจะลืมเลือน บางครั้งก็ถูกบรรยากาศพาให้เศร้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความเศร้าโศกที่เหมือนจะเป็นจะตายห่างไกลกับนางแล้วจริงๆ
สำหรับฮ่าวเต๋อฟางที่ยอมตายเพื่อปกป้องนางในปีนั้น นี่คือสิ่งที่ฮ่าวเต๋อฟางหวังจะได้เห็น หวังว่าหลังจากเขาไม่อยู่แล้วนางจะอยู่อย่างสบายดี
สำหรับหยางชิ่ง ทุกวันนี้นับว่าสนิทสนมกับซูอวิ้นมากแล้ว กอปรกับสถานะในจวนท่านอ๋อง ทั้งสองใกล้ชิดกันได้ง่าย มิหนำซ้ำยังมีเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวคอยสร้างโอกาสให้ทั้งสอง ตอนนี้นับว่าเป็นสหายที่ค่อนข้างสนิทกันแล้ว เพียงแต่สหายอย่างหยางชิ่งไม่พิถีพิถัน ซูอวิ้นไม่รู้ภูมิหลังอะไรของเขาเลย แต่หยางชิ่งกลับรู้ภูมิหลังของนางอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง สิ่งนี้ทำให้ซูอวิ้นรู้สึกเสียเปรียบอยู่บ้าง เพียงแต่เมื่อได้ใกล้ชิดกันนานขึ้น หัวสมองของหยางชิ่งก็ทำให้นางรู้สึกทึ่งเช่นกัน ยิ่งทำให้นางอยากรู้อยากเห็นประวัติของหยางชิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งอยากรู้ว่าใบหน้าภายใต้หน้ากากเป็นอย่างไร
หยางชิ่งดึงสติกลับมา มองนางแวบหนึ่ง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “จะรู้ได้ยังไงว่าข้ากำลังคิดถึงเรื่องสำคัญในชีวิต?”
ซูอวิ้นเอามือกอดอก แล้วกล่าวอย่างสนใจว่า “ผู้หญิงคนนั้นที่เจ้าชอบเป็นใครกันแน่ บอกให้ข้าฟังสักหน่อยสิ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะช่วยได้บ้าง บางครั้งผู้หญิงคุยกันเองสะดวกกว่าคุยกับผู้ชาย” หยางชิ่งบอกนางไว้นานแล้ว ว่าเขาชอบผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นรักแรกพบ เพียงแต่ผู้หญิงคนนั้นไม่สนใจเขา หน้ากากนี้ใส่ไว้เพื่อให้ผู้หญิงคนนั้นถอด ถ้าไม่ได้ใจผู้หญิงคนนั้นก็สาบานว่าจะไม่ถอด
ดังนั้นซูอวิ้นจึงยิ่งรู้สึกแปลกใจ ผู้ชายที่สติปัญญามากจนเกือบเป็นปีศาจ ผู้หญิงที่เขาถูกใจจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ไม่อย่างนั้นอาศัยอำนาจและสมองของผู้ชายคนนี้ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะจัดการไม่ได้ ผู้หญิงคนนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ นางถูกหยางชิ่งยั่วให้อยากรู้แล้วจริงๆ
หยางชิ่งถอนหายใจ “ข้าว่านะ เจ้าจะมาสนใจผู้หญิงที่ข้าชอบไปทำไม?”
ซูอวิ้นตอบกลั้วหัวเราะว่า “ก็อยากให้เจ้าถอดหน้ากากออกมาเห็นแสงสว่างไวๆ ไม่ใช่ไง จะได้ไม่ต้องหลบหน้าคนเช้ายันค่ำ”
หยางชิ่งกล่าวปนเสียงหัวเราะเช่นกัน “ถ้าเจ้าอยากถอดหน้ากากขนาดนั้น เจ้าลงมือเองก็สิ้นเรื่องแล้ว ข้าไม่หลบหรอก”
ซูอวิ้นกลอกตามองบน ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่คำสาบานประหลาดนั่น นางก็จะถอดแล้วจริงๆ แต่มีคำสาบานนั้นอยู่ แล้วนางจะถอดได้ที่ไหน?
หยางชิ่งแววตาวูบไหว พูดเสริมว่า “เจ้าเองก็รู้จักผู้หญิงคนนั้นเหมือนกัน ข้ากลัวว่าพูดไปแล้วเจ้าจะตกใจ ไม่เอ่ยถึงดีกว่า”
“ข้ารู้จักเหรอ?” ซูอวิ้นประหลาดใจทันที เริ่มขมวดคิ้วมุ่นครุ่นคิด เป็นผู้หญิงคนไหนกันแน่ที่สอดคล้องกับเงื่อนไขที่ฝ่ายบอก
หยางชิ่งเหล่ตามองท่าทางของนาง โค้งยิ้มมุมปากเล็กน้อย แล้วพูดเสริมว่า “แต่เจ้าอย่าพูดเลย ถ้าให้เจ้าออกหน้า บางทีเรื่องนี้อาจจะมีหวังแล้วจริงๆ ถ้าเจ้าช่วยเต็มที่ เรื่องนี้จะสำเร็จแน่นอน กลัวว่าเจ้าจะไม่ยอมช่วยนะสิ”
ซูอวิ้นแววตาวูบไหวไม่หยุด “ข้าว่านะท่านมหาบุรุษหยาง ในเมื่อข้าสามารถช่วยเจ้าได้ ทำไมต้องรีบบอกมา จำเป็นต้องเสียเวลาอย่างนี้ไหม? รีบบอกให้ข้าฟัง เป็นใครกันแน่ เดี๋ยวข้าจะพยายามช่วยให้สมหวังแน่นอน!”
หยางชิ่งส่ายหน้า “พูดไม่ออก ถ้าจะไม่ช่วยขึ้นมา ให้เจ้ารู้ความจริงเบื้องลึกแล้ว ข้าจะไม่อับอายหรอกหรือ”
“ถ้าช่วยได้ข้าก็จะช่วยแน่นอน รีบบอกมา อย่ามัวอุบอิบ!” ปริศนาที่อยู่มานานหลายปีขนาดนี้อาจจะถูกแก้แล้ว ซูอวิ้นเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะฉีกปากเขาออก
หยางชิ่งหันตัวมามองนาง แล้วจู่ๆ ก็ถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้ายินดีช่วยข้าจริงเหรอ?”
ซูอวิ้นตอบว่า “แน่นอน!” ในดวงตาฉายแววเฝ้าคอย
หยางชิ่งกลับชักช้า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหน้าตาศักดิ์ศรีของข้า เจ้าสาบานสิ”
“ช่วยเจ้าให้สมปรารถนาเรื่องมงคล เจ้ายังจะให้ข้าสาบานอีกเหรอ?”
“…” หยางชิ่งทำเหมือนไม่เคยพูดอะไรทันที
“ได้ๆๆ! ช่างเป็นพวกยอมตายเพื่อรักษาหน้า ข้าซูอวิ้นขอสาบาน ถ้าข้าช่วยเจ้าได้แล้วไม่ยอมช่วย ขอให้ข้าไม่ตายดี!”
“ข้าจะให้เจ้าไม่ตายดีไปทำไม? ถ้าข้าเสียหน้าไปแล้ว เจ้าไม่ตายดีแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เอ่อ…ไม่สู้เอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าเจ้าไม่ช่วย เจ้าต้องสาบานว่าจะแต่งงานกับข้า”
“แซ่หยาง อย่าทำเกินไปนัก!”
“แบบนี้ถึงจะยเท่าเทียม ถ้าข้าบอกความลับนี้ไปแล้ว ให้เจ้ารู้แล้วว่าเป็นใคร ถ้าเจ้าไม่ช่วยข้าจะต้องหัวเราะเยาะข้าแน่นอน ข้าก็ต้องเอาเรื่องน่าขำระดับเดียวกันมาควบคุมเจ้าสิ?”
ซูอวิ้นขี้คร้านจะสนใจเขา หันตัวไปชมทิวทัศน์ฝนด้านนอกต่อ
หยางชิ่งชำเลืองมองนาง ในดวงตาอมยิ้มโดยไม่พูดอะไร หันตัวไปมองทิวทัศน์งดงามด้านนอกต่อ ทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ในใจกลับพึมพำว่า วางแผนชี้นำเจ้าทีละขั้นตอนเพื่อให้เจ้าอยากรู้มาหลายปี อุตส่าห์เปิดออกมุมหนึ่งเพื่อให้ดมกลิ่น ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะทนความอยากรู้อยากเห็นไหว!
……………