พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2135 จ่ายด้วยเลือด
เหมียวอี้ที่แนบหูอยู่ข้างปากก็นิ่งค้างไปเช่นกัน รู้สึกได้ว่าพลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มสุดท้ายที่ประคับประคองอยู่ในร่างกายของเซี่ยโห้วท่าได้หายไปเหมือนสายน้ำแล้ว ผ้าห่มที่มือสัมผัสทรุดลงไป สายตาค่อยๆ มองไปบนมือของเซี่ยโห้วท่าที่ตัวเองกุมอยู่ มือทรุดสลายกลายเป็นฝุ่นผงตบอบอวล มือหายไปแล้ว
เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ กระแสลมที่ตีกวนเล็กน้อยพัดเซี่ยโห้วท่าที่นอนนิ่งลอยเป็นเถ้าถ่านปลิวไป เถ้าถ่านที่ปลิวสลายไปทำให้เซี่ยโห้วท่าไม่เหลือสภาพมนุษย์ ราวกับเป็นรูปสลักจากผงแป้งที่อ่อนแอจนทนแรงลมไม่ไหว
เหมียวอี้พลิกมือนำแหวนเก็บสมบัติออกมาวงหนึ่ง แล้วโบกแขนเสื้อร่ายอิทธิฤทธิ์ม้วนไว้ ขี้เถ้าที่ปลิวสลายเหมือนควันหมุนวนเป็นรูปเสา ม้วนเข้ามาอยู่ในแหวนเก็บสมบัติแล้ว
“เฮ้อ!” ขณะมองแหวนเก็บสมบัติในมือ เหมียวอี้ก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วดีดแหวนไปให้เหยียนซิวจัดการ
พอหันตัวมาอีกครั้ง ก็เห็นอวิ๋นจือชิวยืนเงียบอยู่ข้างหลัง เขาถอนหายใจแล้วบอกอีกว่า “ชีวิตนี้ของเซี่ยโห้วท่าเห็นความผันผวนเปลี่ยนแปลงมาเต็มที่ หลังจากตายแล้วก็เท่านี้เอง!”
มองออกเลยว่าเหมียวอี้อารมณ์หดหู่ อวิ๋นจือชิวก้าวขึ้นมากุมมือเขา แล้วถามว่า “สุดท้ายเขาพูดว่าอะไร?”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “พูดจาคลุมเครือ เหมือนจะบอกว่าเกาก้วน”
“เกาก้วน?” อวิ๋นจือชิวสงสัย “ทูตตรวจการขวาเกาก้วนของตำหนักสวรรค์เหรอ?”
“เกาก้วนที่เอ่ยออกมาจากปากเขาได้ น่าจะไม่มีคนอื่นแล้วมั้ง?” เหมียวอี้ถาม
“เขาเอ่ยถึงเกาก้วนหมายความว่ายังไง?” อวิ๋นจือชิวถาม
หมายความว่าอย่างไรเหรอ? เหมียวอี้หันกลับไปมองเตียงหินที่ว่างเปล่า เขาเองก็อยากรู้ว่าจู่ๆ เซี่ยโห้วท่าเอ่ยถึงเกาก้วนหมายความว่าอะไร ทว่าอดไม่ได้ที่จะนึกเชื่อมโยง ตรงนี้กำลังพูดถึงประมุขไป๋ เซี่ยโห้วท่าคงจะไม่เอ่ยถึงเกาก้วนโดยไม่มีปีไม่มีขลุ่ย มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเอ่ยถึงความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างเกาก้วนและประมุขไป๋ อย่าบอกนะว่าสายลับที่อยู่ทางตำหนักสวรรค์ก็คือเกาก้วน? เซี่ยโห้วท่าไม่ทันได้พูดอะให้ชัดเจน จู่ๆ ก็เอ่ยชื่อเกาก้วนออกมาอย่างไม่ค่อยชัดเจน เหมียวอี้ทำได้เพียงนึกเชื่อมโยงไปทางด้านนั้น แต่กลับไม่อาจแน่ใจ ถ้าไม่ใช่ความหมายนี้ขึ้นมาแล้วตัวเองไปหาเกาก้วน ดีไม่ดีอาจจะเป็นการแสดงความโง่ก็ได้
เกาก้วนจะเป็นสายลับคนนั้นหรือเปล่า? เหมียวอี้ครุ่นคิดขณะเดินช้าๆ ออกมาจากห้องสมาธิ ในหัวกำลังจัดระเบียบความคิดทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเกาก้วน
อวิ๋นจือชิวที่เดินตามอยู่ข้างกายไม่ได้รบกวนเขา นางกำลังสังเกตสีหน้าด้านข้างของเขาที่กำลังทำสีหน้าจริงจัง ในใจแอบทอดถอนใจ เด็กหนุ่มซื่อบื้อที่วัดเมี่ยวฝ่า บริกรต่ำต้อยที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุ มองไม่เห็นฉากที่มีใบหน้ายิ้มทะเล้นหรือยามคำรามอย่างเลือดร้อนจากตัวเขาอีกแล้ ความสุขที่เรียบง่ายบางอย่างห่างจากตัวเขาไปไกลแล้ว แทนที่ด้วยอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว
พูดจากใจจริง นางไม่ชอบอ๋องสวรรค์หนิวที่พอขยับคิ้วและดวงตานิดเดียวก็ทำให้คนตกใจได้ นางชอบเด็กหนุ่มซื่อบื้อที่มีใบหน้ายิ้มทะเล้นคนนั้นมากกว่า…
หลังจากนั้นหลายวัน ในห้องหนังสือ หลังจากเหมียวอี้นั่งลงหลังโต๊ะยาว อวิ๋นจือชิวก็นำน้ำชามาวางตรงหน้าเขา ดวงตางามกวาดมองหยางชิ่ง แล้วเอ่ยว่า “คนฝั่งหน่วยองครักษ์ซ้ายส่งข่าวมาแล้ว พวกเขารู้จักคนทางหน่วยองครักษ์ซ้าย มีคนจำนวนหนึ่งหายตัวไปหลายพันปีจริงๆ ส่วนรายละเอียดพวกเขาไม่รู้ชัดเจน กองทัพองครักษ์ไม่อนุญาตให้สืบภารกิจระหว่างกัน ถ้ารวมจำนวนคนของแต่ละหน่วยที่พวกเขารู้จัก ก็มีประมาณสองสามแสนคน ทั้งหมดล้วนเป็นทหารเกรียงไกร จำนวนโดยละเอียดไม่ได้มีเท่านี้แน่”
เหมียวอี้ยกน้ำชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง วางถ้วยน้ำชาลงแล้วบอกว่า “ตระกูลเซี่ยโห้วส่งข่าวมาแล้ว ซีเหมินอู๋เหย่ ผู้ช่วยของโพ่จวินก็ไม่โผล่หน้ามาหลายพันปีแล้วเช่นกัน เบื้องล่างยังมีแม่ทัพบางส่วนที่เป็นแบบนี้ เวลาสอดคล้องกับคนที่ขาดการติดต่อกับพวกเราไป คนที่หายไปในเวลานั้นล้วนเป็นคนของหน่วยองครักษ์ซ้าย หน่วยองครักษ์ขวาไม่มีสถานการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น”
หยางชิ่งกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “ดูท่าแล้วเซี่ยโห้วท่าคงจะพูดถูกจริงๆ เพียงแต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ท่านอ๋องเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์หลายครั้งแต่ไม่เป็นอะไร ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาหาโอกาสลงมือไม่ได้หรือว่ายังไง หรือว่าพวกเราเดาผิด”
“ไม่ว่าจะยังไง ในเมื่อคาดคะเนอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้แล้ว ตอนนี้จะให้ท่านอ๋องไปเสี่ยงอันตรายอีกไม่ได้ สืบเรื่องนี้ให้กระจ่างก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หยางเจาชิงกล่าว
“เรื่องนี้ไม่ยาก เฮยทั่นอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์พอจะมีอำนาจอยู่บ้าง พวกวิญญาณชั่วร้ายที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ถูกเฮยทั่นโจมตีจนกลัวแล้ว ไม่มีใครกล้าไม่ไว้หน้าเฮยทั่น เรื่องนี้เดี๋ยวข้าจะให้เฮยทั่นสั่งวิญญาณชั่วร้ายให้สำรวจแดนมรณะดึกดำบรรพ์ดีๆ สักรอบ สิ่งที่ข้าคิดตอนนี้ก็คือ ไม่ว่าคนของประมุขชิงจะแทรกซึมเข้าไปในแดนมรณะดึกดำบรรพ์หรือไม่ ถ้าเขาวางแผนจะทำอย่างนี้จริงๆ แล้วพวกเราจะรับมือยังไง จะต้องเริ่มฉีกหน้ากันจริงๆ แล้วเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ…
พอออกจากเรือนชั้นในของจวนท่านอ๋องไป หยางชิ่งที่กำลังครุ่นคิดก็เดินช้าๆ เข้ามาใกล้เรือนพักของตัวเอง ตอนที่เพิ่งเลี้ยวผ่านประตูไปได้ไม่นาน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงพูดหยามเหยียด “วันๆ ในท้องมีแต่ความคิดเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายขายขี้หน้า”
หยางชิ่งเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงง อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา ช่างบังเอิญจริงๆ ไม่ใช่ใครที่ไหน ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นซูอวิ้นที่เพิ่งเดินออกจากเรือนมาพอดี
ด้านข้างก็คือเรือนพักของซูอวิ้น ที่จริงบริเวณนี้ล้วนเป็นที่พักของลูกน้องหรือไม่ก็ผู้ช่วยในจวนท่านอ๋อง หยางชิ่งก็พักอยู่บริเวณนี้เช่นกัน อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลมาก
“ข้าจะเอาความคิดเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายขายขี้หน้ามาจากไหน?” หยางชิ่งเดินเข้ามาใกล้แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ซูอวิ้นจ้องใบหน้าของเขาพลางแสยะยิ้ม “เจ้ามีหน้าไปเจอคนอื่นหรือเปล่าล่ะ?”
“อยากจะถอดก็ถอด ข้าไม่หลบหรอก ถึงยังไงต่อให้เจ้าจะถอดหรือไม่ถอดก็เป็นอย่างนี้อยู่ดี” หยางชิ่งกล่าวกลั้วหัวเราะ
พอซูอวิ้นได้ฟัง ก็แค้นจนกัดฟันกรอด ชั่วขณะนั้นข่มไฟโกรธไม่ได้ ลงมือกะทันกัน ฉีกหน้ากากบนใบหน้าหยางชิ่งออกมา
หยางชิ่งอึ้งทันที นึกไม่ถึงนิดหน่อย
พอฉีกหน้ากากติดมือมา ซูอวิ้นก็อึ้งเช่นเดียวกัน นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะทำอย่างนี้ลงไป เป็นเพราะหลายปีมานี้ถูกหยางชิ่งรังแกจนขื่นขมแล้วจริงๆ ควบคุมไฟโกรธไม่ไหว ดวงตางามอดไม่ได้ที่จะจ้องใบหน้าซูบผอมและจอนของข้างที่แซมด้วยผมขาวของหยางชิ่ง รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ก็เหมือนไม่เคยเห็น ดวงตาทั้งคู่ของอีกฝ่ายเผยความลึกล้ำ
หยางชิ่งยื่นมือไปหยิบหน้ากากกลับมา ซูอวิ้นก็รีบยื่นคืนให้เช่นกัน
ใครจะคิดว่าความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นตอนนี้ หยางชิ่งคว้ามือที่กำลังถือหน้ากาก แล้วจู่ๆ ก็ถือโอกาสดึงข้อมือซูอวิ้นเข้ามา ซูอวิ้นไม่ได้เตรียมใจเลยแม้แต่น้อย นางทำอะไรไม่ถูก ชนกระแทกเข้ามาในอ้อมอกของหยางชิ่โดยตรง ถูกหยางชิ่งกอดไว้ในอ้อมอกแล้ว ริมฝีปากที่หนาและอบอุ่นประทับลงบนริมฝีปากนางโดยตรง
ซูอวิ้นราวกับถูกฟ้าผ่า นางเบิกตากว้าง ดิ้นรนผลักหยางชิ่งออกไป พร้อมถือโอกาสตบเขาอย่างแรงหนึ่งฉาด
นางเห็นหยางชิ่งยื่นนิ่งไม่ขยับ กำลังมองนางพร้อมยิ้มบางๆ นางคิดแวบหนึ่งว่าจะหยุดมือ แต่ก็ไม่ได้หยุดมือ
หยางชิ่งไม่ขยับเขยื้อน และไม่หลบด้วย
เพี้ยะ! เสียงตบหน้าดังฟังชัด ตบหน้าหยางชิ่งอย่างแรง หยางชิ่งไม่ได้ป้องกันใดๆ หน้ากากเบี้ยวเล็กน้อย เลือดสดไหลออกจากรูจมูก เลือดสดกระเด็นออกมาไกลมาก
ใบหน้าด้านข้างปรากฏรอยมือชัดเจน เลือดสดกำลังไหลออกจากจมูก หยางชิ่งหันช้าๆ กลับไปมองนาง ใบหน้าฝืนยิ้มโดยไม่พูดอะไร
ซูอวิ้นตะลึงค้างอีกครั้ง นึกไม่ถึงว่าหยางชิ่งจะไม่หลบ และไม่ป้องกันใดๆ ทนรับฝ่ามือของนางอย่างนี้ เลือดสดที่ไหลหยดลงบนคอเสื้อของเขาชัดเจนมาก
หยางชิ่งก้าวขึ้นมา ก้าวเข้ามาใกล้นาง ยื่นมือหยิบหน้ากากบนมือนางอีก แล้วก็คว้าข้อมือนางดึงเข้ามา ดึงมาไว้ในอ้อมกอดเสียเลย
ซูอวิ้นก็ไม่รู้ชัด่วาเพราะอะไร หลังจากดิ้นรนสองสามครั้งแล้วหยางชิ่งไม่ยอมปล่อย จู่ๆ นางก็มุดหน้าซบอกหยางชิ่งร้องไห้ นางสะอื้นพลางกำหมัดทุบหน้าอกเขา “ทำไมต้องรังแกข้าอย่างนี้ ทำไมไม่ยอมปล่อยข้าไป…” แม้นางจะพยายามควบคุมเสียงร้องไห้ แต่ก็เหมือนจะร้องไห้อย่างปวดใจแล้วจริงๆ
นางรู้สึกว่าได้รับความไม่ยุติธรรมแล้วจริงๆ ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ หลังจากลงนามสัญญา ‘ตายแล้วฝังหลุมศพเดียวกัน’ ฉบับนั้น หยางชิ่งก็ไม่เคยปล่อยนางไปเลย เปลี่ยนวิธีการมาทรมานนางตลอด ซูอวิ้นที่เดิมทีมีความมั่นใจกับสมองของตัวเองมาก ตอนนี้แทบจะประสาทเสียเพราะหยางชิ่งแล้ว สติปัญญาโดนบดขยี้แล้วจริงๆ หลายปีมานี้อีกฝ่ายรังแกนางเพื่อความบันเทิง ทำเอานางเกิดความสงสัยในชีวิต พอเห็นหยางชิ่งก็รู้สึกไม่มั่นใจ แทบจะเสียความมั่นใจในตัวเองแล้ว ยามเผชิญหน้ากับหยางชิ่งก็เหลือแค่ความปากแข็งเท่านั้น
“ขอโทษ เพราะข้าชอบเจ้าถึงได้ทำอย่างนี้!” หยางชิ่งพึมพำข้างหูนาง
ซูอวิ้นน้ำตาไหลอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ออกแรงผลักเขา
หยางชิ่งโน้มตัวรวบสองขาของนาง อุ้มนางเข้าไปในเรือนของนางโดยตรง…
บนเตียงนอน ซูอวิ้นที่นอนเปลือยขดตัวอยู่บนเตียงปล่อยผมยาวสยาย นางกำลังหันหลังให้หยางชิ่ง แววตาค่อนข้างเลื่อนลอย นางสับสนแล้วจริงๆ พอนึกถึงเหตุการณ์หยาบคายเกินทนมองที่เพิ่งเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองเลอะเลือนทำเรื่องอย่างนั้นกับเขาแล้ว น้ำตาไหลขณะทำอย่างนั้นกับเขา ถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นคนอย่างไร
หยางชิ่งที่นอนแนบแผ่นหลังนางได้แต่กอดนางเงียบๆ มือข้างหนึ่งเลื้อยขึ้นเลื้อยลงบนตัวนาง
หลังจากเงียบไปนาน แสงสว่างนอกหน้าต่างเริ่มมืดลง หยางชิ่งก็กล่าวเสียงเบาว่า “นึกไม่ถึงว่าเจ้ายังมีร่างกายที่บริสุทธิ์ ข้าจ่ายด้วยเลือด เจ้าเองก็จ่ายด้วยเลือดเช่นกัน พวกเราเท่าเทียมกันแล้ว!”
“ไร้ยางอาย!” ซูอวิ้นพึมพำด่า
“ยังอยากด่าอีกเหรอ?” หยางชิ่งถาม
“ไสหัวไป!” ซูอวิ้นกัดริมฝีปากตะคอก
หยางชิ่งลุกนั่งข้างกายนาง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ที่จริงเซี่ยโห้วท่ายังไม่ตาย”
ซูอวิ้นพลันหันมามองนาง แววตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง “เรื่องเป็นยังไง?”
“ข้าไปก่อนละ” หยางชิ่งหยิบเสื้อผ้าทำท่าจะสวมใส่
“พูดมาให้ชัดเจน!” ซูอวิ้นกล่าวอย่างหมั่นไส้
หยางชิ่งโยนเสื้อผ้าทิ้ง แล้วโถมตัวลงกอดนางอีกครั้ง “นี่เจ้าไม่ให้ข้าไปเองนะ…”
แดนมรณะดึกดำบรรพ์ บนยอดเขาที่มีปราณมรณะก่อตัวเป็นป่า เฮยทั่นเดินวางมาดเข้ามาในค่ายภูเขาแห่งหนึ่งท่ามกลางการรายล้อมของบรรดาวิญญาณชั่วร้าย
ในค่ายภูเขามีกลุ่มวิญญาณชั่วร้ายมารวมตัวกันอยู่นานแล้ว พอเห็นเฮยทั่นเข้ามา ทั้งชายทั้งหญิงก็พากันกุมหมัดคารวะ “คุณชายเฮย!”
ในน้ำเสียงเผยความเป็นมิตร และเผยความเคารพนับถือ ทั้งยังแฝงความเกรงกลัวด้วย
“หึหึ!” เฮยทั่นยิ้มพลางโบกมือให้ทุกคน แล้วเดินขึ้นบันไดไปนั่งประจำที่นั่งที่เตรียมไว้แล้ว นั่งลงท่ามกลางทุกคนอย่างไม่ยี่หระ ทำท่าเหมือนตัวเองยิ่งใหญ่ที่สุด
บนโต๊ะตรงหน้าวางไข่มุกวิญญาณไว้สองถาด เป็นไข่มุกวิญญาณหลายสี เฮยทั่นคว้าเข้าปากอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง พอกลืนลงไปแล้วก็เหมือนยังไม่หนำใจ ยกถาดใหญ่ที่ใส่ไข่มุกวิญญาณขึ้นมากระดกหน้ากรอกใส่ปากเสียเลย
กลุ่มวิญญาณชั่วร้ายที่ยืนอยู่ด้านล่างขนหัวลุก ต่างก็รู้ว่าคุณชายเฮยไม่เพียงแค่กินสิ่งนี้ ทั้งยังกินคนได้ด้วย เวลาไม่พอใจก็จับวิญญาณชั่วร้ายฉีกแขนฉีกขายัดเข้าปากเลย บางครั้งก็อุ้มคนขึ้นมากินโดยตรง
เมื่อกรอกไข่มุกวิญญาณหลากสีสองถาดเข้าปากอย่างต่อเนื่องแล้ว เฮยทั่นถึงได้เช็ดปากลูบท้อง แล้วพูดกับกลุ่มคนอย่างร่าเริงว่า “ที่เรียกรวมทุกคนมาครั้งน้ ก็เพราะมีเรื่องเล็กน้อยให้ทุกคนช่วยหน่อย ไม่รู้ว่าทุกคนจะเต็มใจหรือเปล่า”
ประมุขค่ายภูเขาที่อยู่ข้างๆ กล่าวเสียงดังทันทีว่า “คุณชายเฮยพูดแบบนี้แล้ว ถ้าคุณชายเฮยมีอะไรจะกำชับก็สั่งมาได้เลย ต่อให้พวกเราบุกน้ำลุยไฟก็ไม่เสียดาย!”
……………