พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2151 เข้าใจเส้นทางแล้วว่าควรเดินอย่างไร
สำหรับเหมียวอี้แล้ว ก็ขี้คร้านจะสนใจว่าเฉาหม่านจะคิดอย่างไร เมื่อรู้ว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถูกส่งไปที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลแล้ว ก็ได้แต่บอกให้หยางชิ่งรู้ ตระกูลเซี่ยโห้วในตอนนี้อยู่ในมือเขาแล้ว ถ้าเฉาหม่านไม่เชื่อฟัง เขาก็ไม่ถือสาที่จะเปลี่ยนหัวหน้าตระกูลคนใหม่
นี่ก็คือสุดยอดความมั่นใจที่ทำให้เหมียวอี้กล้าฉีกหน้าประมุขชิง!
ดาวจันทร์อี่ ทะเลสีเขียวมรกต บนเกาะที่โดดเดี่ยว นอกอาณาเขตที่ปราสาทดำเนินจันทร์แบ่งให้จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ในป่ามีกระท่อมสร้างขึ้นหลายแห่ง
เอ๋อเหมยและบรรดาสาวใช้เดินเฝ้าระวังอยู่รอบๆ
ใต้ร่มไม้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ใช้มือกอบดอกไม้ป่าขึ้นมาดมกลิ่นหอม ทำสีหน้าดื่มด่ำเล็กน้อย กลิ่นหอมอาจจะสู้ดอกไม้แปลกตานานาชนิดในวังไม่ได้ แต่นางกำลังดมกลิ่นของอิสระ
ตระกูลเซี่ยโห้วก็แค่จัดเตรียมให้คนมาอยู่ที่นี่ ส่งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เข้ามาอยู่ในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลอย่างไม่มีอุปสรรรคมากนัก
ที่จริงนี่คือความคิดของหยางชิ่ง ก่อนที่จะวางแผนเรื่องนี้ให้เหมาะสม ก็ยังไม่สะดวกให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่โผล่หน้าอยู่ในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลตอนนี้
ริมทะเล จู่ๆ ก็มีเงาคนคนหนึ่งฝ่าคลื่นน้ำขึ้นมา พวกเอ๋อเหมยรีบชักกระบี่ขึ้นมาเฝ้าระวัง จนกระทั่งจำได้ว่าเป็นชิงหยวนจุน จึงพากันกุมหมัดคารวะ “องค์ชาย!”
“เสด็จแม่ล่ะ?” ชิงหยวนจุนถามอย่างร้อนใจ
“หยวนจุน!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยืนขึ้นด้านหลังร่มไม้ที่กำบังอยู่ไม่ไกล แล้วตะโกนเรียก
ชิงหยวนจุนตาเป็นประกาย รีบเดินเข้าไปใกล้แล้วคุกเข่าล โขกหน้าผากกับพื้นพร้อมบอกว่า “ลูกชายอกตัญญู ปล่อยให้เสด็จแม่ได้รับความลำบาก!” ในเสียงพูดปนด้วยเสียงสะอื้น
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่สีหน้าเรียบเฉยถูกกล่อมเกลาทางความรู้สึก เริ่มกอดศีรษะลูกชายเอาไว้ น้ำตาไหลออกมาแล้วเช่นกัน “แม่ไม่มีประโยชน์เอง…” นางปาดน้ำตา แล้วรีบประคองชิงหยวนจุนขึ้นมา “รีบลุกขึ้นเถอะ รีบลุกขึ้นมา!”
ชิงหยวนจุนลุกขึ้นยืน สองแม่ลูกปาดน้ำตาให้กันและกัน แล้วจู่ๆ ก็เริ่มยิ้มพร้อมกัน ท่าทางเหมือนดีใจจนน้ำตาไหล
จนกระทั่งทั้งสองสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ชิงหยวนจุนก็บอกว่า “ก่อนหน้านี้ท่านบุรุษขอให้อ๋องสวรรค์หนิวช่วยเสด็จแม่ออกมาจากวัง ลูกยังคิดว่าคงไม่ง่ายขนาดนั้น นึกไม่ถึงว่าใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน เรื่องนี้ก็สำเร็จแล้ว ให้ลูกได้มาเจอหน้าเสด็จแม่แล้ว เสด็จแม่ ต่อไปนี้พวกเราแม่ลูกก็ไม่ต้องแยกจากกันอีกแล้ว ลูกจะไม่ให้เสด็จแม่โดนคนอื่นชักสีหน้าใส่อีก ไม่ต้องกลับวังสวรรค์ก็ได้!”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่คว้าข้อมือเขา แล้วส่ายหน้าด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว “ไม่! ต้องกลับไป ข้าต้องกลับไปอย่างสง่าผ่าเผยพร้อมลูกชายตัวเอง!”
ชิงหยวนจุนฟังออกถึงความหมายลึกๆ ในคำพูดของนางแล้ว เขาพยักหน้า หลังจากกวาดสายตาไปยังกระท่อมรอบๆ ก็พูดด้วยสีหน้าหดหู่ว่า “ให้มารดาได้รับความลำบากที่นี่ ลูกชายช่าง…”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตั้งฝ่ามือห้าม “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ตอนอยู่วังสวรรค์มีความลำบากอะไรบ้างที่ข้าไม่เคยเจอ ในเมื่อให้ข้าอยู่ที่นี่ชั่วคราว คงจะเป็นความคิดของเจ้าสินะ ข้าจะไม่เชื่อลูกชายตัวเองอีกเหรอ!”
ชิงหยวนจุนกล่าวอย่างอับอาย “พูดแล้วก็ละอายใจ นี่ไม่ใช่ความคิดของลูก นี่เป็นคำแนะนำของท่านบุรุษหยาง เขาคิดว่าเสด็จแม่ยังไม่ควรเปิดเผยตัวที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล และไม่สะดวกจะทำการก่อสร้างใหญ่โตที่นี่ด้วย”
พอพูดถึงหยางชิ่ง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เผยสีหน้าครุ่นคิด ถามว่า “หยวนจุน เจ้ารู้สึกว่าท่านบุรุษหยางเป็นยังไงบ้าง?”
ชิงหยวนจุนตอบอย่างลังเลนิดหน่อย “ตอนนี้ยังไม่ได้คลุกคลีมากนัก ลูกไม่สะดวกจะเข้าออกห้องสมาธิไปพบเขาบ่อยเกินไป จึงไม่ได้รู้จักลึกซึ้ง ยังสรุปไม่ได้ แต่เหมือนจะพูดจาดูมีความรู้อยู่บ้าง ให้ความรู้สึกว่าพูดตรงจุด!”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่บอกว่า “ไป พาข้าไปดูหน่อย อยากจะเห็นว่าเป็นคนมีความสามารถจริงหรือเปล่า!”
“เอ่อ…” ชิงหยวนจุนรีบบอกว่า “ถ้าเสด็จแม่อยากเจอเขา เดี๋ยวลูกพาเขามาก็ได้ จะรบกวนให้เสด็จแม่เทียวไปเทียวมาได้ยังไง”
“เอ ถ้าเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นจริงๆ ข้าจะลดเกียรติไปเยี่ยมคำนับสักหน่อยแล้วจะเป็นไรไป? เจ้ากับข้ามีแค่สถานะที่เอาไว้โอ้อวดคนในใต้หล้า แต่กลับต้องระมัดระวังตัวขนาดนี้ โดนทุกคนรังแก ไม่ใช่เพราะไร้คนมีประโยชน์เอาไว้ใช้งานหรอกเหรอ? ถ้าเขาคือผู้เก่งกาจที่สนับสนุนให้หนิวโหย่วเต๋อกลายเป็นอ๋องสวรรค์ทัพใต้จริงๆ อย่าว่าแต่ลดเกียรติเลย ต่อให้ข้าหมอบกราบก็ยังได้ อย่าไปคิดเล็กคิดน้อยกับรายละเอียดยิบย่อยพวกนั้น ไปกันเถอะ!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่โบกมือ ลักษณะพลังอำนาจของราชินีสวรรค์ยังคงอยู่ อากัปกิริยาย่อมน่าเกรงขาม
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ชิงหยวนจุนก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรมากแล้ว ทำได้เพียงปล่อยให้นางลำบาก เก็บนางเข้ากระเป๋าสัตว์ พานางดำลงไปในทะเลกลับไปอีกครั้ง
พอกลับถึงจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เขาย่อมไม่ต้องถูกตรวจสอบ สามารถพาเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เข้าไปได้อย่างง่ายดาย
พอมาถึงห้องสมาธิ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่โผล่หน้ามา หยางชิ่งก็อึ้เล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าชิงหยวนจุนจะพานางมาแล้ว จึงรีบกุมหมัดคารวะด้วยความเคารพ “ข้าน้อยคำนับราชินีสวรรค์!”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยกแขนเสื้อมาตรงหน้าเบาๆ มองประเมินหยางชิ่งเล็กน้อย แล้วสุดท้ายก็พยักหน้าบอกว่า “ใช่แล้ว แม้จะไม่ได้จำได้ลึกซึ้ง แต่พวกเราก็เคยพบกันที่อุทยานหลวง ตอนนั้นเจ้ายังฟังคำสั่งอยู่ไหนกองมังกรดำของหนิวโหย่วเต๋อสินะ?”
หยางชิ่งเดาว่าอีกฝ่ายคงรู้ตัวตนของตัวเองแล้วเท่านั้น เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ในปีนั้นไม่เคยมองเขาตรงๆ เลย จะไปมีความทรงจำกับเขาเสียที่ไหนกัน แต่ปากยังกล่าวอย่างเคารพว่า “เหนียงเหนียงความจำดีจริงๆ ด้วย ตอนนั้นเคยพบเหนียงเหนียงแล้วจริงๆ”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถามเหมือนแปลกใจนิดหน่อย “ทำไมจู่ๆ ‘ปิดบังชื่อจริง’ แล้วจากไปล่ะ?” ถ้าเป็นเมื่อก่อนต้องไม่ได้ปิดบังชื่อจริงแน่นอน การหลอกลวงตำหนักสวรรค์การทำผิดกฎชัดๆ
หยางชิ่งย่อมมีคำพูดรับมือ “ในปีนั้นท่านอ๋องล่วงเกินตระกูลอิ๋ง สถานการณ์ล่อแหลมมาก เพื่อที่จะรักษากำลังไว้ ถึงได้ใช้แผนการนี้!”
“ตระกูลอิ๋งน่าแค้นจริงๆ!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำเสียงฮึดฮัด ความไม่พอใจที่มีต่อตระกูลอิ๋ง ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็อดทนไม่ได้ทั้งนั้น แต่มาที่นี่ก็ย่อมไม่ได้มาเพื่อคุยเล่นเฉยๆ วกเข้าประเด็นหลักแล้ว “ท่านบุรุษแนะนำให้องค์ชายปกป้องอำนาจทางทหารเอาไว้ก่อนเหรอ?”
“ถ้ามีอำนาจทางทหารอยู่ในมือ ฝ่าบาทก็ไม่กล้าถอดองค์ชายออกจากตำแหน่งง่ายๆ!” หยางชิ่ง
“แต่ทัพเกรียงไกรห้าสิบล้านของฝั่งนี้ล้วนย้ายมาจากกองทัพองครักษ์ ฝ่าบาทควบคุมไว้แน่นหนา แล้วเราจะควบคุมได้ยังไง?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถาม
หยางชิ่งส่ายหน้า “ควบคุมไว้แน่นหนาเหรอ เกรงว่าจะไม่แน่หรอกกระมัง?”
“ยินดีฟังความเห็นอันสูงส่ง” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ฮึกเหิมทันที
“ข้าน้อยมาพบองค์ชายที่นี่ได้ เป็นเพราะท่านอ๋องขอให้ตระกูลเซี่ยโห้วช่วยขอรับ” หยางชิ่งเตือน
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับชิงหยวนจุนสบตากันแวบหนึ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนหวาดหวั่น มีเรื่องมากมายที่ทั้งสองไม่เข้าใจเลย ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าเป็นความสามารถของเหมียวอี้เอง แน่นอน หยางชิ่งไม่มีทางเปิดเผยให้สองคนนี้รู้ว่าเหมียวอี้แทรกคนของตัวเองไว้ในกองทัพองครักษ์ตั้งนานแล้ว
“ท่านบุรุษกำลังหมายความว่า ตระกูลเซี่ยโห้วแทรกซึมทัพใหญ่แดนรัตติกาลมาตั้งแต่ต้นแล้วเหรอ?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ลองถาม
“แค่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเสียที่ไหน กองทัพองครักษ์แล้วยังไง? เหนียงเหนียงคิดจริงเหรอว่าตระกูลเซี่ยโห้วไม่รู้เรื่องที่เกิดที่ตำหนักเย็น? ต่อให้คนข้างกายเหนียงเหนียงไม่รายงานขึ้นมา แม้แต่เรื่องที่เหนียงเหนียงตบหน้าจ้านหรูอี้หลายครั้ง เกรงว่าคนของตระกูลเซี่ยโห้วก็คงรู้อย่างชัดเจนด้วยซ้ำ ไม่ใช่ไม่รู้ แต่แค่ไม่พูดเท่านั้นเอง” หยางชิ่งตอบ
พอได้ยินแบบนี้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็กัดฟัน อารมณ์คับแค้นพรั่งพรูขึ้นมาในใจอีกครั้ง ถ้าเป็นความจริง เช่นนั้นก็แสดงว่าตระกูลเซี่ยโห้วรู้ตั้งนานแล้วจริงๆ ว่าจ้านหรูอี้สามารถเข้าออกตำหนักเย็นได้อย่างอิสระ เพียงแต่ปิดบังนางเหมือนคนโง่ก็เท่านั้นเอง “เจ้าหมายความว่า ตำหนักเย็นก็มีคนของตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนกันเหรอ?”
หยางชิ่งไม่ได้หันมาตอบซึ่งๆ หน้า “ตระกูลเซี่ยโห้วเป็นต้นไม้ใหญ่รากลึก หยั่งรากอยู่ในใต้หล้ามานาน แม้แต่ท่านอ๋องก็ยังไม่รู้ว่าในอาณาเขตทัพใต้ของตัวเองมีคนของตระกูลเซี่ยโห้วอยู่เท่าไร ตอนแรกที่ท่านอ๋องโค่นล้มฮ่าวเต๋อฟาง เกรงว่าต่อให้นอนฝันฮ่าวเต๋อฟางก็นึกไม่ถึงว่าในบรรดาลูกน้องคนสนิทข้างกายจะมีคนของตระกูลเซี่ยโห้วด้วย ฝ่าบาทมีกำลังทหารเกรียงไกร แต่ทำไมกลับหวาดกลัวตระกูลเซี่ยโห้วล่ะ? เหนียงเหนียงเคยได้ยินหรือเปล่าว่า ครองตระกูลเซี่ยโห้วได้ ก็ครองใต้หล้าได้!”
สองแม่ลูกเม้มริมฝีปากแน่น เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รอครู่หนึ่งแล้วถามอีกว่า “ตระกูลของข้าคงไม่ช่วยพวกเราสองแม่ลูกทำเรื่องแบบนี้แน่นอน”
“เหนียงเหนียงรู้หรือเปล่าว่าทำไมตระกูลเซี่ยโห้วรู้ว่าเหนียงเหนียงกับองค์ชายเป็นญาติของตระกูลเซี่ยโห้ว แต่ไม่ยอมยื่นมือสนับสนุน?” หยางชิ่งถาม
สองแม่ลูกสบตากันแวบหนึ่ง นี่ก็คือจุดที่สองแม่ลูกรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยื่นมือเล็กน้อย บอกใบ้ว่าเชิญพูด
หยางชิ่งพูดต่อไปว่า “เพราะตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่ทำเรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสีย” เขามองชิงหยวนจุนแวบหนึ่ง “สำหรับตระกูลเซี่ยโห้ว องค์ชายนับว่าเป็นหลานนอกของตระกูลเซี่ยโห้ว แต่แล้วยังไงล่ะ? ตระกูลเซี่ยโห้วยืนตระหง่านมาได้ถึงทุกวันนี้ สนบสนุนประมุขให้ขึ้นตำแหน่งมาหลายยุค มีจุดร่วมกันอย่างหนึ่ง นั่นก็คือพวกเขาจะสนับสนุนคนที่สนับสนุนได้เท่านั้น ไม่มีทางไปสนับสนุนใครส่งเดช เป้าหมายที่ตระกูลเซี่ยโห้วเลือกมักจะมีศักยภาพในระดับหนึ่ง สำหรับตระกูลเซี่ยโห้วตอนนี้ องค์ชายยังไม่มีศักยภาพเพียงพอให้พวกเขาจ่ายทรัพยากรสนับสนุน แต่ถ้าองค์ชายคุมทัพใหญ่ห้าสิบล้านนี้ได้ เช่นนั้นสถานการณ์ก็ต่างออกไปแล้ว เพราะในมือองค์ชายมีศักยภาพในระดับหนึ่ง กอปรกับสถานะหลานนอกขององค์ชาย ความสนใจที่ตระกูลเซี่ยโห้วมีต่อองค์ชายก็ย่อมมากขึ้น ถึงตอนนั้นสถานการณ์ก็จะไม่เหมือนเดิมแล้ว…ถ้าจะให้พูดแบบจาบจ้วงก็คือ ถ้ามีเงื่อนไขเหมาะสมแล้ว เกรงว่าตระกูลเซี่ยโห้วอาจจะสนับสนุนองค์ชายให้แทนที่ฝ่าบาทก็ได้!”
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ สองแม่ลูกก็หัวใจเต้นรัว คำพูดนี้อุกอาจมากจริงๆ โดยเฉพาะการพูดออกมาต่อหน้าพวกเขา แต่สองแม่ลูกก็ไม่มีใครรู้สึกว่าหยางชิ่งพูดจาไม่เหมาะสม กลับเข้าใจกระจ่างด้วยซ้ำ ที่แท้สาเหตุที่ตระกูลเซี่ยโห้วไม่แยแสพวกเขา ก็เป็นเพราะพวกเขาสองแม่ลูกมีศักยภาพไม่พอนี่เอง ไม่ควรค่าให้ตระกูลเซี่ยโห้วออกแรงสนับสนุน
พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ ไม่น่าเชื่อว่าสองแม่ลูกจะรู้สึกเหมือนเห็นแสงสว่างพร้อมกัน แม้ตรงหน้าจะไม่มีอะไรเลย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นชัดเจนว่าเส้นทางอยู่ทางทิศไหน เป็นความรู้สึกยามได้เห็นความหวังอย่างแท้จริง เข้าใจเส้นทางแล้วว่าควรเดินอย่างไร
สายตาที่สองแม่ลูกมองหยางชิ่งไม่เหมือนเดิมแล้ว ต่างก็แอบคิดในใจว่า คนผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย พูดสองสามประโยคก็ชี้แนะทิศทางให้พวกเขาได้แล้ว
พวกเขาเข้าใจอย่างแท้จริงแล้ว ต้องวางแผนให้เติบโตมากกว่านี้ คว้าอำนาจทางทหารที่อยู่ตรงหน้าเอาไว้คือเรื่องที่สำคัญที่สุด
ชิงหยวนจุนอดไม่ได้ที่จะพูดแทรก “ท่านบุรุษพูดเช่นนี้ก็เหมือนไม่ได้พูดอะไร…”
“หยวนจุน อย่าเสียมารยาท ท่านบุรุษย่อมมีความเห็นอันสูงส่งอยู่แล้ว!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตะคอกลูกชาย
หยางชิ่งยิ้มบางๆ “ตระกูลเซี่ยโห้วย่อมไม่ช่วยองค์ชายง่ายๆ ก็อย่างที่บอก ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีทางทำเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ผลประโยชน์ แต่เบื้องหลังของเหนียงเหนียงมีท่านอ๋อง ถ้าท่านอ๋องออกหน้านำผลประโยชน์มาแลกเปลี่ยนกับตระกูลเซี่ยโห้ว ขอเพียงเป็นสิ่งที่ทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วหวั่นไหวได้ ตระกูลเซี่ยโห้วก็ย่อมช่วยอยู่แล้ว ในจุดนี้ท่านอ๋องน่าจะทำได้ และด้วยความแค้นระหว่างท่านอ๋องกับจ้านหรูอี้ ก็ไม่มีทางปล่อยให้จ้านหรูอี้ขึ้นสู่ตำแหน่งเด็ดขาด จะต้องช่วยองค์ชายแน่นอน”
ชิงหยวนจุนขมวดคิ้วสงสัย “ต่อให้ตระกูลเซี่ยโห้วยินดีช่วย แต่ก็เกรงว่าจะควบคุมทั้งทัพใหญ่แดนรัตติกาลลำบาก ในจำนวนนั้นมีคนที่จงรักภักดีต่อฝ่าบาทอยู่ไม่น้อย ถึงตอนนั้นเกรงว่าจะทำให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลวุ่นวายภายในเสียเอง แล้วยังจะกุมอำนาจทางทหารได้ยังไง?”
…………………