พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2154.2 โลเลเหมือนหนู (2)
ตระกูลเซี่ยโห้วช่วยเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ออกจากสถานที่กักบริเวณ บอกว่าให้กลับไปเยี่ยมญาติ แต่กลับส่งคนไปที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ให้สองแม่ลูกได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน กอปรกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตำหนักเย็น เดิมทีก็ทำให้เขาเดาได้ง่ายอยู่แล้วว่าฝั่งชิงหยวนจุนจะมีความคิดอะไร เขาถึงขั้นเตรียมตัวจะปลดอำนาจทางทหารจากชิงหยวนจุนแล้วด้วย ตอนนี้ตระกูลเซี่ยโห้วทำอย่างนี้ ทำให้คนรู้สึกเหมือนช่วยเหลือตัวประกัน ก็ยิ่งทำให้เขาหวาดระแวง
ซ่างกวนชิงกล่าวอย่างลังเลว่า “บางทีเหนียงเหนียงกับองค์ชายอาจจะห่างจากกันไปนาน มารดากับบุตรคงอยากเจอกันสักหน่อยขอรับ”
ประมุขชิงกวาดสายตามองเขาอย่างเย็นเยียบแวบหนึ่ง “ถ้าจะไป ทำไมไม่บอกข้าก่อน?”
ซ่างกวนชิงไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี โดยทั่วไปยามแม่ลูกพบกันก็ไม่ได้พิถีพิถันมากขนาดนั้น แต่ครอบครัวของราชันย่อมไม่มีเรื่องเล็ก ทุกเรื่องล้วนต้องพูดและทำอย่างระมัดระวัง เรื่องอะไรที่ทำได้ เรื่องอะไรที่ทำไม่ได้ มีข้อห้ามเยอะมาก เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อยู่ที่วังสวรรค์มานานขนาดนี้ คงไม่ถึงขั้นไม่รู้แม้กระทั่งหลักการเล็กน้อยเหล่านี้ ต่อให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่เข้าใจ แต่ไม่มีเหตุผลที่ตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่เข้าใจ ทำเรื่องนี้ในเวลาที่ฝ่าบาทระแวงจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลที่สุด จะไม่ให้ฝ่าบาทคิดมากก็คงยาก
ก้มหน้าเดินไปเดินมาไม่กี่ก้าว จู่ๆ ประมุขชิงก็แสยะยิ้ม “จะปล่อยให้สถานการณ์คุมเชิงเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ถ่ายทอดบัญชา สั่งให้หนิวโหย่วเต๋อถอนกำลังพลที่กดดันทัพตะวันออก พร้อมสั่งให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลออกจากแดนรัตติกาลด้วย ให้ไปกดดันทัพใต้ ให้ความร่วมมือกับกองทัพองครักษ์กดดันให้ทัพใต้ถอนกำลัง!”
ซ่างกวนชิงแอบถอนหายใจ รู้ว่าให้หนิวโหย่วเต๋อถอนกำลังเป็นเรื่องโกหก เพราะเป็นไปไม่ได้ที่หนิวโหย่วเต๋อจะถอนกำลัง เพราะสามารถอ้างว่าทัพใหญ่ของอำนาจฝ่ายอื่นประชิดเขตแดนเพื่อปฏิเสธการถอนกำลังพลได้เลย เป้าหมายที่แท้จริงก็คือหยั่งเชิงชิงหยวนจุนต่างหาก เขากุมหมัดเอ่ยรับ “รับทราบ!”
สองบัญชาสวรรค์ถ่ายทอดไปถึงดาวอ๋องสวรรค์หนิวกับจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลอย่างรวดเร็ว
ห้องหนังสือของจวนท่านอ๋อง เหิงอู๋เต้า จอมพลสายมะเส็งเดินก้าวยาวเข้ามา แล้วกุมหมัดคารวะ “คารวะท่านอ๋อง!”
เหมียวอี้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวยื่นมือเชิญ “นั่งสิ!”
หยางเจาชิงย้ายเก้าอี้เข้ามาทันที เหิงอู๋เต้ากุมหมัดขอบคุณแล้วนั่งลง “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องเรียกข้าน้อยมาเพราะมีอะไรจะกำชับ?”
เหมียวอี้พิงเก้าอี้แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เตรียมจะให้เจ้าส่งอาณาเขตสายมะเส็งออกมา”
เหิงอู๋เต้าที่ก้นเพิ่งสัมผัสเก้าอี้ตกใจมาก พลันลุกขึ้นยืน “ท่านอ๋อง ข้าน้อย…”
เหมียวอี้ยกมือห้าม “เจ้าคิดมากไปแล้ว ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด ไม่ต้องเครียด นั่งลงคุยกัน”
เหิงอู๋เต้านั่งลงช้าๆ อย่างหวาดระแวง “เช่นนั้นท่านอ๋องหมายความว่าอะไร?”
รอยยิ้มเรียบๆ บนใบหน้าเหมียวอี้ยังไม่ลดลง “ข้าอยากได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นที่อยู่ในมือทัพใหญ่แดนรัตติกาล”
เหิงอู๋เต้าพลันเบิกตากว้างขึ้นหลายส่วน
เหมียวอี้กล่าวเสริมว่า “ประมุขชิงเลี้ยงทัพใหญ่แดนรัตติกาลอยู่ที่นั่น จอมพลเหิงรู้หรือเปล่าว่าเตรียมไว้เพื่อใคร?”
“เอ่อ…” เหิงอู๋เต้าครุ่นคิดเล็กน้อย “เกรงว่าจะเตรียมไว้ป้องกันท่านอ๋อง ช้าหรือเร็วก็ต้องทำไม่ดีกับทัพใต้”
เหมียวอี้พยักหน้า “ดีมาก ในเมื่อมองออกแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกับเจ้ามาก สายมะเส็งกับแดนรัตติกาลมีพื้นที่ติดต่อกัน แค่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่ออกมาก็เท่านั้นเอง ถ้าออกมาเมื่อไหร่เจ้าจะต้องหนังหน้าไฟแน่นอน นี่ก็เป็นสาเหตุที่ข้าเลือกให้เจ้าไปอยู่ที่สายมะเส็งตั้งแต่แรก เจ้าเป็นลูกน้องเก่าของข้าที่มาจากแดนรัตติกาล เป็นเพราะข้าเชื่อใจเจ้าถึงได้ให้เจ้าคุมสายมะเส็ง ถ้าต้องการธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้น ปัญหายุ่งยากในภายหลังอย่างทัพใหญ่แดนรัตติกาล ข้าจะต้องช่วยโอกาสกำจัดไปพร้อมกัน!”
ในใจเหิงอู๋เต้ายังคงระแวงไม่หยุด ถามว่า “ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับการให้ข้าน้อยมอบอาณาเขตสายมะเส็งให้?”
ในขณะนี้เอง หยางเจาชิงที่ถือระฆังดาราก็บอกกับเหมียวอี้ว่า “ท่านอ๋อง บัญชาของฝ่าบาทมาถึงแล้ว”
เหมียวอี้กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “บอกว่าข้าไปลาดตระเวนข้างนอกก็สิ้นเรื่องแล้ว ให้หวังเฟยไปรับบัญชาแทนข้าแล้วกัน”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ แล้วไปติดต่ออวิ๋นจือชิว
พอได้ยินบทสนทนานี้ เหิงอู๋เต้าก็กะพริบตาปริบๆ ตอนอยู่ต่อหน้าเขา ท่านอ๋องแสดงออกว่าไม่เห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตา
เหมียวอี้วกกลับเข้าประเด็นสนทนา บอกเขาว่า “แค่มอบสายมะเส็งให้ชั่วคราว ไม่ใช่จะตัดอำนาจทางทหารของเจ้า ที่เรียกเจ้ามา ก็เพราะอยากจะพูดต่อหน้าเจ้าให้ชัดเจน เจ้าจะได้ไม่หวาดระแวง อย่างอื่นเจ้าไม่ต้องถามมาก แค่ต้องให้เจ้าเตรียมใจก่อน ถ้าได้รับคำสั่งแต่งตั้งจากข้าเมื่อไร ก็ให้เริ่มเคลื่อนไหวทันที เรียกรวมกำลังพลเกรียงไกรในอาณาเขตสายมะเส็ง ถอนกำลังออกจากสายมะเส็ง มอบอาณาเขตให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลชั่วคราว ส่วนรายละเอียดเดี๋ยวบอกเจ้าอีกที จำไว้นะ ห้ามให้เรื่องที่พวกเราคุยกันแพร่งพรายสู่ภายนอก หลังจากได้รับคำสั่งแล้วแค่เคลื่อนย้ายกำลังพลก็พอ!”
พอได้ยินแบบนี้ เหิงอู๋เต้าก็วางใจแล้วไม่น้อย ไม่ปลดอำนาจทางทหารของเขาก็ดีแล้ว เพียงแต่นำอาณาเขตไปให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลแบบนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านอ๋องคิดจะทำอย่างไร แต่ก็เคยมีประสบการณ์มาแล้วถึงวิธีการที่ท่านอ๋องใช่คนล้มฮ่าวเต๋อฟาง ในใจรู้สึกว่าเหมียวอี้มีแผนล้ำลึกเหนื่อยชั้นยากคาดเดา ไม่ค่อยกังวลว่าจะทำอะไรพลาด ในเมื่อไม่อยากบอก เขาก็จะไม่ถามมาก ลุกขึ้นกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”
เหมียวอี้ลุกขึ้น แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาสักครั้ง ดื่มสุราด้วยกันสักสองจอกแล้วค่อยกลับ”
“ขอรับ!” เหิงอู๋เต้าเอ่ยรับพร้อมรอยยิ้ม
จากนั้นหยางเจาชิงก็สั่งให้คนเตรียมสุราอาหาร ส่วนเหมียวอี้กับเหิงอู๋เต้าก็เดินเล่นช้าๆ อยู่ในสวนดอกไม้ พร้อมถือโอกาสคุยถึงสถานการณ์ของสายมะเส็ง
ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็มาแล้ว บัญชาจากตำหนักสวรรค์ก็มาถึงแล้วเช่นกัน หลังจากเหมียวอี้รับมาอ่าน ก็แสยะยิ้มบอกว่า “ประมุขชิงให้ข้าถอนกำลังทหาร!” ถือโอกาสยื่นแผ่นหยกให้เหิงอู๋เต้าอ่าน
เหิงอู๋เต้าอ่านเสร็จแล้วคืนให้ “จะเป็นไปได้ยังไง กำลังพลสายอื่นล้วนกำลังเตรียมรบ ถ้าทัพใต้หละหลวม ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา พวกเราจะไปร้องไห้กับใครล่ะ? คำบัญชานี้ท่านอ๋องต้องไตร่ตรองนะขอรับ”
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ ไม่ได้ตอบกลับต่อหน้าเขา…
ส่วนทางจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล หลังจากได้รับบัญชาแล้ว ชิงหยวนจุนกับมารดาก็ปรึกษากันอย่างหวาดระแวงกลัว พวกเขาไปหาหยางชิ่ง แล้วนำบัญชานี้ให้หยางชิ่งอ่าน
“ท่านน้า ถามหน่อยได้ไหมว่าท่านอ๋องหนิวเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว? นี่คือโอกาสดีมาก ในเมื่อข้าสามารถส่งทหารออกไปตามบัญชา ท่านอ๋องหนิวก็ฉวยโอกาสมอบอาณาเขตให้ข้ายืม” ชิงหยวนจุนมองหยางชิ่งตาปริบๆ
พวกเขาสองแม่ลูกก็กดดันมากเหมือนกัน หวังติ้งเฉาเหมือนจะรู้นานแล้วว่าบัญชานี้กำลังจะมา เมื่อบัญชามาถึง หวังติ้งเฉาก็เร่งให้ชิงหยวนจุนเคลื่อนทัพทันที
หยางชิ่งน้องเขายังแปลกใจแวบหนึ่ง อยากจะถามเขามากว่า เจ้ารับอาณาเขตมาอย่างชอบธรรมแล้ว คนเบื้องล่างปฏิบัติตามคำสั่ง แล้วจะตัดทางถอยของคนเบื้องล่างได้อย่างไร? แต่ก็ยังพยักหน้าเบาๆ “ข้าจะติดต่อท่านอ๋องไปเดี๋ยวนี้” พูดจบก็หยิบระฆังดาราออกมา
ตอนนี้เหมียวอี้กับเหิงอู๋เต้ากำลังดื่มสุราด้วยกันในสวนดอกไม้ ใต้โต๊ะหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกลับหยางชิ่ง
หยางชิ่งรายงานคำบัญชาของฝั่งนี้ให้ฟัง
เหมียวอี้ : ฝั่งนี้ก็เพิ่งได้รับบัญชาให้ถอนกำลังพลเหมือนกัน
หยางชิ่ง : สงสัยประมุขชิงยังคำนึงถึงไมตรีระหว่างพ่อลูกอยู่ ไม่ได้ปลดอำนาจทางทหารของชิงหยวนจุนโดยตรง ยังมีเยื่อใยกันอยู่ ความคิดของชิงหยวนจุนก็คือ ให้ท่านอ๋องถือโอกาสนี้ให้เขายืมอาณาเขตหนึ่งสาย…
พอได้ยินเจตนาของชิงหยวนจุน เหมียวอี้ก็ยกมุมปากยิ้มเจ้าเล่ห์ ตอบกลับว่า : โลเลเหมือนหนู มาถึงขั้นนี้แล้ว เขายังจะเล่นแง่ตามอำเภอใจได้เหรอ? เขาจะคุมจังหวะตามอำเภอใจได้เหรอ จะให้ยืมเมื่อไรเดี๋ยวข้าตัดสินใจเอง เตรียมตัวไว้พอสมควรแล้ว เจ้าหาวิธีบีบให้เขาออกถนนเถอะ!
หยางชิ่ง : ขอรับ!
หลังจากวางระฆังดาราลง เขาก็มีสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย
พอสองแม่ลูกเห็นแล้วก็ใจเต้นตาม เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รีบถามว่า “ท่านอ๋องพูดว่ายังไงบ้าง? หรือว่าจะกลับคำแล้ว?”
หยางชิ่งถอนหายใจ ส่ายหน้าบอกว่า “ไม่ใช่ว่าท่านอ๋องกลับคำ แต่ท่านอ๋องกำลังดำเนินการเรื่องนี้ อาศัยบารมีที่ท่านอ๋องมีต่อทัพใต้ ถ้าต้องการจะแก้ไขปัญหานี้ก็ไม่ยาก แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของกำลังพลทั้งสายมะเส็ง ถ้าจะให้แม่ทัพใหญ่ที่มีอำนาจทางทหารเหล่านั้นมอบอาณาเขตให้อย่างว่าง่าย ก็จะต้องเกลี้ยกล่อม ไม่อย่างนั้นจิตใจทหารจะสั่นคลอน แล้วก็ไม่สะดวกจะเปิดเผยความลับให้เบื้องล่างรู้ง่ายๆ ด้วย ท่านอ๋องต้องให้เวลาเขาสักหน่อย ท่านอ๋องบอกไว้แล้ว ว่าอย่างมากก็ครึ่งเดือน จะต้องจัดการได้แน่นอน!”
ชิงหยวนจุนสีหน้าบูดเบี้ยว “ครึ่งเดือนเหรอ?” นี่ต้องเลื่อนบัญชาไปครึ่งเดือนแล้วค่อยปฏิบัติตาม
หยางชิ่งพยักหน้า “องค์ชาย มอบให้ทั้งสายมะเส็งเชียวนะ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก จัดการได้ภายในครึ่งเดือนก็ถือว่าเร็วมากแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นกำลังพลของทัพอื่น เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวโยงกับผลประโยชน์ของคนมากมายขนาดนี้ ต่อให้ใช้เวลาหนึ่งปีก็อาจจะจัดการไม่ได้ด้วยซ้ำ”
สองแม่ถูกฟังจนเถียงไม่ออก เกรงว่าแม้แต่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ไม่เคยคุมทัพมาก่อนก็ยังรู้ ว่าเรื่องแบ่งอาณาเขตและผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็น่าปวดหัวทั้งนั้น เรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตัวเอง ทหารเกรียงไกรเหล่านั้นไม่ได้ประนีประนอมกันง่ายๆ ดีไม่ดีอาจจะก่อกบฏก็ได้ เวลาครึ่งเดือนถือว่าเร็วมากแล้วจริงๆ ถ้าฝั่งนี้ถ่วงเวลาครึ่งเดือนแล้วค่อยปฏิบัติตาม แล้วจะชี้แจ้งกับประมุขชิงอย่างไรล่ะ?
……………