พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2158 ใต้หล้าสั่นสะเทือน
เมื่อกล่าวเช่นนี้ พวกอู๋ฉวี่ก็แอบปาดเหงื่อแทนโพ่จวิน เป็นคำพูดที่แฝงความหมายเหน็บแนมอย่างแท้จริง ให้ความรู้สึกเหมือนเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ อยู่หลายส่วนด้วย คำพูดแบบนี้เกรงว่าคงมีแค่โพ่จวินที่กล้าพูดออกมา
ประมุขชิงเห็นเสียงออกมาจากซอกฟัน “นี่คือความจงรักภักดีที่เจ้ามีต่อข้าเหรอ?”
โพ่จวินดันทุรังเถียง “นี่คือแผนการระดับสูง ฝ่าบาทถอยจากตำแหน่งเพื่อสนับสนุนให้องค์ชายขึ้นตำแหน่งแล้วจะเป็นอะไรไป? อำนาจมหาศาลยังคงอยู่ในมือฝ่าบาท ทั้งยังทำให้ราชินีสวรรค์พอใจด้วย ตระกูลเซี่ยโห้วก็ยินดีจะเห็นเช่นกัน มีอะไรไม่ดีตรงไหน?”
ประมุขชิงทำหน้านิ่ง จ้องเขาไม่รับสายตา
โพ่จวินกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยขอร้องให้ฝ่าบาทประหารจ้านหรูอี้!”
ประมุขชิงกำหมัดที่อยู่ในกระบอกแขนเสื้อไว้แน่น ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถามว่า “ถ้าข้าไม่ตอบตกลงแล้วจะทำไม?”
“เช่นนั้นข้าน้อยก็จะตัดสินใจแทนฝ่าบาท ศีรษะของจ้านหรูอี้ ข้าน้อยจะช่วยฝ่าบาทเด็ดให้เอง ฝ่าบาทจะได้ไม่ต้องแข็งใจทำสิ่งนี้!” พอโพ่จวินพูดจบ ก็พลันหันตัว เดินก้าวยาวออกไปนอกตำหนัก
“โจรเฒ่า! เจ้ากล้าเหรอ!” ประมุขชิงชี้โพ่จวินพลางคำราม “ทหาร!”
ด้านนอกตำหนักมีคนกลุ่มหนึ่งโผล่มาขวางตรงประตูทันที ล้วนเป็นคนของกองทัพองครักษ์ คนพวกนี้เห็นโพ่จวินแล้วก็ลำบากใจเช่นกัน!
ชวิ้ง! โพ่จวินคว้าด้ามกระบี่ ชักกระบี่ออกมาไว้ในมือ ชี้กระบี่ไปบนพื้น หันหลังพูดกับประมุขชิงว่า “วันนี้ฝ่าบาทต้องตัดสินใจเรื่องนี้ หากไม่ใช่จ้านหรูอี้ตาย ก็เป็นข้าน้อยที่ตาย ฝ่าบาทเต็มใจเลือกสิ่งใดก็เชิญตามสะดวก!” เขาโบกกระบี่ชี้ไปยังกำลังพลกองทัพองครักษ์ที่อยู่ตรงหน้า แล้วตะคอกว่า “ข้าจะไปสังหารนางปีศาจตัวก่อหายนะ หากเต็มใจไปกับข้าก็ไปด้วยกัน หากไม่เต็มใจไปกับข้า…หลีกไป!” เขาตะโกนดังมาก
ประมุขชิงโมโหจนตัวสั่น เขาแค้นจนอยากจะฆ่าสุนัขเฒ่าตัวนี้จริงๆ แต่สติสัมปชัญญะที่ยังไม่หายไปบอกเขาว่า ฆ่าไม่ได้ ถ้าฆ่าโพ่จวินเพื่อปกป้องจ้านหรูอี้จริงๆ เช่นนั้นก็ปกป้องจ้านหรูอี้ไม่ได้เช่นกัน ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงไม่ใช่โพ่จวินคนเดียวที่จะขอร้องให้ฆ่าจ้านหรูอี้แล้ว ทุกคนจะต้องขอร้องให้ฆ่า แล้วถ้าฆ่าโพ่จวิน ใจคนที่เขาเอาไว้ใช้ผูกมัดอำนาจก็จะกระจัดกระจายไปโดยสิ้นเชิง ดีไม่ดีแม้แต่บัลลังก์ของตัวเองก็อาจจะต้องฝังลงหลุมไปด้วย!
พวกอู๋ฉวี่หน้าปากทางพูดไม่ออก มองโพ่จวินด้วยสีหน้าด้วยความเคารพอย่างสูง
สมาชิกกองทัพองครักษ์ที่ดักตรงประตูมองหน้ากันเลิกลั่ก เมื่อเห็นโพ่จวินชักกระบี่เดินประชิดเข้ามา พวกเขาก็จำต้องหยิบอาวุธมาเผชิญหน้าเช่นกัน
ทว่า แม้อู๋ฉวี่ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับส่ายหน้าให้คนพวกนี้เบาๆ แม้แต่ซ่างกวนชิงก็ส่ายหน้าให้คนพวกนี้เช่นกัน
ดังนั้นสมาชิกกองทัพองครักษ์ที่ดักตรงประตูจึงถูกโพ่จวินประชิดเข้ามาจนถอยหลังทีละก้าว ไม่มีใครกล้าลงมือกับโพ่จวิน
เมื่อเห็นโพ่จวินกำลังจะออกจากตำหนักดาราจักรไปฆ่าคนที่ตำหนักเย็น แต่เบื้องล่างกลับไม่มีใครขัดขวาง ประมุขชิงที่กำหมัดแน่นก็กล่าวเสียงต่ำว่า “จ้านหรูอี้ตั้งครรภ์เลือดเนื้อเชื้อไขของข้าแล้ว เจ้าจะสังหารแม้กระทั่งเลือดเนื้อเชื้อไขของข้าเหรอ?”
โพ่จวินเดินไปถึงประตูและกำลังจะข้ามผ่านธรณีประตูไป เงาร่างนิ่งชะงักทันที ก้าวขาไม่ออกแล้ว หันตัวกลับมาช้าๆ กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกอย่างรุนแรง เดินลากกระบี่กลับเข้ามาช้าๆ เดินผ่านพวกเกาก้วนไป อู๋ฉวี่เตือนเสียงต่ำว่า “โพ่จวิน อย่าทำซี้ซั้ว!”
“เจ้า…” โพ่จวินพลันโบกกระบี่ชี้ประมุขชิง ส่ายหน้าพูดอย่างคับแค้นใจ “เจ้านั่งอยู่ตำแหน่งนี้ได้ ในปีนั้นมีพี่น้องมากมายเท่าไหร่ยอมสละชีวิตลืมตาย โยนหัวหลั่งเลือดเพื่อผลักดันให้เจ้าขึ้นสู่ตำแหน่ง เจ้าเคยรับปากอะไรไว้? เจ้ารับปากว่าจะปกป้องปากท้องครอบครัวของพวกเขาไปทั้งชีวิต แต่ดูเจ้าตอนนี้สิ! เจ้าตอนนี้…ไม่น่าเชื่อว่าจะยอมให้อำนาจของตัวเองสั่นคลอนเพื่อผู้หญิงคนเดียว ถ้าไม่มีอำนาจแล้ว เจ้าจะเอาอะไรมาปกป้องปากท้องครอบครัวของคนพวกนั้นไปทั้งชีวิตล่ะ? คนพวกนั้นที่ผลักดันให้เจ้าขึ้นสู่ตำแหน่งตายอย่างไม่ยุติธรรม แล้วเจ้าจะให้คนเก่าคนแก่ที่ยังมีชีวิตอยู่ของกองทัพองครักษ์มองเจ้ายังไง! ยังจะถวายชีวิตรับใช้เจ้ายังไงได้อีก? เจ้าเรียนรู้จักใครก็ไม่เอา ดันไปเรียนรู้จากเจ้าสามไป๋ บนตัวเจ้าแบกบุญคุณความแค้นไว้เยอะขนาดนั้น มีสิทธิ์อะไรไปเล่นบทคนเหงาโหยหาความรัก? หึ…”เขาปักกระบี่ลงบนพื้น ก้มหน้าเงียบๆ นานมาก ก่อนจะหันตัวช้าๆ เดินจากไป “ตามใจเจ้าเถอะ ใต้หล้าของเจ้าก็คือใต้หล้าของเจ้า เจ้าเป็นราชา ข้าเป็นขุนนาง เจ้าอยากจะเล่นยังไงก็เล่นไปเถอะ ตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายนี้ ถ้าข้าน้อยเป็นต่อไป ก็ไม่มีหน้าไปเจอพี่น้องที่ตายไปพวกนั้นหรอก จะเลือกคนใหม่ที่เหมาะสมกับตำแหน่งเถอะ!”
สองแขนอ่อนยวบลง ทั้งตัวหลังค่อมลงไป ราวกับแก่ชราลงแล้วไม่น้อยภายในชั่วพริบตาเดียว
“พี่โพ่จวิน!” อู๋ฉวี่ก้าวมาขวาง ยื่นมือดึงแขนเขาเอาไว้ ส่ายหน้าให้เขา
โพ่จวินมองเขา แล้วกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “หลีกไป!”
“…” อู๋ฉวี่ทำสีหน้าสับสน เมื่อสบกับสายตาที่หมดอาลัยตายอยากของเขา นิ้วทั้งห้าที่คว้าไว้ก็ขยับเล็กน้อย สุดท้ายก็ค่อยๆ ปล่อยมือออกจากแขนของเขา
โพ่จวินเดินลากเท้าช้าๆ ไปยังประตูใหญ่ของตำหนัก เกราะรบหนักอึ้งบนตัวที่เมื่อก่อนทำให้คนรู้สึกว่าเผด็จการน่าเกรงขาม ตอนนี้กลายเป็นภาระที่หนักอึ้ง
กองทัพองครักษ์ที่ดักอยู่ตรงประตูไม่ได้รับคำสั่ง ไม่รู้ว่าควรจะปล่อยให้โพ่จวินจากไปหรือไม่
อู๋ฉวี่พลันสองตาลุกเป็นไฟ ตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “ใครกล้าแตะต้องเขา ข้าจะเอาชีวิตของมัน หลีกไป!” เสียงดังราวกับฟ้าผ่า ดังก้องอยู่ในตำหนักดาราจักร
หลายคนที่อยู่ในตำหนักตกใจ อู๋ฉวี่ที่มีลักษณะเป็นแม่ทัพผู้สง่าสุขุม ตั้งแต่ออกจากสนามรบมาก็ยังไม่เคยแสดงความเดือดดาลต่อใคร ไม่น่าเชื่อว่าในตอนนี้จะโมโหแล้ว อีกทั้งตอนนี้ก็อยู่ในตำหนักดาราจักร อยู่ต่อหน้าฝ่าบาท แม้จะหันหลังให้ แต่ก็ไม่เคยมีเรื่องอย่างนี้มาก่อนเลย
เสียงตะโกนนี้ทำให้ประมุขชิงตกใจจนตัวสั่นเล็กน้อย ขยับปากเหมือนอยากพูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่กล้าตำหนิอู๋ฉวี่ที่ขัดคำสั่งของเขา
ที่จริงก็ไม่ต้องให้เขาพูดอะไรเช่นกัน พอเสียงตะโกนของอู๋ฉวี่ดังขึ้น กองทัพองครักษ์ที่ขวางประตูก็ปฏิบัติตามคำสั่งของเขาแล้ว พลันแยกเป็นสองทาง หลีกทางให้โพ่จวินแล้ว แต่ละคนเม้มริมฝีปากแน่นขณะมองตามโพ่จวินเดินจากไป
ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนเห็นอู๋ฉวี่ตาแดงก่ำแล้ว ขณะที่เขามองโพ่จวินจากไปอย่างเปล่าเปลี่ยว ในดวงตาก็มีประกายน้ำตาแล้วเช่นกัน
ซือหม่าเวิ่นเทียนก้มหน้าถอนหายใจเบาๆ เกาก้วนที่มีสีหน้าเดิมมาตลอด ตอนนี้ดูสะเทือนใจเล็กน้อย ได้เห็นความจงรักภักดีบนตัวขุนศึกมากประสบการณ์เหล่านี้แล้ว
ในตำหนักตกอยู่ในความเงียบ อู๋ฉวี่เงยหน้าเล็กน้อยมองเพดาน ไม่ให้น้ำตาไหลออกมาจากเบ้าตา หันหลังให้ประมุขชิงอยู่ตลอด
สายตาของหลายคนในนั้นจ้องบนกระบี่วิเศษที่ปักอยู่บนพื้นในตำหนัก ตัวโพ่จวินไปแล้ว ทิ้งกระบี่ไว้ที่นี่ ปักตรงแด่วอยู่บนพื้นไม่ล้มลงมา
ประมุขชิงขบกรามแน่น จ้องกระบี่วิเศษที่ตั้งตระหง่านด้ามนั้น แววตาเลื่อนลอยเล็กน้อย ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ ในปีนั้นเขาเป็นคนประทานกระบี่วิเศษด้ามนี้ให้โพ่จวิน ในปีนั้นเขาพูดว่าอะไรนะ…
“องค์ชาย ปราบกบฏในพื้นที่ต่างๆ ของแดนรัตติกาลได้แล้ว!”
ในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ฉินฟ่างสรุปรายงานการกวาดล้างผู้เห็นต่างในทัพใหญ่ครั้งสุดท้ายให้ฟัง
“ดี!” ชิงหยวนจุนที่นั่งอยู่ในศาลาตบต้นขาแล้วลุกขึ้นยืน เขาถูไม้ถูมือเดินไปเดินมา ตื่นเต้นดีใจไม่หยุด ในที่สุดก็ทำสำเร็จแล้ว อำนาจทางทหารของทัพใหญ่แดนรัตติกาลตกอยู่ในมือตัวเองแล้ว สุดท้ายทุกคนก็เชื่อฟังตัวเอง แม้ตัวเองจะยังเป็นผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล แต่ความหมายแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน สุดท้ายก็ได้ทำลายพันธนาการที่ผูกมัดตัวเองมาหลายปีแล้ว สามารถแสดงหมัดเท้าได้เต็มที่แล้ว
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่อยู่ข้างๆ ยิ้มอย่างเป็นกันเอง ในที่สุดก็วางรากฐานที่แข็งแรงก้าวแรกเรียบร้อยแล้ว มองเห็นอนาคตแล้ว สว่างสดใสไร้ที่สิ้นสุด!
หยางชิ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ถามฉินฟ่างว่า “อย่าเลือกพูดแต่สิ่งที่น่าฟัง สมาชิกเสียหายไปเท่าไหร่?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินแล้วทำสีหน้าจริงจัง ตะคอกเสียงต่ำว่า “จุนเอ๋อร์ ทำไใดีใจจนออกนอกหน้า?”
ชิงหยวนจุนเก้อเขินเล็กน้อย กลับไปนั่งที่เดิม รอคำตอบของฉินฟ่างเช่นกัน
ฉินฟ่างบอกว่า “หลังจากคิดรวมความเสียหายของหน่วยต่างๆ แล้ว ปราบทัพกบฏไปได้ประมาณสองล้านห้าแสน ทหารขององค์ชายรบตายไปประมาณสี่แสนขอรับ”
หยางชิ่งกล่าวอย่างลังเลว่า “หรือพูดได้อีกอย่างว่า ทั้งทัพใหญ่แดนรัตติกาลเสียหายไปเกือบสามล้าน ล้วนเป็นกำลังพลเกรียงไกร น่าเสียดายแล้ว!”
สำหรับสิ่งนี้ สองแม่ลูกเริ่มทำสีหน้าจริงจัง แต่ที่จริงแล้วในใจไม่ค่อยแยแสเท่าไหร่ เสียกำลังพลไปไม่กี่ล้านแล้วทำเรื่องนี้สำเร็จ ก็ถือว่าไม่เสียหายมากนัก มีการทำศึกที่ไหนบ้างที่ไม่มีคนตาย
ตอนนี้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย หยิบระฆังดาราอันหนึ่งมาไว้ในมือ แล้วแสยะยิ้มไม่หยุด
“เสด็จแม่ ท่านแสยะยิ้มทำไมเหรอ?” ชิงหยวนจุนถาม
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แสยะยิ้มตอบ “ฝ่าบาทส่งข่าวมา คงเป็นไปไม่ได้ที่จะชมข้า คงอยากด่าข้าสักยกน่ะสิ!”
หยางชิ่งที่อยู่ข้างๆ กล่าวว่า “ไม่ต้องสนใจ!”
ตรงกับสิ่งที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ต้องการพอดี แม้จะทำเรื่องนี้สำเร็จแล้ว แต่ที่จริงนางก็ยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับการติเตียนของประมุขชิง รวดเร็วมาก เก็บระฆังดาราเอาไว้เสียเลย
อุทยาน ตำหนักเย็น ประมุขชิงที่ยืนอยู่บนบันไดใต้ชายคาหน้าตึง เก็บระฆังดาราเงียบๆ ก่อนจะหันตัวเดินกลับเข้าห้องอย่างเงียบงัน
ภายในห้อง หยินซวงกับไป๋เสวี่ยเดินอ้อมมาหัวเราะคิกคักข้างกายจ้านหรูอี้ ไม่รู้ว่าได้ของเล่นหายากอะไรมา กำลังเอามาอวดจ้านหรูอี้
ประมุขชิงเดินเข้ามา แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “พวกเจ้าถอยออกไปก่อน”
“เพคะ!” หยินซวง ไป๋เสวี่ยย่อเข้าคำนับแล้วถอยออกไป
ประมุขชิงค่อยๆนั่ งลงข้างกายจ้านหรูอี้ วางสองมือบนเขา จ้องใบหน้าด้านข้างของจ้านหรูอี้ครู่หนึ่ง ยกมือลูบผมงามบนแผ่นหลังของจ้านหรูอี้ช้าๆ และกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “หรูอี้ มีลูกชายให้ข้าสักคนเถอะ!”
“…” จ้านหรูอี้หันกลับไปมองเขาอย่างงุนงง ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป
“มีลูกให้ข้าสักคน!” ประมุขชิงเน้นย้ำด้วยรอยยิ้ม
บนใบหน้ามีรอยยิ้ม แต่ความขมขื่นในใจมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ชัดที่สุด ต่อให้คำพูดของเขาจะหยุดยั้งโพ่จวินได้แล้ว แต่คำโกหกก็คือคำโกหก ถ้าโดนเปิดโปงขึ้นมา ถ้าคนอื่นที่อยู่ในเหตุการณ์รู้ว่าเขาไม่สนใจชะตากรรมของใต้หล้า หลอกลวงโพ่จวินเพื่อปกป้องจ้านหรูอี้ อย่าว่าแต่ไม่มีทางชี้แจงต่อโพ่จวินเลย ไม่มีทางชี้แจงต่อบรรดาลูกน้องคนสนิทเหล่านั้นด้วยเช่นกัน ทำได้เพียงเปลี่ยนคำโกหกให้เป็นความจริง…
แดนรัตติกาล แม้จะมีคนมาซื้อขายสินค้าที่ตลาดผีไม่น้อย แต่การที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตกะทันหัน กอปรกับมีเหมียวอี้ดำเนินการอยู่เบื้องหลัง จงใจปล่อยข่าวจริงออกไป ว่าแดนรัตติกาลมีทหารก่อกบฏ ถูกราชันสวรรค์ปลดอำนาจทางทหาร เรียกได้ว่าสะเทือนทั้งใต้หล้าจริงๆ!
โอกาสดีขนาดนี้ เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะทำให้หัวใจทหารของประมุขชิงสั่นคลอน เหมียวอี้ที่ดำเนินการมาถึงตอนนี้มีหรือจะพลาด ในปีนั้นที่หยางชิ่งวางแผน เป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดก็อยู่ตรงนี้!
“ชิงหยวนจุนกบฏแล้วเหรอ?”
ในจวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีที่อยู่ในศาลาได้รับข่าวกะทันหัน เรียกได้ว่าตกใจจริงๆ
ถังเฮ่อเหนียนตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ไม่ได้ชูธงก่อกบฏขอรับ แต่ฝืนยึดอำนาจทางทหารของแดนรัตติกาล ก่อนหน้านี้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก่อเรื่องที่พระตำหนักอุทยาน ตอนหลังมาปรากฏตัวที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล แค่นี้ก็ทำให้คนรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากลแล้ว ตอนนี้พอมีข่าวนี้ออกมา สอดคล้องกันแบบนี้ ก็คลายปริศนาได้แล้วขอรับ”
โค่วหลิงซวีลูบเคราพลางส่ายหน้า “ถ้าจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตระกูลเซี่ยโห้ว ข้าก็ไม่เชื่อหรอก ไม่ใช่ว่าข้าดูถูกพวกเขา แต่อาศัยพลังของสองแม่ลูกนั่นก็ยังโหมคลื่นไม่ไหว ประมุขชิงลำบากแล้ว!”
ในจวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงที่เดินเล่นช้าๆ อยู่ในป่าพลันหันตัวมา ถามอย่างตกตะลึงไม่เบา “เป็นข่าวจริงเหรอ?”
โกวเยว่พยักหน้า “ยืนยันแล้วขอรับ การก่อกบฏสงบแล้ว อำนาจทางทหารของแดนรัตติกาลอยู่ในมือชิงหยวนจุนแล้ว!”
“หึหึ!” ก่วงลิ่งกงแสยะยิ้ม แล้วเดาะลิ้นส่ายหน้า “พ่อลูกกลายเป็นศัตรูกันแล้ว ก็น่าสนุกนะ ข้าอยากจะเห็นว่าประมุขชิงจะยุติเรื่องนี้ยังไง!”
………………