พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2160.1 คุณชายเฮยองอาจปราดเปรื่อง (1)
“นี่เจ้าพูดเองนะ ถ้ามีอันตรายก็อย่าหาว่าข้าสะบัดมือทิ้งงานแล้วกัน” ไป๋เฟิ่งหวงทำเสียงฮึดฮัด
เหมียวอี้พยักหน้า แล้วหันกลับไปถามหยางเจาชิงว่า “เตรียมตัวพร้อมหมดแล้วหรือยัง?”
“เรียบร้อยแล้วขอรับ สามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ” หยางเจาชิงตอบ
“รบกวนแล้ว” เหมียวอี้ยิ้มให้ไป๋เฟิ่งหวงเบาๆ
หยางเจาชิงยื่นมือเชิญทันที “เชิญ!”
ไป๋เฟิ่งหวงทำปากขมุบขมิบ ไม่รู้เหมือนกับว่ากำลังพูดอะไร แต่มองออกเลยว่ากำลังด่าคน เดินตามหยางเจาชิงไปอย่างหงุดหงิดมาก
เหมียวอี้เอามือไขว้หลังมองส่งพลางหัวเราะเบาๆ
อวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างๆ เห็นเขามั่นใจเหมือนกุมฟ้าดินไว้ในมือ นึกถึงสถานการณ์ผันผวนของใต้หล้าข้างนอก แล้วจู่ๆ ก็ถอนหายใจ “หนิวเอ้อร์ เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว”
“หืม?” เหมียวอี้ชะงักเล็กน้อย ค่อยๆ หันกลับมามองนาง ทั้งสองจ้องตากัน หลังจากเงียบไปครู่เดียว ก็กล่าวช้าๆ ว่า “สำหรับเจ้า ข้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย”
อวิ๋นจือชิวเผยรอยยิ้มในความกลัดกลุ้ม “ไม่อนุญาตให้เปลี่ยน!”
ไป๋เฟิ่งหวงเดินออกมาจากจวนท่านอ๋อง ชิงเยว่นำกำลังพลกลุ่มหนึ่งติดตามมาด้วย แล้วเหาะขึ้นฟ้าไปด้วยกัน…
ตำหนักดาราจักร ประมุขชิงเดินไปเดินมาไม่หยุด กำลังฟังอู๋ฉวี่รายงาน
รายงานเรื่องที่เกี่ยวกับโพ่จวิน ในเมื่อโพ่จวินไม่ยอมมาพบประมุขชิง อู๋ฉวี่ทำได้เพียงรายงานเรื่องที่โพ่จวินไปปลอบขวัญกำลังพลหน่วยองครักษ์ซ้ายแทน โพ่จวินไปที่หน่วยองครักษ์ซ้ายแล้วเรียกรวมบุคคลระดับสูงมาคุยกัน แค่บอกว่าไม่ใช่อย่างที่ลือกัน แต่มีภารกิจลับต้องไปปฏิบัติ บอกทุกคนว่าอย่าคิดมาก
ส่วนทุกคนจะคิดมากหรือไม่ เกรงว่าคงหลีกเลี่ยงได้ยาก แต่โพ่จวินออกหน้ามาอธิบายแล้วก็ได้ผลอยู่บ้าง สามารถปลอบขวัญทหารได้
ทว่ามีเรื่องโผล่เข้ามาเรื่องแล้วเรื่องเล่า เรื่องที่เป็นปัญหาไม่ได้มีแค่เท่านี้
ได้รับรายงานสถานการณ์ฝั่งจวนท่านปู่สวรรค์แล้ว เฉาหม่านและสมาชิกคนสำคัญของตระกูลเซี่ยโห้วหายตัวไปแล้ว การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ประมุขชิงกังวลที่สุด ประมุขชิงกังวลที่สุดว่าตอนนี้อำนาจฝ่ายต่างๆ จะสมคบกับตระกูลเซี่ยโห้ว จึงส่งคนกระจายกันไปปลอบขวัญอ๋องสวรรค์เหล่านั้นแล้ว ขณะเดียวกันก็ส่งคนไปคลุกคลีกับพวกจอมพลและเทพประจำดาวใต้บังคับบัญชาอ๋องสวรรค์ด้วย หวังว่ากำลังพลเบื้องล่างเหล่านั้นจะช่วยโน้มน้าวสักหน่อย อยากจะเสี้ยมเขาควายให้ชนกันด้วย ทำให้พวกอ๋องสวรรค์เกิดความระแวงในใจ ไม่กล้าเคลื่อนทัพอย่างสงบใจ
ตอนนี้เขากลับคิดถึงเซี่ยโห้วท่าที่ก่อนหน้านี้อยากให้ตายเร็วๆ มาตลอด
ตอนที่เซี่ยโห้วท่ายังอยู่ในโลกนี้ ก็มีเป้าหมายเดียวกันกับเขา ต่างก็กำลังรักษาสมดุลทางอำนาจของใต้หล้านี้ไว้ ไม่ทำลายสมดุลง่ายๆ หลังจากเฉาหม่านขึ้นสู่ตำแหน่งแล้ว ก็ทำให้คนคาดเดาลำบาก ทำให้คิดไม่ตกจริงๆว่าเฉาหม่านคิดจะทำอะไรกันแน่ ตระกูลเซี่ยโห้วก็เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์เหมือนกัน เมื่อทำลายสมดุลนี้ทิ้งแล้ว จะมีประโยชน์อะไรกับตระกูลเซี่ยโห้วหรือเฉาหม่านด้วยหรือ? อย่าบอกนะว่าเฉาหม่านแตกต่างกับเซี่ยโห้วท่า อยากจะขึ้นสู่ตำแหน่งประมุขสูงสุด?
แม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังไม่แสดงความอ่อนแอ ทางฝั่งทัพตะวันออก กองทัพองครักษ์ไม่เพียงแค่ไม่เปลี่ยนทิศทางเพราะเรื่องทัพกบฏแดนรัตติกาล ทั้งยังกำลังทยอยเพิ่มกำลังพลด้วย สร้างความได้เปรียบที่แน่นอนต่อเถิงเฟยแล้ว การร่วมมือกับเฉิงไท่เจ๋ออยู่ที่ทัพตะวันออกได้กลายเป็นสิ่งที่ควบคุมอำนาจฝ่ายต่างๆ ไว้แล้ว ทำท่าราวกับว่าถ้ามีคนกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ก็จะกำจัดเถิงเฟยเพื่อตัดการผนึกกำลังของบรรดาอ๋องสวรรค์ทันที
สิ่งนี้สร้างความกดดันใหญ่หลวงให้กับอำนาจฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะเถิงเฟยที่เป็นหนังหน้าไฟ นึกไม่ถึงว่าประมุขชิงจะเห็นทัพกบฏที่แดนรัตติกาลเป็นเรื่องรอง เป้าหมายสำคัญในการโจมตีตกอยู่ที่เขาแล้ว ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลังแทบแย่ เสียใจที่ไม่ควรกระโดดออกหน้าก่อน ทำให้ขี่หลังเสือแล้วลงยาก ส่วนอำนาจฝ่ายอื่นก็ย่อมไม่ละเลย ต่างก็กำลังจงใจถ่วงเวลาไม่ให้กองทัพองครักษ์ระดมพล แค่หาข้ออ้างมาถ่วงเวลาเท่านั้น ดูแล้วเหมือนไม่อยากแตกคอกับประมุขชิงอย่างจริงจัง
ฝั่งแดนสุขาวดีรวบรวมกองทัพพระห้าร้อยล้านแล้ว หากทางนี้มีความจำเป็น ก็จะบุกไปช่วยสนับสนุนวังสวรรค์ทันที
หลังจากฟังรายงานจบแล้ว ประมุขชิงก็ถามว่า “ฉวี่ฉางเทียนประจำที่แล้วหรือยัง?”
อู๋ฉวี่ตอบว่า “ไปคุมที่ฝั่งเฉิงไท่เจ๋อด้วยตัวเองแล้วขอรับ เตรียมตัวบัญชาการโจมตีเถิงเฟยด้วยตัวเอง แต่กลับเป็นฝั่งฮวาอี้เทียน หนิวโหย่วเต๋อจงใจอ้างเรื่องพระปีศาจหนานโปมาตรวจสอบ จึงระดมพลกำลังพลได้ช้ามาก ภายในเวลาสั้นๆ นี้ถ้าอยากจะโจมตีทัพใหญ่แดนรัตติกาล เกรงว่าคงไม่ง่ายนัก”
ประมุขชิงเผยแววตาเยียบเย็นจากซอกตาที่กำลังหรี่มอง ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไร
ทันใดนั้น ซือหม่าเวิ่นเทียนที่ยืนอยู่เบื้องล่างก็เก็บระฆังดารา แล้วรายงานว่า “ฝ่าบาท หนิวโหย่วเต๋อออกจากดาวอ๋องสวรรค์หนิวแล้ว”
ประมุขชิงหันขวับ “สถานการณ์เป็นยังไง?”
คนอื่นๆ ล้วนทำสีหน้าสนใจอย่างสูง
“ดูจากการวางกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อก่อนออกเดินทาง คงจะไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ขอรับ” ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าว
ประมุขชิงขมวดคิ้ว “ไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ในเวลานี้ เขาคิดจะทำอะไร? อย่าบอกนะว่าค้นพบแล้วว่ามีการดักซุ่มกำลังพลอยู่ข้างใน?”
ดักซุ่ม? อู๋ฉวี่อึ้งไป เขายังไม่รู้เรื่องนี้เลย จึงถามว่า “แดนมรณะดึกดำบรรพ์มีการดักซุ่มอะไรขอรับ?”
เขามองซ้ายมองขวา ไม่มีใครตอบคำถามนี้ของเขา
เกาก้วนที่เหมือนไม่รู้เรื่องเช่นเดียวกันถามเสียงเรียบว่า “หรือว่าฝ่าบาทดับซุ่มกำลังพลไว้ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์เพื่อเตรียมลอบสังหารหนิวโหย่วเต๋อ?”
ไม่มีใครตอบเช่นกัน ไม่ปฏิเสธก็เท่ากับยอมรับแล้ว อู๋ฉวี่เข้าใจแล้ว ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น
ซือหม่าเวิ่นเทียนกระแอมหนึ่งที “ตามหลักแล้วน่าจะยังไม่ ไม่มีความเป็นไปได้เลยที่กำลังพลดักซุ่มแอบปล่อยข่าวความลับสู่ภายนอก”
“แล้วเจ้าจะอธิบายเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ตอนนี้ยังไง? อย่าบอกนะว่าเขาไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์ตอนนี้เพื่อฝึกตน?” ประมุขชิงถาม
ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบอย่างไม่แน่ใจ “หรือว่าจะมีเรื่องอื่นทำให้เขาต้องไปที่นั่นกะทันหัน ที่จริงแล้วเขายังไม่รู้ สิ่งนี้มีความเป็นไปได้ หากเป็นเช่นนี้…ฝ่าบาท ยังจะลงมือหรือไม่ขอรับ?”
หลังจากประมุขชิงครุ่นคิดเล็กน้อย ก็ค่อยๆ เผยสีหน้าดุร้าย “ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ก็เป็นโอกาสในการทำลายสถานการณ์คุมเชิงที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ฆ่า! พอหนิวโหย่วเต๋อ ทัพใต้วุ่นวายใหญ่โต ข้าจะคอยดูว่าลูกทรพีจะหนีไปไหน!”
แม้เป้าหมายที่เขาเน้นโจมตีจะยังอยู่ที่ตัวเถิงเฟย แต่เรื่องที่เขาอยากแก้ปัญหาที่สุดก็คือกวาดล้างสิ่งสกปรกภายในบ้าน ลูกชายวางแผนก่อกบฏ ถ้าคนเป็นพ่ออย่างเขาทำอะไรลูกชายไม่ได้ นั่นต่างหากที่จะกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะอย่างแท้จริง
“ถ้าเขารู้แล้วจริงๆ ล่ะขอรับ?” ซ่างกวนชิงถาม
ในตำหนักเงียบทันที ประมุขชิงกล่าวช้าๆ ว่า “เช่นนั้นก็ให้พวกเขาถอนกำลังก่อน ไปอยู่ในจุดลึกของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ใหญ่โตขนาดนั้น เหาะเหินก็ไม่สะดวก ถ้าจะซ่อนตัวก็ไม่ได้หาเจอง่ายขนาดนั้น”
ทุกคนเข้าใจความคิดของเขาแล้ว ถ้าไม่สามารถกำจัดหนิวโหย่วเต๋อจนทำให้ทัพใต้วุ่นวายได้ เช่นนั้นก็ไม่อาจทิ้งจุดอ่อนไว้ให้คนอื่นฉีกหน้าได้ ถ้าบีบให้หนิวโหย่วเต๋อนำทัพใต้ไปที่ตระกูลเซี่ยโห้วกับชิงหยวนจุนก็จะแย่แล้ว สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนแปลงเหมือนพลิกฟ้าพลิกดินอย่างต่อเนื่องทันที
สำหรับเรื่องนี้ อู๋ฉวี่กับเกาก้วนต่างก็ไม่พูดอะไร ได้แต่ฟังทั้งสามปรึกษากัน…
แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ในถ้ำภูเขาแห่งหนึ่ง เฮยทั่นนั่งอยู่เบื้องสูง ที่จริงก็ไม่เหมือนนั่ง นอนเอนซ้ายเอนขวาอยู่บนเตียงหิน ฟังวิญญาณชั่วร้ายกลุ่มหนึ่งที่หน้าตาแปลกประหลาดประจบสอพลออยู่อย่างนั้น เริงร่าจนแทบจะหุบปากไม่ลง
ชายร่างผอมสูงคนหนึ่งเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาในถ้ำ พอเดินมาถึงเฮยทั่นก็กุมหมัดคารวะ “คุณชายเฮยองอาจปราดเปรื่อง เป็นอย่างที่คุณชายเฮยคาดไว้ คนกลุ่มนั้นปรากฏตัวอีกแล้ว แล้วก็หลบดักซุ่มอยู่ในค่ายกลป้องกันใต้ดินอีก”
เฮยทั่นกลืนไข่มุกวิญญาณเข้าปาก แล้วยกมือบอกใบ้ให้วิญญาณชั่วร้ายในถ้ำหุบปากให้หมด เขาเบิกตากว้าง โน้มตัวมาข้างหน้าแล้วถามว่า “แน่ใจเหรอ?”
ชายร่างผอมสูงตอบว่า “สิ่งที่คุณชายเฮยกำชับ มีหรือที่จะผิดพลาด ข้าแปลงกายเป็นหมอกแทรกซึมเข้าไปสอดส่องใต้ดินด้วยตัวเอง ไม่ผิดพลาดแน่นอนขอรับ!”
ปั้ง! ตบที่วางแขนเก้าอี้ เฮยทั่นลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวเสียงดังว่า “เด็กๆ ทำตัวกระฉับกระเฉงเพื่อพ่อหน่อย ดึงความสามารถในการเฝ้าบ้านของพวกเจ้าออกมา จัดการให้ข้า!”
“คุณชายเฮยองอาจปราดเปรื่อง!” กลุ่มวิญญาณชั่วร้ายตอบรับเสียงดัง ฮึกเหิมห้าวหาญ
เฮยทั่นใช้สองมือเท้าเอว เดินก้าวยาวออกจากถ้ำ ไปยืนโบกมืออยู่ตรงปากถ้ำอย่างมั่นอกมั่นใจ
กลุ่มวิญญาณชั่วร้ายที่ตามมาข้างหลังแยกย้ายกันไปทันที บ้างก็ลอยขึ้นฟ้าตรงนั้นเลย บ้างก็พึมพำท่องคาถาพลางออกท่าทางโบยบินกลางอากาศ ปราณชั่วร้ายล่องลอยทั่วสารทิศ ขอเพียงมีสติปัญญาขั้นต้นก็ล้วนฟังเสียงเรียกเข้าใจ ทยอยกันลอยเข้ามาแล้ว
ไม่นานหลังจากนั้น เมฆปราณชั่วร้ายกลุ่มใหญ่รวมตัวกันบนฟ้า ร่างของวิญญาณชั่วร้ายที่รวมตัวอยู่กลางอากาศขยายตัวเร็วมาก พอเสียงระเบิดดังเบาๆ ก็กลายเป็นปราณชั่วร้ายกลุ่มหนึ่งปะปนอยู่ในเมฆปราณชั่วร้าย ขับเคลื่อนให้เมฆปราณชั่วร้ายลอยไปยังบริเวณทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์
ทะเลทรายหินกว้างใหญ่ไพศาล ตรงทางออกที่มีรอยแยกไม่หยุด ในแนวเทือกเขาที่อยู่ตรงข้ามไกลๆ สายลับกองทัพองครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างนั้นกำลังจับตาดูความเคลื่อนไหวบริเวณทางออกอย่างเข้มงวด
“เหล่าโหว รีบไปดูว่าข้างหลังเกิดอะไรขึ้น”
ในถ้ำที่เชื่อมถึงกัน มีคนสองคนซ่อนตัวอยู่ คนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลัง กำลังสังเกตการณ์ผ่านรูเล็ก จู่ๆ คนที่สังเกตการณ์อยู่ข้างหลังก็ร้องเรียก
คนที่สังเกตการณ์ผ่านรูเล็กข้างหน้ารีบหันตัวเดินเข้าไป พอหมอบมองอยู่ตรงหน้ารูเล็ก ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความสงสัยทันที เห็นเพียงเมฆปราณชั่วร้ายหลากสีที่ม้วนกลิ่งอยู่บนฟ้ากำลังลอยมาทางนี้ ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร ไม่เคยเห็นความเคลื่อนไหวอย่างนี้มาก่อน
เมฆชั่วร้ายห้าสีที่เหมือนไร้ขอบเขตลอยผ่านเขาลูกนี้ไปช้าๆ เกลื่อนกลาดไปทั่วจุดที่สองคนนี้ซ่อนตัว ทั้งสองรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ บนตัวมีเปลวเพลิงลุกพรึบ เผาปราณชั่วร้ายที่ลอยเข้ามาจนเกิดเสียงดังฉ่าๆ พอมองผ่านรูเล็กทั้งข้างหน้าและข้างลังอีกครั้ง ก็เห็นหมอกเลือนรางเป็นแถบๆ ยังจะเห็นชัดเจนได้อย่างไรว่าคืออะไร
ปราณชั่วร้ายที่มืดฟ้ามัวดินครอบคลุมบริเวณทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์เร็วมาก ราวกับเป็นทะเลหมอกเลือนราง
ในค่ายกลป้องกันใต้ดิน สมาชิกกองทัพองครักษ์ที่หนาแน่นถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ตัวอยู่ในช่องว่างใต้ดินขนาดใหญ่ เงยหน้ามองบนท้องฟ้า เห็นเพียงเปลือกแสงสีเงินค่ายกลป้องกันกำลังกระเพื่อมไม่หยุด ราวกับด้านนอกถูกปราณชั่วร้ายหลากสีล้อมไว้แล้ว
……………