พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2163 กวาดล้างหมด
เมื่อเห็นจังหวะการโจมตีเสียระเบียบ ชิงเยว่ที่โกรธจนหน้าดำก็โบกกระบี่ตะโกนเสียงเข้ม “ยิง!”
มือธนูที่ล้อมอยู่รอบหลุมไม่ผลัดกันยิงอีก แต่ยิงพร้อมกันให้เกิดฝนธนู ง้างสายธนูยิงพร้อมกันไม่หยุด ถล่มมังกรยาวที่พุ่งขึ้นมาบุกโจมตีไม่ขาดสาย
หลุมขนาดใหญ่ราวกับเป็นหม้อใหญ่ใบหนึ่ง คนเหมือนเป็นมดอยู่ในหม้อ อานุภาพการโจมตีอันรุนแรงของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ บวกกับคนข้างล่างที่ร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านไว้ ทำให้หินดินปลิวว่อน ตีกวนคนในหม้อให้เหมือนมดที่อยู่ในทราย เป็นฉากที่น่าเวทนาที่สุด
“กองทัพองครักษ์ฟังคำสั่ง กองหน้าบุกโจมตี กองหลังใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงโจมตี!” ซีเหมินอู๋เหย่ร่ายอิทธิฤทธิ์คำรามอย่างเดือดดาล
กำลังพลแนวหน้าบุกไปข้างหน้าต่ออย่างไม่กลัวตาย กำลังพลกองหลังพลันวางโล่ แล้วหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขึ้นมา ชั่วพริบตานั้นลูกธนูดาวตกยิงไปทั่วสี่ด้านแปดทิศ ยิงกำลังพลที่ล้อมโจมตีอยู่รอบหม้อใหญ่จนวุ่นวายเสียระเบียบ ทำให้กำลังพลกองหน้าที่บุกโจมตีได้โอกาสเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว
ความสามารถในการรบอันเก่งกาจของกองทัพองครักษ์ ในเวลานี้เปิดเผยออกมาหมดอย่างไม่ต้องสงสัย ชุลมุนขนาดนี้ ถูกโจมตีจนย่อยยับถึงขั้นนี้ แนวทางการบัญชาการก่อรูปขึ้นเองอย่างรวดเร็ว ตระหนักได้เองว่าต้องให้สมาชิกยศสูงสุดเป็นผู้บัญชาการ และตัวเองก็ฟังคำบัญชาการ
เมื่อเห็นกำลังพลกองทัพองครักษ์เหลืออยู่ไม่เยอะแล้ว ก็พุ่งมาถึงอย่างรวดเร็ว ไม่น่าเชื่อว่าชิงเยว่จะไม่คิดอย่างอื่นเลย จะใช้กำลังปะทะตรงๆ โบกกระบี่ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “จุดยิงโจมตีหยุดก่อน! กองหลัง บุกโจมตี!”
กองหนุนที่อยู่ข้างหลังกระบวนทัพยิงโจมตีพุ่งออกมาทันที เสียงตะโกนฆ่าสนั่นฟ้า ทยอยกันพุ่งลงมาในหม้อจากมุมสูงสี่ด้านแปดทิศ ประจัญบานกับกองทัพองครักษ์ ทำศึกเลือดกันแล้ว ส่วนกำลังพลที่ล้อมยิงโจมตีอยู่รอบๆ ก็รีบหยุดยิงใส่กองทัพองครักษ์ เปลี่ยนไปยิงใส่ด้านหลังกองทัพองครักษ์แทน ระงับการยิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่อยู่ขกองหลังของฝ่ายศัตรู
กลุ่มวิญญาณชั่วร้ายถอยไปแล้ว วิธีการต่อสู้ที่เสี่ยงชีวิตแบบนี้น่าตกใจมาก ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
เฮยทั่นที่ยืนอยู่ข้างกายชิงเยว่ทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน มองชิงเยว่เป็นระยะ พบว่าผู้หญิงคนนี้บ้าระห่ำเกินไปแล้ว เอาชนะง่ายแต่ไม่ชนะ นี่จงใจเอาชีวิตคนไปเติมชัดๆ!
ชิงเยว่สีหน้าเยียบเย็น สองตาจ้องเขม็งสภาพการสู้รบ
เมื่อเห็นกำลังพลทัพอารักขาของเหมียวอี้เพิ่มจำนวนการบาดเจ็บล้มตายอย่างรวดเร็ว เฮยทั่นก็เริ่มทนไม่ได้แล้ว “เจ้าทำอย่างนี้ ถ้าสู้แพ้ขึ้นมาจะทำยังไง? ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะชี้แจงกับท่านอ๋องยังไง!”
ชิงเยว่ตอบด้วยใบหน้านิ่งเฉย “ทัพฝ่ายศัตรูอย่างมากก็เหลือแค่กำลังพลล้านเดียว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าคนสี่ห้าล้านของข้าจะเอาชนะพวกเขาไม่ได้!” แต่จากนั้นก็กล่าวเสียงต่ำอีกว่า “เจ้าบอกให้พวกวิญญาณชั่วร้ายเตรียมตัวให้ดี ถ้าสถานการณ์ฝั่งพวกเราเริ่มไม่ชอบมาพากล ก็ให้พวกเขามาช่วยทันที!”
“ในเมื่อเจ้ามีความกังวลนี้ ยังเอาชีวิตทัพอารักขาของท่านอ๋องไปเสี่ยงอีกเหรอ?” เฮยทั่นโมโหแล้ว
ชิงเยว่หันขวับ “ขัดคำสั่งบนสนามรบ เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าเหรอ?”
“…” เฮยทั่นยืดคอแต่เถียงไม่ออก มองกำลังพลอารักขาข้างกายชิงเยว่ที่สามารถใช้กฏได้ทุกเมื่อ ในใจพึมพำสาปแช่ง แล้วหันกลับไปเรียกวิญญาณชั่วร้ายให้เตรียมตัว
การต่อสู้บนฟ้าจบลงก่อนแล้วด้วยความได้เปรียบ ชิงเยว่กลับไม่ให้พวกเขาไปเข้าร่วมการต่อสู้อีก แต่สั่งให้พวกเขากระจายตัวกันอยู่รอบหลุมใหญ่บ้างบนฟ้าบ้าง ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เตรียมพร้อมป้องกัน เตรียมยิงสังหารทหารที่หลบหนี ไม่ยอมให้ทัพฝ่ายศัตรูหนีไปได้สักคน!
ตามเสียงคำสั่งของชิงเยว่ มือธนูที่เดิมทีอยู่รอบหลุมใหญ่พุ่งเข้าไปในหลุมใหญ่อีกครั้ง ส่งกองหนุนเกือบหนึ่งล้านให้ไปโจมตีนำไปก่อน
เสียงตะโกนฆ่าดังก้องอยู่ระหว่างฟ้าดินไม่หยุด
ขอบเขตการล้อมโจมตีหดเล็กลงทีละนิด สิ่งที่ตามมาติดๆ ก็คือขอบเขตการบุกโจมตีของกองทัพองครักษ์ถูกบีบให้หดลงเรื่อยๆ หมายความว่าวงล้อมโจมตีรอบๆ ที่หดเข้ามยิ่งกดดันมากขึ้น
ตอนกำลังพลหลายหมื่นที่นำโดยซีเหมินอู๋เหย่ถูกบีบให้หดอยู่ที่จุดดันทุรังต่อต้านตรงกลาง ชิงเยว่ก็ออกคำสั่งอีกครั้ง มือธนูที่ขี่สัตว์พาหนะบินเตรียมพร้อมอยู่โดยรอบรีบพุ่งขึ้นฟ้าสูง
ซีเหมินอู๋เหย่เงยหน้า แล้วคำรามด้วยใบหน้าที่เมไปด้วยความสิ้นหวังทันที “อา!”
ลำแสงบนฟ้ายิงเข้ามาอย่างหนาแน่นราวกับห่าฝน ยิงเข้ามายังจุดที่ล้อมไว้ตรงกลางอย่างบ้าระห่ำ
กลุ่มที่คอยคุ้มกันให้ซีเหมินอู๋เหย่พุ่งเข้ามาชูโล่อย่างสุดชีวิต คนหนึ่งพันชูโล่บังให้ซีเหมินอู๋เหย่แล้ว
เพียงการโจมตีระลอกเดียว ก็ทำให้กำลังพลที่โดนล้อมอยู่ตรงกลางพังทลายโดยสิ้นเชิง
“ฆ่า!” กำลังพลที่ล้อมรอบราวกับฟางข้าวที่โดนพายุพดถล่ม แกว่งดาบกำจัดผู้ที่รอดชีวิตยุ่งเหยิงไปหมด
พลิกเลือดเนื้อขึ้นมา ซีเหมินอู๋เหย่ปีนขึ้นมาท่ามกลางศพที่กองสุมกัน เลือดเนื้อปนกันเละเทะทั้งตัว แทบจะไม่เหลือสภาพคนแล้ว มีเพียงดวงตาสองข้างที่มองไปรอบๆ มองไม่เห็นผู้รอดชีวิตเลย ไม่เห็นลูกน้องรอดชีวิตสักคน เป็นเพราะการบัญชาการที่ผิดพลาดไปชั่วขณะ จึงก่อเกิดเป็นความเสียหายใหญ่โตขนาดนี้
ที่จริงในตอนนี้ทั้งหม้อใหญ่กลายเป็นทะเลเลือดภูเขากระดูกไปแล้ว น้ำเลือดที่ตกตะกอนไม่มีทางจมลงอย่างรวดเร็ว ข้างในราวกับเป็นของเหลวเหนียวสีแดงเลือด
แต่ไม่ว่าใครก็รู้ว่านี่คือแม่ทัพคนสำคัญของทัพฝ่ายศัตรู ชิงเยว่ก็ยิ่งรู้ว่าคนนี้คือรองผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ของหน่วยองครักษ์ซ้าย ถ้าจับเป็นกลับมาได้จะทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพองครักษ์สั่นคลอนมากแน่นอน จึงถ่ายทอดคำสั่งให้จับตัวไว้!
ข้างล่างมีคนตะโกนบอกว่า “ยอมแพ้!”
“ยอมแพ้!”
“ยอมแพ้!”
กำลังพลของชิงเยว่ส่งเสียงราวกับภูเขาคำรามทะเลคลั่งออกมา โบกอาวุธไปทางซีเหมินอู๋เหย่ที่ยืนอยู่บนกองศพ
ซีเหมินอู๋เหย่สังเกตเห็นว่าในกำไลเก็บสมบัติมีระฆังดาราสั่นไม่หยุด จึงชูดาบขึ้นมาปาดคอตัวเองอย่างเด็ดขาดรวดเร็ว เลือดสดสายหนึ่งพุ่งออกมา ทำให้เสียงตะโกนยอมแพ้เงียบลงโดยฉับพลัน
ร่างที่ยืนอยู่บนกองกระดูกล้มลงด้วยความเสียใจ ต่อให้ตายก็ไม่ยอมแพ้…
เก็บกวาดสนามรบอย่างรวดเร็ว ตรวจนับความเสียหายในการรบ ระดับความแข็งแกร่งของกองทัพองครักษ์กลุ่มนี้ทำให้ชิงเยว่หน้าบึ้งอยู่ตลอด
ศึกตัดสินสนามสุดท้าย กองทัพองครักษ์เหลือกำลังพลบาดเจ็บอยู่เพียงล้านคนเท่านั้น นางทุ่มกำลังสี่ห้าล้านให้บุกโจมตี แต่กลับถูกฝ่ายตรงข้ามสังหารตายไปเกือบสามล้าน บวกกับความเสียหายก่อนหน้านี้ กำลังพลห้าล้านที่นางพามาด้วยเสียหายไปแล้วสามล้าน ยังไม่รวมคนที่บาดเจ็บ ต้องทราบไว้ว่าคนที่นางพามาด้วยล้วนเป็นทัพอารักขาของท่านอ๋อง เป็นทหารที่เกรียงไกรที่สุดของทัพใต้
ทว่าสิ่งที่นางไม่รู้ก็คือ เพื่อรับประกันความสำเร็จในการลอบสังหารเหมียวอี้ คนที่ซีเหมินอู๋เหย่พามาด้วยก็ล้วนเป็นทหารที่เกรียงไกรที่สุดของกองทัพองครักษ์เช่นกัน
กวาดล้างหมด! ศึกนี้สู้ชนะแล้ว แต่หลังจากได้ฟังรายงานผลการรบ เหมียวอี้ที่อยู่ในห้องหนังสือกลับตบโต๊ะยืนขึ้นอย่างโมโห เดินไปเดินมาอยู่ในห้องไม่หยุด
“ท่านอ๋องเป็นอะไรไป?” หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ ถาม
เหมียวอี้กล่าวอย่างโมโห “อยู่ในเงื่อนไขที่ได้เปรียบเหมือนฟ้าดินเป็นใจขนาดนั้น มีวิญญาณชั่วร้ายที่เฮยทั่นนำมาเพื่อควบคุมให้ปราณชั่วร้ายช่วยเหลือ สามารถกุมอำนาจฝ่ายกระทำได้ทั้งหมดด้วยซ้ำ กำลังพลดักซุ่มไม่มีทางทนอยู่ท่ามกลางปราณชั่วร้ายได้นานเลย ข้าเคยชี้แนะนางแล้ว ว่าให้ล่อกำลังพลฝ่ายศัตรูออกมา ข้าศึกรุกเราถอย ข้าศึกหยุดเรากวน ใช้ปราณชั่วร้ายทำให้เสียหายซ้ำไปซ้ำมา ก็จะคว้าชัยชนะได้ง่ายๆ แล้ว ให้กำลังพลนางแค่หนึ่งล้านก็เพียงพอแล้ว แต่เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัยและมั่นใจ ข้าถึงให้กำลังพลห้าล้านกับนาง! ใครจะคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะรีบร้อนอยากชนะ ทิ้งข้อได้เปรียบฝ่ายตัวเอง มีปราณชั่วร้ายคอยช่วยแต่ไม่เอามาใช้ประโยชน์ ไม่น่าเชื่อว่าจะเอากำลังพลห้าล้านไปปะทะกับกองทัพองครักษ์สิบล้านโดยตรง ทำให้ทัพเกรียงไกรของข้าเสียหายไปสามล้าน! บ้าเอ๊ย! บ้าไปแล้ว! ตอนที่ข้าอยู่สระน้ำมังกรดำก็น่าจะมองออกแล้ว ผู้หญิงคนนี้ชอบเสี่ยงอันตรายเวลาทำศึก ไม่ควรให้นางบัญชาการศึกนี้เลย ควรให้หลงซิ่นไปมากกว่า!”
หยางเจาชิงขมวดคิ้ว “ชิงเยว่ก็ไม่ได้โง่ ตอนนี้น่าจะเดาออกว่าท่านอ๋องไม่กลัวคนเยอะ กลัวแต่คนน้อย เป็นเวลาที่ต้องการกำลังพลจำนวนมาก แต่นี่เสียกำลังพลจำนวนมากในรวดเดียว…หรือว่าจะมีความจริงอะไรอย่างอื่นที่ปิดบังไว้อีก?”
ในฐานะที่เป็นพ่อบ้านคนสนิทข้างกายเหมียวอี้ ช่วยพูดคำเดียวก็ได้ผลชัดเจนมาก นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมอนุภรรยามากมายในจวนถึงอยากประจบเอาใจเขา
พอเขาพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็ใจเย็นลงแล้ว หยิบระฆังดาราออกมาถามชิงเยว่ : ข้าเคยเตือนเจ้าตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมเจ้าฝืนใช้กำลังปะทะโดยตรง?
ชิงเยว่ตอบว่า : ในปีนั้นตอนที่ข้าน้อยถูกลดตำแหน่ง กองทัพองครักษ์ยังไม่ได้มีชื่อเสียงมากขนาดนี้ ตอนนี้กองทัพองครักษ์มีบารมีสะเทือนใต้หล้า ข้าน้อยอยากจะทดสอบมานานแล้ว! ท่านอ๋องต้องการจะทำงานใหญ่ ท่านอ๋องผู้สง่าผ่าเผยมีหรือที่จะไม่ทำศึกที่ใช้กำลังปะทะตรงๆ หลังจากศึกนี้ ยามทัพอารักขาของท่านอ๋องเจอกับกองทัพองครักษ์ ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องหวาดกลัวอีก! ในเมื่อท่านอ๋องให้ข้าน้อยเป็นผู้บัญชาการว้ายของทัพอารักขา ข้าน้อยย่อมหล่อหลอมทัพอารักขาให้เป็นความรับผิดชอบของตัวเอง!
กำลังพลห้าล้านใช้กำลังเอาชนะกองทัพองครักษ์สิบล้านได้! เหมียวอี้ได้ยินแล้วตกอยู่ในความเงียบ ลองคิดให้ละเอียดก็พบว่าเรื่องนี้มีอิทธิพลของทัพอารักขาของตัวเอง เขาค่อยๆ กลับมานั่งลงแล้ว ตามหลักแล้วถ้าชิงเยว่มีความคิดนี้ก็ควรจะบอกให้เขารู้ก่อน แต่พอลองคิดดูก็พอเข้าใจได้ ว่าการเอาชีวิตลูกน้องไปถมเติมไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะเอ่ยปาก
กองทัพองครักษ์สิบล้านไม่เหลือสักคน ฆ่าจนหมดเกลี้ยง มีลูกน้องเก่าที่ตัวเองแทรกไว้ในนั้นด้วย…เหมียวอี้เงยหน้าถอนหายใจ “เป็นผู้หญิงที่ทำตัวไม่เข้าท่า! เดี๋ยวต่อไปเจ้าคัดเลือกผู้ชายมาสักพันคน เอาดีๆ นะ ให้นางเลือกเอาเอง ต้องให้นางแต่งงานเร็วๆ หน่อย!”
“…” หยางเจาชิงพูดไม่ออก หมายความว่าอะไร?
ในเขตลานบ้านขนาดใหญ่ที่อยู่ลึก ใบไม้ร่วงเต็มพื้น ใบไม้แห้งเหลืองเต็มพื้น
ในศาลาเย็น โพ่จวินวางระฆังดาราในมือช้าๆ แล้วเริ่มแสยะยิ้ม “ซีเหมินเอ๊ยซีเหมิน เจ้าเป็นคนบาปชั่วนิรันดร์ของกองทัพองครักษ์!” พูดจบก็หลับตาลงช้าๆ ตรงหางตามีน้ำตาไหลออกมา
คนเก่าคนแก่ที่ติดตามทำงานมาตั้งแต่อดีต ในกองทัพองครักษ์จะว่าน้อยก็ไม่น้อย จะว่าเยอะก็ไม่เยอะ ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วยังติดต่อไม่ได้ เขาเดาออกแล้วว่าจุบจบของซีเหมินอู๋เหย่เป็นอย่างไร
จวนอ๋องสวรรค์เฉิง ในเรือนใหญ่หลังหนึ่ง เฉิงไท่เจ๋อตั้งใจนำเรือนพักแห่งหนึ่งในจวนเพื่อใช้เป็นศูนย์บัญชาการให้กองทัพองครักษ์
ในโถงหลัก ฉวี่ฉางเทียนนั่งสมาธิเงียบๆ เบื้องล่างมีผู้บัญชาการทหารยืนอยู่สองแถว ในมือพวกเขากำลังใช้ระฆังดาราติดต่อไม่หยุด ต่างก็กำลังติดต่อกับคนของซีเหมินอู๋เหย่
มาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังคนข้างกายแล้ว
ฉวี่ฉางเทียนถอนหายใจเบาๆ “สงสัยจะตายหมดกองทัพแล้ว”
หนึ่งในทหารที่ยืนอยู่เบื้องล่างกลับกล่าวเสียงต่ำว่า “กล้าใช้กำลังพลห้าล้านปะทะกับทัพเกรียงไกรสิบล้านของข้าตรงๆ ทัพอารักขาของหนิวโหย่วเต๋อเกรียงไกรถึงขั้นนี้แล้วเหรอ?”
มีคนตอบกลับเสียงเบาว่า “สถานการณ์คลุมเครือต่างๆ บนสนามรบล้วนทำให้เกิดการตัดสินใจผิดพลาดได้ง่าย ไม่ว่าใครก็ถึงเวลาพลาดได้ทั้งนั้น” เขาเป็นลูกน้องเก่าของซีเหมินอู๋เหย่
ทุกคนขมวดคิ้ว ที่จริงซีเหมินอู๋เหย่กับฉวี่ฉางเทียนเป็นรองผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายเหมือนกัน รบตายก็ว่าแย่แล้ว ทั้งยังรบตายภายใต้สถานการณ์ที่ตัวเองอยู่ในฝ่ายได้เปรียบอีก จะให้ทนรับความรู้สึกได้อย่างไร!
หลังจากหลับตาเงียบๆ ไปนาน ฉวี่ฉางเทียนก็ถอนหายใจออกมา แล้วหยิบระฆังดาราขึ้นมารายงานต่อเบื้องบนอีกครั้ง
วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร หลังจากซ่างกวนชิงเก็บระฆังดารา ก็กล่าวอย่างยากลำบากว่า “ฝ่าบาท ทางหน่วยองครักษ์ซ้ายสันนิษฐาน ว่าคนในแดนมรณะดึกดำบรรพ์คงจะตายหมดกองทัพแล้วขอรับ”
เกาก้วนสีหน้าเรียบเฉย ซือหม่าเวิ่นเทียนถือระฆังดารามองซ้ายมองขวาอู๋ฉวี่สีหน้าเคร่งเครียด
“คนห้าล้านปะทะกับทัพเกรียงไกรสิบล้านของข้า หึหึ…ซีเหมินอู๋เหย่นับว่าเป็นคนเก่าคนแก่ที่ติดตามข้ามาตั้งแต่ปีนั้นใช่มั้ย? ช่างเสียหน้านัก!” ประมุขชิงตบโต๊ะแสยะยิ้ม สีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย ครั้งนี้เหมียวอี้ตบหน้าเขาจนเจ็บแสบ
ทันใดนั้นซือหม่าเวิ่นเทียนก็รายงานว่า “ฝ่าบาท ทัพใหญ่แดนรัตติกาลที่อยู่ในสายมะเส็งบุกหน้าเหมือนผ่าลำไผ่ ยึดอาณาเขตได้ต่อเนื่องกันเยอะมาก แต่สถานการณ์แปลกๆ นิดหน่อย กำลังพลสายมะเส็งไม่เหมือนรบแพ้ แต่เหมือนยอมมอบอาณาเขตให้เองมากกว่าขอรับ!”
…………………