พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2167 เหนียงเหนียงโปรดสำรวมกิริยา
ในตึกศาลา สองแม่ลูกดื่มด้วยกัน ทั้งคู่ล้วนมีสีหน้ากลัดกลุ้มใจ กำลังคิดว่าต้องทิ้งอาณาเขตใหญ่โตขนาดนี้ไปแล้ว ราชินีสวรรค์กับโอรสสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานต้องหดหัวอยู่ในสถานที่ธุรกันดารอย่างนั้น ในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์มาก
เมื่อแน่ใจแล้วว่าเบื้องล่างเริ่มเก็บรวบรวมกำลังพล ชิงหยวนจุนก็วางระฆังดาราแล้วถอนหายใจ “เฮ้อ”
“จุนเอ๋อร์ถอนหายใจทำไม?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่
ชิงหยวนจุนส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ลูกไม่เต็มใจ!”
รู้ถึงความรู้สึกของนาง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่บอกว่า “ลูกชายข้าอย่าท้อแท้ นี่ไม่นับว่าพ่ายแพ้อะไร ในปีนั้นหนิวโหย่วเต๋อได้รับความยากลำบากครั้งแล้วครั้งเล่า หลายครั้งแทบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่เขาก็ยิ่งแพ้ยิ่งกล้าหาญ ตอนนี้ได้เป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้แล้ว นี่ก็คือตัวอย่าง ลูกชายข้าจะสู้กับคนธรรมดาสามัญไม่ได้เชียวหรือ? แต่ตอนนี้พวกเราถูกสถานการณ์บีบบังคับ ต้องคอยเกรงใจคนอื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ คำโบราณกล่าวไว้ดีมาก ถอยหนึ่งก้าว ทะเลกว้างฟ้าใส!” คำพูดไพเราะไม่ว่าใครก็พูดได้ทั้งนั้น แต่เมื่อเรื่องราวมาถึงตัวนาง นางกลับไม่ได้สง่าผ่าเผยอย่างนี้
“เสด็จแม่พูดถูก เป็นถูกเองที่ไม่ทำสภาพจิตใจให้ถูกต้อง เพียงแต่ว่า…” ชิงหยวนจุนอึกอักเหมือนอยากพูดอะไร สุดท้ายก็ขมวดคิ้วบอกว่า “คิดไม่ตกว่าตระกูลเซี่ยโห้วคิดยังไงกันแน่ พวกเรายินดีเป็นฝ่ายไปขอพึ่งพาแล้ว ในเมื่อตั้งใจจะสนับสนุน ทำไมยังต้องให้หนิวโหย่วเต๋อมาเป็นคนกลางอีก?”
ตอนแรกยังซื่อบื้อ ก่อกบฏภายใต้อารมณ์โกรธชั่ววูบ ตอนนี้เริ่มสังเกตได้นิดหน่อยว่าเหมือนจะถูกหนิวโหย่วเต๋อจูงจมูกเดินมาตลอด ทว่าสถานการณ์ทำให้เขาไม่มีอำนาจตัดสินใจเลย เดินมาถึงขั้นนี้แล้วเหมือนจะไม่มีทางเลือกมากนัก
ใต้ตึก ฉินฟ่างสวมเกราะรบ นำคนหลายสิบคนเดินก้าวยาวมาจากปลายสุดของทางเดิน
พอเดินมาถึงใต้ตึกศาลา ในบรรดาสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติ เอ๋อเหมยออกมายื่นมือขวาง “ขุนพลฉินมีเรื่องอะไร บ่าวจะไปรายงานก่อน!” สายตามองประเมินคนที่ถือดาบถือทวนอยู่ข้างหลัง
ใครจะคิด ฉินฟ่างไม่พูดพร่ำทำเพลงเลย จู่ๆ ก็ชักกระบี่วิเศษออกจากฝัก ถือโอกาสปาดเฉียงขึ้นไป ทำให้เกิดดอกเลือดกลุ่มหนึ่ง
เหนือความคาดหมายโดยสมบูรณ์ เอ๋อเหมยแทบจะตอบสนองอะไรไม่ทันด้วยซ้ำ นางเบิกตากว้าง ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ซี่โครงขวาจนถึงไหล่ขวามีเลือดสาดออกมาก่อนจะพังทลายลงไป ร่างกายท่อนล่างล้มตามลงไปเช่นกัน
เลือดสดสาดเข้ามา ฉินฟ่างไม่ได้หลบ ปล่อยให้เลือดกระเด็นใส่ร่างกายตัวเอง
สาวใช้หลายคนที่อยู่ข้างหลังตกใจค้าง คนถือดาบทวนที่อยู่ข้างหลังฉินฟ่างตามสังหารสาวใช้เหล่านั้นทันที สาวใช้ที่เริ่มระวังตัวบ้างแล้วรีบถลันหลบ ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงกรีดร้อง “มีมือสังหาร มีมือสังหาร…”
ทหารหลายสิบคนไล่ตามสังหาร
ฉินฟ่างที่ปลายกระบี่มีเลือดหยด ถือกระบี่เดินขึ้นมาบนตึกทีละก้าว
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับชิงหยวนจุนที่อยู่บนตึกกำลังรู้สึกสมองมืดทึบ คนหนึ่งส่ายหน้า คนหนึ่งเอามือนวดขมับ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากด้านล่าง สองแม่ลูกตกใจ ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ร่างกายโซเซ ส่วนชิงหยวนจุนก็นั่งกลับลงไป พยายามออกแรงตบหน้าผากตัวเอง
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พลันจ้องอาหารบนโต๊ะ ทำสีหน้าตกใจเสียขวัญ “ในอาหารมียาพิษ! ใครก็ได้…” ตะโกนหลายครั้งแต่ไม่มีเสียงตอบ อยากจะร่ายอิทธิฤทธิ์แต่กลับพบว่าพลังอิทธิฤทธิ์เชื่องช้าลง ข้างล่างมีเสียงฝีเท้าประชิดเข้ามา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่โซเซไปอยู่ข้างกายชิงหยวนจุนทันที ประคองแขนเขาพร้อมบอกว่า “จุนเอ๋อร์ รีบไป!”
สองแม่ลูกเดินโซเซออกจากโต๊ะ เดินไปได้ไม่ไกลนัก ข้างหลังก็มีเสียงทุ้มต่ำดังมา “เหนียงเหนียง องค์ชาย จะไปไหนกัน?”
พอสองแม่ลูกหันกลับไปมอง สายตาก็หยุดอยู่บนกระบี่วิเศษเปื้อนเลือดบนมือฉินฟ่าง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวทันที
“รีบหนีไป!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ผลักลูกชาย เอาร่างกายมาขวางตรงหน้า ชี้เขาพลางตะโกนว่า “บังอาจ! ฉินฟ่าง เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เสียงต่อสู้ข้างล่างสงบลงเร็วมาก เสียงกรีดร้องสุดท้ายดังออกมา ชิงหยวนจุนเอียงหน้ามอง มองจากบนระเบียงเห็นสาวใช้คนหนึ่งของตัวเองใต้ตึกโดนฟันหัวขาด เป็นครั้งแรกที่เจอทหารกบฏอย่างนี้ เขาตกใจจนขวัญกระเจิง ใบหน้าซีดขาว ไม่สนใจมารดาตัวเองแล้ว ล้มลุกคลุกคลานวิ่งหนีอยู่อย่างนั้น
ฉินฟ่างพลิกมือคว้ากระบี่ โบกมือแทงกระบี่ออกมา แสงสะท้อนคมกระบี่แฉลบผ่านตัวเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไป
“อา!” เสียงกรีดร้องดังขึ้น
เสียงที่คุ้นเคยนั้นทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตัวสั่นขณะหันกลับไปมอง เห็นเพียงชิงหยวนจุนถูกกระบี่วิเศษแทงทะลุหลังแล้ว ตอกไว้บนเสาต้นหนึ่งข้างระเบียง เลือดสดไหลหยดลงมา มือเท้าขยับดิ้นรน แต่กลับไม่มีทางหนีไปได้ กอดเสาหันกลับมาอย่างไร้เรี่ยวแรง ร้องเรีกยเสียงสั่นว่า “เสด็จแม่ช่วยข้าด้วย…ช่วยข้าด้วย…”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แทบจะตาถลน ตกใจจนทรุดนั่งกับพื้น นางได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาข้างกายพอหันไปมองแล้วเห็นว่าเป็นฉินฟ่าง ก็ยื่นมือขวางพลางตวาดถาม “เจ้าคิดจะก่อกบฏเหรอ?”
ฉินฟ่างก้มมองต่ำ กล่าวอย่างเย็นชาว่า “คนที่ก่อกบฏคือพวกเจ้าสองแม่ลูกต่างหาก แต่กลับวางกับดักพวกเราแล้ว! เดิมทีคิดว่าติดตามพวกเจ้าสองแม่ลูกแล้วจะมีอนาคตแต่ใครจะคิด…ถอยกลับแดนรัตติกาลงั้นเหรอ? พวกเจ้าสองคนช่างคิดได้ เจ้าคิดว่าตำหนักสวรรค์ยังจะควักค่าจ้างเลี้ยงทัพใหญ่แดนรัตติกาลหรือไง? พวกเจ้าสองคนจะเอาอะไรมาเลี้ยงกำลังพลมากขนาดนั้น?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่มองแม่ทัพคนอื่นที่กำลังจ้องมองอย่างดุร้าย ตอบเสียงดังว่า “มีคนให้ทรัพยากร ขอเพียงข้าเอ่ยปาก อ๋องสวรรค์คุมทัพใต้จะต้องให้แน่นอน ทั้งยังมีตระกูลเซี่ยโห้วอีก ฆ่าเขาให้ข้า ฆ่าเขาให้เขา รีบช่วยองค์ชาย!”
ฉินฟ่างแสยะยิ้ม “ในเมื่อหวังให้คนอื่นเลี้ยง พวกเรายังต้องหวังให้พวกเจ้าสองแม่ลูกมาเลี้ยงอีกเหรอ ยังจำเป็นต้องเชื่อฟังพวกเจ้าสองแม่ลูกอีกเหรอ?” พูดจบก็เดินไปข้างหน้าต่อ
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ล้มอยู่บนพื้นกระโจนเข้ามา กอดขาฉินฟ่างเอาไว้ ส่ายหน้าวิงวอนขอร้อง “ขอร้องเจ้าล่ะ! ข้าขอร้องเจ้า ปล่อยจุนเอ๋อร์ไป ช่วยเขาด้วย!”
“เหนียงเหนียงโปรดสำรวมกิริยา!” ฉินฟ่างยกเท้าขึ้นมา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ล้มไปด้านข้าง หมอบบนพื้นพลางร้องอย่างโศกเศร้า “อย่า!”
พอเดินมาข้างหลังชิงหยวนจุน ฉินฟ่างก็ชักกระบี่แหย่เข้ามา ตรงคอชิงหยวนจุนมีเลือดสาดออกมา ศีรษะใบใหญ่กลิ้งบนไม้กระดาน จากนั้นร่างก็ล้มลงพื้น
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถลึงตากว้าง รู้สึกโง่เขลาอย่างถึงที่สุด ฉากที่อยู่ตรงหน้า รวมทั้งแต่ละฉากในอดีตที่ผ่านมา ราวกับเป็นความฝันฉากหนึ่ง
“พาตัวไป!” ฉินฟ่างตะคอก มีคนสองเข้ามาขนาบข้างเซี่ยโห้วเฉิงอวี่แล้วคล้องแขนลากออกไปทันที
ส่วนฉินฟ่างก็โน้มตัวเก็บศีรษะของชิงหยวนจุนขึ้นมา ชูไปทางตึกไกลๆ หลังหนึ่งที่หน้าต่างปิดสนิท
ตึกนั้นเปิดหน้าต่างออกครึ่งเดียว ร่างของหยางชิ่งหันหลังให้แล้วหายไป…
ใช้เวลาไม่นาน บนฟ้าก็มีกำลังพลกลุ่มหนึ่งสังหารเข้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว ผู้บัญชาการทัพก็คือเหิงอู๋เต้า…
ในจวนเทพประจำดาว เยี่ยนหลูหนึ่งในหัวหน้าภาคทั้งห้าของทัพใหญ่แดนรัตติกาล กำลังเดินไปเดินมาอยู่ในศาลา อาลัยอาวรณ์ทิวทัศน์อันงดงามในจวนนี้เช่นกัน
ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในตำหนักสวรรค์ เวลาส่วนใหญ่ของเขาก็ใช้ไปกับการฟังคำสั่งอยู่ในกองทัพองครักษ์ ตอนหลังถูกย้ายเข้ามาในทัพใหญ่แดนรัตติกาล ยังไม่เคยได้เสพสุขกับจวนที่งดงามหรูหราขนาดนี้มาก่อน นี่เพิ่งเสพสุขได้ไม่กี่วัน ผลปรากฏว่าต้องทิ้งไปอีกแล้ว แต่สถานการณ์ก็ทำให้คนทำตามใจตัวเองไม่ได้!
รองหัวหน้าภาคจ้าวเซียนเดินก้าวยาวเข้ามา กุมหมัดคารวะ “นายท่าน!”
“ระดมกำลังพลไปถึงไหนแล้ว?” เยี่ยนหลูเอ่ยถาม
จ้าวเซียนบอกว่า “ใกล้แล้วขอรับ…แต่ข้าน้อยได้ยินข่าวบางอย่างมาจากเพื่อนร่วมงานที่ดีจอมพลสายมะเส็ง สถานการณ์ไม่ค่อยดี ไม่รู้ว่าจริงหรือโกหก”
เยี่ยนหลูเหล่ตามอง “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ไม่ต้องอึกอัก”
จ้าวเซียนขมวดคิ้ว “ได้ยินว่าองค์ชายตายแล้ว”
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน?” คำพูดของเขาทำให้เยี่ยนหลูตกใจทันที
จ้าวเซียนบอกว่า “ข้าน้อยก็ได้ยินมาเหมือนกัน ข้าน้อยก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ฟังจากที่อีกฝ่ายพูดก็เหมือนจะใช่ องค์ชายออกคำสั่งให้ถอนทัพกลับแดนรัตติกาล ทำให้คนจำนวนมากไม่พอใจ ฉินฟ่าง หัวหน้าภาคฉินต่อต้านอย่างหนัก องค์ชายโมโหมากต้องการสั่งลงโทษหัวหน้าภาคฉิน ผลปรากฏว่าหัวหน้าภาคฉินนำทหารมาสังหารองค์ชายด้วยความโมโห!”
“…” เยี่ยนหลูได้ยินแล้วอกสั่นขวัญแขวน แต่อย่าให้เป็นความจริงเลย ในเวลานี้จะเกิดเรื่องกับชิงหยวนจุนไม่ได้ ทุกคนทรยศตำหนักสวรรค์อย่างเปิดเผยแล้ว ยังมีความหวังกับสายสัมพันธ์ระหว่างท่านนั้นกับตระกูลเซี่ยโห้ว
จ้าวเซียนบอกอีกว่า “จะจริงหรือโกหก นายท่านติดต่อองค์ชายดูสักหน่อยก็รู้แล้ว”
เยี่ยนหลูจ้องน้าเขาครู่เดียว จากนั้นก็นำระฆังดาราออกมาติดต่อชิงหยวนจุน ทว่าไม่ว่าจะติดต่ออย่างไรก็ไม่มีการตอบกลับ เขาเริ่มวิตกกังวลแล้ว อย่าให้เรื่องนี้เป็นจริงเลย! เขาอยากจะติดต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ แต่จนใจที่ต่อให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะเป็นหงส์ตกอับ แต่ก็ไม่ทิ้งช่องทางการติดต่อไว้ให้เขาเลย
เขาไม่มีความมั่นใจกับเรื่องนี้ สุดท้ายก็แข็งใจติดต่อฉินฟ่างอีก อยากจะหยั่งเชิงฉินฟ่างสักหน่อย
ใครจะคิดว่าพอติดต่อไปแล้ว เขาก็ยังไม่ทันได้พูดอะไร ฉินฟ่างบอกเขาอย่างหัวร้อนแล้วว่า: พี่เยี่ยน กำลังจะติดต่อเจ้าอยู่พอดี เกิดเรื่องใหญ่แล้ว จู่ๆ เหิงอู๋เต้าก็นำทัพใหญ่จู่โจมเข้ามา องค์ชายตายอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ที่ชุลมุน หนียงเหนียงบาดเจ็บสาหัส หน่วยของข้าถูกเหิงอู๋เต้าทัพใหญ่ล้อมโจมตี รีบนำทัพมาช่วยหน่อย!
เยี่ยนหลูวิงเวียนศีรษะ รีบถามว่า : องค์ชายตายแล้วเหรอ?
ฉินฟ่าง : ข้าจะหลอกลวงเจ้าเชียวหรือ รีบนำทัพมาช่วย ไม่อย่างนั้นพวกเราจะตายโดยไร้หลุมฝังศพ!
หลังจากติดต่อเสร็จแล้ว เยี่ยนหลูก็ระแวงสงสัยไม่หยุด จ้าวเซียนบอกว่าองค์ชายถูกฉินฟ่างฆ่า แต่ฉินฟ่างก็บอกว่าองค์ชายถูกฆ่าอยู่ในทัพใหญ่ของเหิงอู๋เต้า ไม่ว่าเรื่องไหนจะเป็นความจริง แต่ก็เหมือนว่าองค์ชายจะตายแล้วจริงๆ!
ข่าวนี้ไม่ชัดเจน จะให้เขาเชื่อฟังไหนดีล่ะ? เห็นได้ชัดว่าเขาจะไม่เชื่อใครง่ายๆ จึงรีบติดต่อสมาชิกที่เกี่ยวข้องเพื่อยืนยันอีก ข่าวที่ได้ล้วนเป็นองค์ชายรบตาย จอมพลสายมะเส็งกำลังถูกทัพใหญ่ของเหิงอู๋เต้าล้อมโจมตี
พอเก็บระฆังดาราแล้ว เยี่ยนหลูก็กล่าวเสียงต่ำว่า “ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป ให้ทัพใหญ่รีบระดมพลโดยเร็วที่สุด!”
จ้าวเซียนยังไม่รับคำสั่ง แต่ถามกลับว่า “นายท่านรู้สึกว่าไปช่วยตอนนี้ยังทันหรือขอรับ?”
เยี่ยนหลูโมโห “หรือว่าเห็นคนเดือดร้อนแล้วจะไม่ช่วย? ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดกับเหนียงเหนียง หนทางสุดท้ายที่พวกเราจะพึ่งพาตระกูลเซี่ยโห้วก็จะถูกตัดขาดแล้ว!”
จ้าวเซียนบอกว่า “ถ้าไม่มีคำสั่งของอ๋องสวรรค์หนิว นายท่านคิดว่าเหิงอู๋เต้าจะกล้าเคลื่อนทัพโจมตีเหรอ? ในเมื่ออ๋องสวรรค์หนิวกล้าลงมือโดยมองข้ามหัวตระกูลเซี่ยโห้ว นายท่านคิดว่ายังจะช่วยไหวอยู่ไหม? อ๋องสวรรค์หนิวคือขุนพลผู้มีชื่อเสียงแห่งยุค ไม่ใช่คนที่ลงมือโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ทำไมถึงโจมตีแค่จอมพลสายมะเส็งและปล่อยพวกเรากับคนอื่นๆ ล่ะ นายท่านไม่รู้สึกว่าในนั้นมีลับลมคมในหรือขอรับ? ตามความเห็นของข้าน้อย นี่เขาต้องการจะใช้กำลังหลักล้อมโจมตีกำลังเสริมชัดๆ! ข้าน้อยขอถามอีกสักหน่อย ที่นี่คืออาณาเขตของอ๋องสวรรค์หนิว ถ้าเขาต้องการจะลงมือจริงๆ นายท่านรู้สึกว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลของพวกเรายังจะมีโอกาสชนะไหม? กำลังพลของพวกเรากระจัดกระจายกัน เป็นโอกาสดีให้พวกเขาลงมือสังหาร มีหรือที่จะให้โอกาสทัพใหญ่แดนรัตติกาลระดมพล? เมื่ออ๋องสวรรค์หนิวลงมือ ก็แสดงว่าเขาเลิกปกป้องพวกเราแล้ว เขายังจะสกัดกองทัพองครักษ์ไม่ให้มาปราบพวกเราได้อีกเหรอ? เขายังจะปล่อยให้พวกเราหนีกลับแดนรัตติกาลอีกเหรอ? เกรงว่าระหว่างทางกลับแดนรัตติกาลคงโดนทัพใหญ่ของเขาดักแน่”
เยี่ยนหลูกัดฟันถาม “ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าบอก พวกเราก็ต้องตายสถานเดียวเหรอ?”
“ก็ไม่แน่!” จ้าวเซียนส่ายหน้า “ข้าน้อยมีคำแนะนำอย่างหนึ่ง…ยอมแพ้!”
“ยอมแพ้?” เยี่ยนหลูมองไปรอบๆ แล้วกล่าวปนเสียงหัวเราะเจื่อนๆ “ยอมแพ้ใครล่ะ? พวกเราเป็นทัพกบฏ ตำหนักสวรรค์จะปล่อยพวกเราไปได้เหรอ? ใครจะกล้ารับพวกเราไว้?”
จ้าวเซียนบอกว่า “ข้าน้อยมีคนคนหนึ่งจะแนะนำให้นายท่าน รับรองว่าช่วยแก้ไขความกังวลให้นายท่านได้แน่ ปกป้องชีวิตพี่น้องของหน่วยเราได้แน่!”
เยี่ยนหลูถามทันที “ใคร?”
จ้าวเซียนกล่าวช้าๆ ว่า “ลูกน้องคนสนิทของอ๋องสวรรค์หนิว…สวีถังหราน ท่านโหวสวี บังเอิญว่าเขาดื่มน้ำชาอยู่กับข้าน้อยพอดี!”
เยี่ยนหลูพลันเบิกตากว้าง จ้องเขาไม่ละสายตา
……………