พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2187 เจ้าแซ่หนิวเป็นหมาบ้า
ไม่เคยเห็นมาก่อน! ไม่เคยเห็นวรยุทธ์ที่น่ากลัวขนาดนี้มาก่อน!
แค่ยกมือก็คว้าดาวตกได้ ในหัวจั่วเอ๋อร์เหม่องงเล็กน้อย อยู่ในระยะไกลขนาดนี้ก็ยังคว้ามือเก็บดาวได้ นี่ก็คือพลังของระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหรอ?
ในที่สุดตอนนี้นางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดในปีนั้นพระปีศาจถึงทำตัวอันธพาลไปทั้งใต้หล้าได้อย่างไม่กลัวใคร!
พอเรียกสติกลับมาจากความตื่นตะลึงอะไรที่เปรียบนี้แล้ว จั่วเอ๋อร์ก็กุมหมัดคารวะอย่างด้วยความยินดีแทบบ้า “ยินดีด้วยผู้อาวุโส ยินดีกับผู้อาวุโส ผู้อาวุโสองอาจดุจเทพ!”
จะไม่ให้ดีใจก็คงยาก อดทนมาหลายปีขนาดนี้ ในที่สุดก็ทนจนมาถึงวันนี้แล้ว ชีวิตที่เหมือนสุนัขไร้บ้านกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว
“องอาจดุจเทพ? ไม่ผิดหรอก ข้าก็คือเทพแห่งจักรวาล!” หนานโปพยักหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วหันกลับมามองนางพร้อมถามอีกว่า “เจ้าเชื่อเหรอว่าข้าคือเทพ?”
“…” จั่วเอ๋อร์พูดไม่ออกนิดหน่อย พบว่าท่านนี้บ้าระห่ำเหมือนที่ตำนานบอกไว้จริงๆ ด้วย เรียกตัวเองว่าเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์แห่งโลกนี้ วันนี้นับว่าได้เจอกับตัวแล้ว เพิ่งจะฟื้นฟูระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาเอง ก็โรคเก่ากำเริบมองตัวเองว่าเป็นเทพอีกแล้ว ถ้าเป็นเทพจริงๆ ตอนแรกมีหรือที่จะมีจุดจบตกต่ำแบบนั้น แต่ไม่กล้าพูดความคิดที่อยู่ในใจออกมา พยักหน้าตอบซ้ำๆ อย่างปากไม่ตรงกับใจ “เชื่อค่ะ!”
หนานโปส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ ในใจเจ้าไม่ได้เชื่อจริงๆ หรอก”
จั่วเอ๋อร์รีบตอบว่า “ไม่ๆๆ ผู้น้อยเชื่อจริงๆ ในใจของผู้น้อย ผู้อาวุโสก็คือเทพ!”
แววตาที่เงียบขรึมล้ำลึกของหนานโปจ้องมา จ้องจนจั่วเอ๋อร์หัวใจเต้นตึกๆ นางก้มหน้าอย่างไร้ความมั่นใจ ไม่กล้าสบตาเขาโดยตรง
หนานโปค่อยๆ หันกลับไปมองมหาสมุทรที่มีระลอกคลื่น ประนมมือตรงหน้าอก หลับตาลงช้าๆ สุดท้ายก็สวดพึมพำ ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร
จั่วเอ๋อร์ที่กำลังสังเกตการณ์อย่างระมัดระวัง จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ รีบหันมองโดยรอบ แต่ก็บอกไม่ถูกอีกว่ามีตรงไหนผิดปกติ เพียงรู้สึกว่าบนตัวหนานโปเหมือนมีของบางอย่างที่อธิบายไม่ได้แผ่ซ่านออกมา ปะปนกับคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์เล็กน้อย
นางเริ่มสังเกตเห็นทีละน้อยว่าแสงจันทร์เริ่มเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้น ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า ไม่นาน นางก็พบว่าในมหาสมุทรที่มีคลื่นเปลี่ยนเป็นวุ่นวายแล้ว พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง ก็เห็นครีบปลาโผล่ ที่ผิวทะเลมีปลาฝูงใหญ่ว่ายน้ำ มีทั้งปลาเล็กปลาใหญ่นานาชนิด ทยอยกันว่ายน้ำเบียดขึ้นมาบนหาดทราย
แล้วอยู่ดีๆ สายตาก็เปลี่ยนเป็นพร่าเลือนอีก นางกระพริบตามองใหม่อีกครั้ง ถึงได้พบว่าแสงของดวงจันทร์เหมือนจะสั่นไหวบิดไปมาเล็กน้อย แสงจันทร์ที่อยู่ใกล้ๆ ก็เหมือนจะมารวมอยู่บนร่างกายตัวเอง ทำให้ตัวเองมีรัศมีสลัวๆ ครอบตัวหนึ่งชั้น จากนั้น ท่ามกลางฝูงปลาก็เหมือนมีบางอย่างลอยออกมา บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคืออะไร เหมือนมันจะปะปนอยู่ในแสงจันทร์ที่อ่อนละมุนและบิดโค้งนั่น มันกำลังแทรกซึมเข้ามาในรูขุมขนของนาง
นางร่ายอิทธิฤทธิ์ต่อต้านโดยจิตใต้สำนึก แต่หนานโปกลับหันตัวมาหานาง ยังคงประนมมือสวดมนต์เหมือนเดิม เพียงแต่ดวงตาเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งที่มองมาหานางทำให้นางตัวสั่นทั้งที่ไม่ได้หนาว สายตาแบบนั้นทำให้คนรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังมองสรรพสิ่งเป็นเหมือนมด นางตัวสั่นเล็กน้อย ค่อยๆ หยุดใช้พลังอิทธิฤทธิ์ต่อต้าน
ทว่าในใจนางกลับหวาดกลัวสุดขีด ไม่รู้ว่าหนานโปต้องการจะทำอะไรกับนางกันแน่
เพียงแต่ไม่นานนางก็รู้สึกได้ถึงความผ่อนคลายสุดขีด ความรู้สึกนั้นแทรกซึมเข้ามาในเส้นชีพจรของนาง แทรกซึมเข้ามาในเลือดเนื้อ แทรกซึมเข้าไปถึงกระดูก ทั้งตัวนางรู้สึกราวกับพื้นดินในฤดูแล้งที่ได้รับความชุ่มฉ่ำจากฝน เริ่มมียอดอ่อนของต้นไม้ใบหญ้างอกงาม ความรู้สึกสดชื่นที่ไม่ได้สัมผัสมานานแล้วเปล่งปลั่งออกมาช้าๆ จากส่วนลึกในร่างกาย ความรู้สึกนี้กำลังเพิ่มขึ้นในร่างกาย เป็นความรู้สึกที่ผ่อนคลายเกินไปแล้ว ราวกับว่าแม้แต่จิตวิญญาณก็ได้รับความชุ่มชื้นไปด้วย ผ่อนคลายจนถอนหายใจออกมาเบาๆ ผ่อนคลายจนร้องครางออกมา
ความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดปรากฏขึ้นมาแล้ว รู้สึกเหมือนมีของอะไรบางอย่างอยากจะหลุดออกมาจากผิวหนัง เมื่อสายลมพัดผ่านมา บนใบหน้าก็มีของกำลังสั่นไหวอย่างชัดเจน นางยื่นมือลูบบนใบหน้าตัวเองโดยไม่รู้ตัว ผลปรากฏว่าได้ฉีกผิวหนังชราออกมาชั้นหนึ่ง และเห็นว่ามือของตัวเอง มือที่เหี่ยวแห้งแก่ชราของตัวเองเหมือนจะเปลี่ยนเป็นเต่งตึงแล้ว ผิวหนังแห้งหลุดลอกแล้ว ผิวหนังชรามีแนวโน้มหลุดลอก
นางก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไปแล้ว ฉีกหนังชราบนหลังมือตัวเองออกมาอย่างลังเลนิดหน่อย ทำให้เห็นผิวอ่อนเยาว์บอบบางเหมือนไข่ที่เพิ่งปอกเปลือกอยู่ใต้นั้นทันที ละเอียดอ่อนเกลี้ยงเกลาจนทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่อ เริ่มแกะผิวหนังชราบนหลังมือออกไปทีละนิด
ทันใดนั้น ลำแสงที่บิดโค้งตรงหน้าก็จางไป นางเงยหน้ามองไปรอบๆ เหมือนแสงจันทร์จะกลับมาเป็นปกติแล้ว
ส่วนหนานโปก็หยุดท่องคาถาแล้วเช่นกัน วางสองมือลง มองนางเงียบๆ โดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ
เสียงเจ๊าะแจ๊ะบนผิวน้ำก็หายไปแล้วเช่นกัน นางหันไปมอง พบว่าบนผิวทะเลมีท้องปลาลอยอยู่หนึ่งชั้น ปลาตายฝูงใหญ่กำลังถูกคลื่นดันเข้ามา
พอหนานโปโบกมือ พลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งก็จู่โจมเข้ามา จั่วเอ๋อร์รู้สึกว่ามีเศษหนังแห้งนับไม่ถ้วนปลิวออกไปจากผิวกาย รูขุมขนทั้งร่างกายเหมือนกําจัดสิ่งอุดตันไปแล้ว กำลังดูดซับอากาศสดชื่นอย่างเต็มที่ ความรู้สึกเย็นสบายทำให้นางได้สติกลับมา
“หากระจกส่องดูตัวเองสักหน่อยสิ” หนานโปกล่าวเสียงเรียบ
จั่วเอ๋อร์มองที่สองมือตัวเองก่อน เป็นมือที่ขาวละเอียดอ่อนงดงาม ใช่มือที่แก่ชราเหี่ยวแห้งของตัวเองเสียที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นมือของสาวน้อย
ในที่สุดนางก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างแล้ว รีบหยิบกระจกขึ้นมาส่องดูตัวเอง พอเห็นคนในกระจก สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเหม่อลอยในชั่วพริบตาเดียว
สตรีงดงามที่อยู่ในวัยสาวคนหนึ่งกำลังสบตากับตัวเองผ่านกระจก ผิวขาวอ่อนเยาว์ แม้แต่ผมขาวหงอกก็เปลี่ยนเป็นดำขลับงดงามแล้ว เงางามราวกับมีน้ำมัน ผู้หญิงที่อยู่ในกระจกสอดคล้องกับคนที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำ นั่นคือสภาพของตัวเองตอนที่ยังเป็นสาวสะพรั่งไม่ใช่หรอกหรือ? ในดวงตานางเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ สงสัยว่าตัวเองกำลังฝันไปหรือเปล่า จึงยื่นมือลูบคลำบนใบหน้าตัวเอง ทั้งยังหยิกเบาๆ ด้วย ผลปรากฏว่าเจ็บ! นางถึงได้รู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นความจริง
เมื่อร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบสภาพในร่างกายตัวเองอีก นางก็ไม่มีทางเชื่อได้เลย ร่างกายเลือดเนื้อของตัวเองที่แก่ชราลงแล้ว ตอนนี้เปล่งปลั่งเหมือนวัยสาว กลับมามีชีวิตชีวาอีกแล้ว
มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่รักสวยรักงาม? เพียงแต่เมื่ออายุมากแล้ว อดทนทางแล้วจึงไม่คิดถึงก็เท่านั้นเอง เมื่อนานวันเข้าก็ปล่อยวางแล้วเช่นกัน
เมื่อวางกระจกลง จั่วเอ๋อร์ก็กล่าวถามหนานโปอย่างซาบซึ้งใจ “ผู้อาวุโส ท่าน…ท่านทำให้ข้ากลับมาเป็นสาวหรอ?”
“ขอเพียงเจ้าเต็มใจจะใช้เวลา แม้แต่การเวียนว่ายตายเกิดก็ล้วนอยู่ในการควบคุม ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้เจ้านับเป็นเรื่องใหญ่อะไร เจ้าเชื่อหรือยังว่าข้าเป็นเทพ?” หนานโปถาม
จั่วเอ๋อร์พยักหน้าซ้ำๆ อย่างตื้นตันใจ “เชื่อแล้ว! ผู้น้อยเชื่อแล้ว ผู้อาวุโสคือเทพที่บันดาลได้ทุกสิ่ง! ผู้น้อยไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณยังไงดี”
“ไม่ต้องขอบคุณ นี่คือการตอบแทนที่เจ้าทำงานให้ข้ามาหลายปี” หนานโปกล่าว
“บุญคุณอันยิ่งใหญ่ของผู้อาวุโส ข้าไม่รู้จะตอบแทนด้วยอะไร ข้ายินดีจะเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ผู้อาวุโสเพื่อตอบแทน” จั่วเอ๋อร์กล่าว
หนานโปบอกนางว่า “ตอนนี้เจ้าพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้ ข้าก็พอเข้าใจ แต่เมื่อในภายหลังเจ้าชินแล้ว เจ้าก็จะไม่คิดอย่างนี้แล้ว คนที่ข้าปฏิบัติด้วยเป็นอย่างดี อาจจะไม่รู้สึกซาบซึ้งใจต่อข้าไปทั้งชีวิตก็ได้ ตอนที่ลงมือทำร้ายข้าก็ไม่เคยปรานีเช่นกัน เรื่องในภายหลังไม่ต้องพูดถึงแล้ว ทำเรื่องที่อยู่ตรงหน้าให้ดีก็พอ” เขาหันหน้าไปหามหาสมุทร “รายงานสถานการณ์ด้านนอกมาเถอะ”
“ค่ะ!” จั่วเอ๋อร์โค้งตัว แล้วรายงานเรื่องศึกใหญ่ภายนอกให้ฟังคร่าวๆ ช่องทางข่าวสารมีจำกัด รายละเอียดก็ไม่ชัดเจนด้วย
หนานโปเสียงหัวเราะพักหนึ่ง “หนิวโหย่วเต๋อนี่ช่างใจกล้าไม่เบา ไอ้พวกตัวตลกที่กระโดดเล่นบนเวที!”
จั่วเอ๋อร์เตือนว่า “ผู้อาวุโส ตอนนี้สถานการณ์ในใต้หล้าวุ่นวายมาก เป็นโอกาสดีที่สุดผู้อาวุโสจะได้ออกมา”
“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ข้าจะลงมือ” หนานโปส่ายหน้าเบาๆ “ถ้าข้าลงมือตอนนี้ พอฆ่าได้คนหนึ่งแล้ว คนอื่นตกใจหนีหมดจะทำยังไง? ถ้าพวกเขาซ่อนตัวตัวขึ้นมาจริงๆ ข้าจะไปหาจากไหนล่ะ? ไม่รีบหรอก ให้พวกเขาเป็นสุนัขกัดกันไปก่อน อย่างไรเสีย ถ้าถึงเวลาเมื่อไหร่ ก็อย่าคิดจะหนีไปแม้แต่คนเดียว ต่อให้ตายแล้วข้าก็ดึงกลับมาได้!”
กลัวว่าหลบแล้วจะหาไม่เจอเหรอ? จั่วเอ๋อร์พึมพำในใจ จะบอกว่าตัวเองเป็นเทพไม่ใช่หรือไง?
“ท่านอ๋อง ประมุขพุทธะนำทัพใหญ่ออกมาด้วยตัวเองแล้ว!”
จวนอ๋องสวรรค์โค่ว ถังเฮ่อเหนียนวางระฆังดาราแล้วรีบรายงาน
โค่วหลิงซวีที่กำลังจ้องแผนที่ดาวเงยหน้าขึ้น แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเครียดขรึมว่า “บอกกำลังพลให้ไปรวมตัวกันตรงจุดที่กำหนด! คนในจวนย้ายที่เดี๋ยวนี้!” พูดจบก็โบกมือเก็บแผนที่ดาวเดินก้าวยาวออกไป
ผ่านไปไม่นาน ก็เหาะขึ้นฟ้าไปพร้อมกำลังพลผู้ติดตามกลุ่มหนึ่ง ทั้งจวนอ๋องสวรรค์โค่วที่กว้างขวางใหญ่โต ตอนนี้ว่างเปล่าไร้คนแล้ว…
“ทุกคน พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?”
บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง ชายหนุ่มวัยกลางคนถือดาบใหญ่หันมองรอบๆ พร้อมเอ่ยถาม
สามคนที่ยืนสามมุมล้อมเขาเอาไว้ หนึ่งในนั้นเอามือปิดท้องที่มีเลือดไหล ส่วนมืออีกข้างชี้กระบี่แสยะยิ้ม “ใจกล้าไม่เบา แม้แต่คนของหน่วยตรวจการขวาก็กล้าแตะต้อง!”
“หน่วยตรวจการขวา?” ชายวัยกลางคนที่โดนล้อมรีบโบกมืออธิบาย “เข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดจริงๆ! เจ้าไม่บอกตั้งแต่แรกว่าเป็นคนของหน่วยตรวจการขวา”
ชายหนุ่มที่เอามือปิดท้องพ่นน้ำลาย “ตอนนี้รู้ว่าเข้าใจผิดแล้ว พลังเมื่อครู่นี้ไปไหนแล้วล่ะ?”
ชายถือดาบยิ้มเจื่อน “เข้าใจผิดจริงๆ ข้าเป็นคนของสมาคมวีรชน ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้มาจับตาดูความเคลื่อนไหวแถวนี้ พอพบคนทำตัวลับๆ ล่อๆ ก็นึกว่าเจ้าจะทำอะไรไม่ดีกับข้า ถ้าเจ้าบอกตั้งแต่แรกว่าตัวเองเป็นใครก็จะไม่เป็นไรแน่นอน ทุกคน ที่จริงแล้วทุกคนก็เป็นพวกเดียวกัน ล้วนทำงานให้วังสวรรค์ทั้งนั้น ลงมือปราณีหน่อยเถอะ ถ้ามีจุดไหนที่ทำไม่ถูก ข้าก็ยินดีขออภัย!”
สมาคมวีรชน? ทั้งสามสบตากันแวบหนึ่ง เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายจับตาดูความเคลื่อนไหวบริเวณนี้ คาดว่าคงได้รับภารกิจเหมือนกับฝั่งนี้เช่นกัน หนึ่งในนั้นที่เพิ่งมาถึงถามว่า “เจ้าจะพิสูจน์ได้ยังไงว่าเป็นคนของสมาคมวีรชน?”
“เรื่องนี้ง่ายมาก ทั้งสองฝั่งตรวจสอบกันสักหน่อยก็สิ้นเรื่องแล้ว…” ชายที่ถือดาบแสดงความจริงใจไม่หยุด
ในดาราจักรอันกว้างใหญ่ มังกรดำห้ากรงเล็บที่ดุร้ายตัวหนึ่งกำลังบินอยู่ท่ามกลางการคุ้มกันของคนนับพัน เหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนเขามังกรหันกลับมาถามว่า “คนของหน่วยตรวจการขวาก็ได้รับภารกิจเหมือนกันเหรอ?”
หยางเจาชิงที่ยืนอยู่ข้างหลังพยักหน้า “สวีถังหรานส่งข่าวมาแบบนี้ขอรับ”
หยางชิ่งลูบเคราสั้นพลางบอกว่า “สามารถเข้าใจได้ ทัพใหญ่กำลังต่อสู้ ทุกที่ล้วนปิดการสื่อสาร ตอนนี้ประมุขชิงขาดคนคอยเป็นหูเป็นตา จะใช้งานสมาคมวีรชนกับหน่วยตรวจการขวาก็ปกติมาก คนของหน่วยตรวจการขวามีไม่มาก เป็นไปไม่ได้ที่จะกระจายตัวกันจับตาดู คาดว่าส่วนใหญ่คงดักซุ่มอยู่บริเวณทางเข้าออกประตูดวงดาว สมาคมวีรชนก็คล้ายกัน ท่านอ๋องลองให้คนของสมาคมวีรชนลงมือกับคนของหน่วยตรวจการขวาดูสิ กวาดล้างสายตาของประมุขชิงสักหน่อย ให้ประมุขชิงรู้ว่าสมาคมวีรชนก็ทรยศเขาแล้วเหมือนกัน ทำให้สะเทือนใจอีกครั้ง!”
เฉิงไท่เจ๋อที่อยู่ข้างกันได้ยินแล้วตกใจ หนิวโหย่วเต๋อควบคุมได้แม้กระทั่งสมาคมวีรชนเหรอ?
เหมียวอี้ครุ่นคิด ทำแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ เพียงแต่พอทำแบบนี้ ดีไม่ดีอาจจะต้องเปิดเผยตัวตนองครักษ์เงาในสมาคมวีรชน แต่เขาก็เปลี่ยนความคิดอีก ใช่ว่าจะหลบเลี่ยงไม่ได้เสียหน่อย ถึงได้พยักหน้าตกลง…
“อะไรนะ? เป็นไปได้ยังไง?”
จวนอ๋องสวรรค์เถิง ในตำหนักใหญ่ เถิงเฟยที่อยู่หน้าแผนที่ดาวหันกลับมาถามอย่างงุนงง
เถิงจงกล่าวด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “ไม่ผิดหรอก เบื้องล่างเห็นหนิวโหย่วเต๋อขี่มังกรดำนำคนฝ่าด่านมาด้วยตัวเอง สังหารเข้ามาในเขตทัพตะวันออกของข้าแล้ว ดูท่าแล้วคงจะมุ่งตรงมาที่พวกเรา”
เถิงเฟยเหม่อไปสักพัก รู้สึกพูดไม่ออกมาก เขาคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อแค่ขู่เขาเฉยๆ ใครจะคิดว่าจะเอาจริง โจมตีสังหารมาแล้วจริงๆ! อดไม่ได้ที่จะด่ายับ “เจ้าแซ่หนิวมันเป็นหมาบ้า! ข้าไม่ได้หาเรื่องเขา ไม่ได้ยั่วโมโหเขาด้วย ไม่อยากไปรับมือกับทัพใหญ่ของประมุขชิง แล้วมาหาเรื่องข้าทำไม? สั่งให้กำลังพลย้ายตามข้าเดี๋ยวนี้ ทุกคนในจวนย้ายออก! ไอ้สารเลว รังแกกันเกินไปแล้ว ถ้าข้าอยู่ไม่สุข เจ้าก็อย่าได้คิดว่าจะอยู่เป็นสุขเหมือนกัน…”
…………………………