พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2188 ไป๋เหนียงจื่อ
ทัพใหญ่กำลังเดินทาง หงส์และมังกรตามขบวน
ในเกี้ยวมังกร ซ่างกวนชิงที่ค่อยๆ วางระฆังดาราสีหน้าแย่นิดหน่อย ท่าทางเหมือนอยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก
ประมุขชิงชำเลืองมา “มีเรื่องอะไรก็พูดมา”
ซ่างกวนชิงโค้งตัว “ฝ่าบาท ทางตระกูลหวงฝู่มีองครักษ์เงาโชคดีหนีเอาชีวิตรอดมาจากตระกูลหวงฝู่ได้”
หลายคนในห้องนั้นจ้องมาพร้อมกันทันที ประมุขชิงหรี่ตาถาม “หมายความว่ายังไง?”
ซ่างกวนชิงขยับลูกกระเดือก ทำท่าทางเหมือนแข็งใจตอบว่า “ตระกูลหวงฝู่สมคบกับหนิวโหย่วเต๋อก่อกบฏแล้ว ลงมือจู่โจมองครักษ์เงาที่แทรกไว้ในตระกูลหวงฝู่ มีเพียงองครักษ์เงารอดออกมาคนเดียว” พอพูดจบ ก็เหลือบตาขึ้นอย่างระมัดระวัง สบกับสายตาที่อยากจะฆ่าคนของประมุขชิงทันที เขาจึงรีบก้มหน้าอีกครั้ง
ประมุขชิงแสยะหัวเราะ “ซ่างกวน เจ้าควบคุมสมาคมวีรชนได้ไม่เลวเลยนะ!”
ซ่างกวนชิงรีบบอกว่า “ฝ่าบาท บ่าวจะฝากฝังสมาคมวีรชนให้คนนอกเสียทั้งหมดได้ยังไงขอรับ แม้บนเวทีตระกูลหวงฝู่จะควบคุมสมาคมวีรชน แต่ความจริงแล้วใต้เวทีสมาคมวีรชนก็มีคนไม่น้อยที่บ่าวส่งไป ตระกูลหวงฝู่เชื่อฟังก็แล้วไป ถ้าไม่เชื่อฟัง บ่าวก็จะใช้งานคนใต้เวทีเดี๋ยวนี้”
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ประมุขชิงก็อยากจะเตะเขาให้กระเด็นจริงๆ ความรู้สึกเวลากำแพงล้มคนผลักซ้ำ กลองแตกคนทุบส่ง[1]แบบนี้ทำให้เขาต้องกลั้นไฟโกรธไว้เต็มอก เหมือนบ้านหลังคารั่วแล้วยังโดนฝนกระหน่ำซ้ำ ทุกที่มีแต่คนกำลังทรยศ ทำให้เขารู้สึกว่าใต้หล้าหลุดออกจากการควบคุมของเขาโดยสิ้นเชิงแล้ว
ดันเป็นในเวลานี้ เกาก้วนเก็บระฆังดารา เหล่ตามองซ่างกวนชิงแวบหนึ่ง แล้วกุมหมัดคารวะประมุขชิง “ฝ่าบาท คนของหน่วยตรวจการขวาทำงานตามบัญชาแล้ว กำลังวางสายลับไว้ในจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ เป็นเพราะสมาคมวีรชนได้รับภารกิจเดียวกัน จุดดักซุ่มที่ดีที่สุดอยู่บริเวณเหล่านั้น กอปรกับสมาคมวีรชนตั้งใจค้นหา…สรุปก็คือหน่วยตรวจการขวาถูกสายลับของสมาคมวีรชนลอบโจมตีแล้วไม่น้อย เกิดความเสียหายเยอะมาก เผชิญกับการก่อกวนของสมาคมวีรชน สายลับที่ดักซุ่มอยู่ตามจุดต่างๆ เกิดความชุลมุนวุ่นวาย ตอนนี้กำลังโจมตีกันอยู่ คนของหน่วยตรวจการขวาไม่สามารถทำหน้าที่เป็นสายข่าวได้แล้ว”
ประมุขชิงจ้องซ่างกวนชิงอย่างดุร้าย ซ่างกวนชิงรีบหยิบระฆังดาราขึ้นมาใช้งานกำลังพลอีกกลุ่มที่อยู่ในสมาคมวีรชน
เกาก้วนรายงานต่อไปว่า “ฝ่าบาท ตามข่าวที่สายลับรายงานขึ้นมา หนิวโหย่วเต๋อเหมือนจะนำทัพใหญ่ออกจากอาณาเขตทัพใต้แล้ว เข้าไปในอาณาเขตทัพตะวันออกแล้ว”
“ออกจากอาณาเขตทัพใต้แล้วเหรอ?” ประมุขชิงสงสัย จากนั้นก็ขมวดคิ้ว หยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา เป็นข่าวจากเถิงเฟย ติดต่อมาหาเขาโดยตรงแล้ว
เจตนาของเถิงเฟยก็ไม่ได้ซับซ้อน หนิวโหย่วเต๋อไม่ให้เขาได้อยู่อย่างเป็นสุข เขาก็ไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อได้อยู่อย่างเป็นสุขเหมือนกัน แจ้งข่าวต่อประมุขชิงว่า หนิวโหย่วเต๋อต้องการจะโจมตีเขา ขอความช่วยเหลือ!
หลังจากวางระฆังดารา ประมุขชิงก็กวาดมองกลุ่มคน กล่าวเสียงต่ำว่า “หนิวโหย่วเต๋อไปที่อาณาเขตทัพตะวันออกจริงๆ ต้องการจะโจมตีเถิงเฟย!”
กลุ่มคนที่อยู่ตรงนั้นมองหน้ากันเลิกลั่ก อู๋ฉวี่ถามว่า “เขาจะโจมตีเถิงเฟยไปทำไม?”
ประมุขชิงบอกว่า “เป็นเพราะเถิงเฟยไม่ยอมฟังฝ่ายอื่น ไม่ยอมเคลื่อนทัพออกมาช่วยโค่วหลิงซวีสู้กับกำลังพลของพี่ใหญ่พุทธะ หนิวโหย่วเต๋อเตือนแล้วไม่ได้ผล เลยบัญชาการทัพให้ไปสู้กับเถิงเฟยจริงๆ แล้ว เถิงเฟยขอความช่วยเหลือ บอกว่ายินดีที่จะร่วมมือกับข้าเพื่อสู้กับหนิวโหย่วเต๋อ”
เกาก้วนบอกว่า “เถิงเฟยไม่เคลื่อนพลก็พอเข้าใจได้ กำลังพลที่มีอยู่ในมือเขา ถ้านำไปต่อสู้จนเสียหายหมดแล้ว ต่อไปก็ไม่มีความมั่นใจที่จะพูดอะไรแล้ว หนิวโหย่วเต๋อสู้กับเขาก็เข้าใจได้เช่นกัน คาดว่าคงกลัวเขาจะมาเข้าข้างฝ่าบาท ส่วนที่เถิงเฟยบอกว่าจะร่วมมือกับฝ่าบาท ตามความเห็นของข้าน้อย นั่นก็อาจจะไม่แน่ คาดว่าการรักษากำลังของตัวเองต่อไปต่างหากที่เป็นความคิดที่แท้จริงของเขา มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาอาจจะล่อฝ่าบาทไปทำศึกตัดสินกับหนิวโหย่วเต๋อ ให้ฝ่าบาทแก้ปัญหานี้ให้เขา หวังให้สองฝ่ายสู้กันจนเสียหายทั้งคู่”
ประมุขชิงพ่นเสียงทางจมูก “ความคิดเจ้าเล่ห์นั่นของเขา มีหรือที่ข้าจะไม่รู้ แต่ต่อให้เขาไม่บอก ข้าก็ต้องไปคิดบัญชีกับหนิวโหย่วเต๋ออยู่แล้ว มีสายลับคอยส่งข่าวอยู่ในอาณาเขตของเขา ช่วยให้ข้าควบคุมทิศทางการเคลื่อนไหวของหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ทัพใหญ่เปลี่ยนเส้นทางไปที่ทัพตะวันออก ตามหาหนิวโหย่วเต๋อทำศึกตัดสิน!”
สภาพจิตใจของเขาแตกต่างกับเหมียวอี้
ตอนนี้เหมียวอี้ยังไม่อยากประจันหน้ากับประมุขชิง อาศัยกำลังที่มีอยู่ในมือเหมียวอี้ตอนนี้ ประมุขชิงอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แต่ประเด็นก็คืออำนาจฝ่ายอื่นก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน กำลังพลสามร้อยหกสิบล้านในมือสู้กับกำลังพลที่นำโดยประมุขชิง ต่อให้สู้ชนะแล้ว แต่คาดว่าก็ต้องเสียหายเกินครึ่งแน่นอน นั่นเป็นการปล่อยให้คนอื่นมาชุบมือเปิบจริงๆ
แต่ประมุขชิงนั้นไม่เหมือนกัน ถ้ากำลังในมือของเหมียวอี้สู้เขาไม่ได้ เขาก็จะปราบกบฏกำจัดเหมียวอี้ ตอนนี้กำลังในมือเหมียวอี้มีมากกว่าเขาแล้ว เขาก็ยิ่งต้องโจมตี ไม่อย่างนั้นถ้าทุกคนประนีประนอมกัน กำลังของเขายังมีไม่เยอะเท่าเหมียวอี้ เช่นนั้นในใต้หล้านี้ใครจะมีอำนาจกันแน่ล่ะ? เหมียวอี้ยังจะจัดเก็บภาษีส่งให้เขาอยู่ไหม? ราชันสวรรค์ผู้ส่งาภูมิฐานอย่างเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!
อู๋ฉวี่สงสัย “ฝ่าบาท นี่จะเป็นกับดักหรือเปล่า? ถ้าเถิงเฟยกับหนิวโหย่วเต๋อร่วมมือกัน ตอนนี้กำลังพลสี่ร้อยล้านของพวกเราที่เหลืออยู่ข้างนอกก็เก็บรวบรวมได้แค่ร้อยล้านเท่านั้น ถ้ากำลังพลเก้าร้อยล้านตกอยู่ในกับดักของหนิวโหย่วเต๋อกับเถิงเฟย นั่นก็จะยุ่งยากแล้ว”
“หึ!” โพ่จวินที่ส่วนใหญ่เงียบมานาน ตอนนี้กล่าวเสียงดังว่า “ร่วมมือกันเหรอ? หนิวโหย่วเต๋อ โค่วหลิงซวี ก่วงลิ่งกงแล้วก็ยังมีเถิงเฟย มีคนไหนบ้างที่ไร้เจตนาร้าย? คนสาระเลวพวกนั้นไม่มีใครเชื่อใจใครง่ายๆ เหมือนกัน ถ้าฝ่าบาทไม่ใช้ไม้แข็ง พวกเขาก็ยังกึ่งแข่งขันกึ่งร่วมมือกันได้ ถ้าฝ่าบาทใช้ไม้แข็ง พวกเขาก็จะกลัว ถ้าไม่เห็นผลประโยชน์ให้หยิบฉวย พวกเขาก็ไม่มีทางร่วมมือกันเด็ดขาด ไม่ต้องสนใจมากขนาดนั้น ใครมีกำลังแข็งแกร่งที่สุดก็โจมตีคนนั้น!”
เขากุมหมัดต่อประมุขชิง “ฝ่าบาท ไม่ต้องเล่นลูกไม้อะไรมากอีกแล้ว แค่คำเดียวเท่านั้น โจมตี! ฝ่าบาทได้โปรดติดต่อกำลังพลของประมุขพุทธะตอนนี้เลย ให้กำลังพลของเขารีบมารวมกับฝ่าบาท จากนั้นก็ร่วมมือกันโจมตี! การที่สารเลวพวกนั้นไม่เชื่อใจกันเองก็คือจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุด ต่อให้พวกเขารวมกำลังกันเยอะกว่านี้ แต่สามัคคีกันไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี นี่ก็คือข้อได้เปรียบของพวกเรา พวกเราก็แค่ต้องไล่ตามโจมตีฝ่ายเดียวไม่หยุดก็พอ แล้วคนที่เหลือก็จะกังวลว่าคนอื่นจะมาฉกฉวยผลประโยชน์ ต่างก็อยากจะรักษากำลังของตัวเองไว้ ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องง่ายๆ พวกเราก็วางใจโจมตีได้เต็มที่เลย!”
เขาอยากจะแก้ไขปัญหาให้จบโดยเร็ว คำพูดรวดเร็วตรงไปตรงมาบ้าง แต่ก็ตรงใจประมุขชิงพอดี
ซือหม่าเวิ่นเทียนพูดแทรกว่า “ทำแบบนี้ ถ้าพวกเขาหลบซ่อนตัวขึ้นมาจะทำยังไงขอรับ?”
“ความคิดเห็นของคนต่ำต้อย!” โพ่จวินพลันโบกมือชี้ ตะคอกด่าไปหนึ่งยก ซือหม่าเวิ่นเทียนโดนเขาด่าจนทำสีหน้าไม่ถูก
ได้ยินเพียงโพ่จวินกล่าวอย่างฮึกเหิมห้าวหาญว่า “ซ่อนตัวเหรอ? ไม่กลัวพวกเขาซ่อนตัวหรอก กลัวก็แต่พวกเขาจะไม่ซ่อน! ถ้าพวกเขาหลบกันหมด คนในใต้หล้าก็ย่อมได้เห็น ว่าขนาดสี่อ๋องรวมตัวกันก็ยังกลัวฝ่าบาทเลย โดนขู่จนไปซ่อนตัวหมดแล้ว ก็คือกำลังที่แท้จริง กำลังที่แท้จริงก็คือใจคน! ถ้าพวกเขาซ่อนตัว อาณาเขตว่างแล้ว คนเรามีเจตจำนงร่วมกัน ฝ่าบาทสามารถประกาศรับกำลังพลจากใต้หล้ามาสร้างทัพใหญ่ใหม่ได้เลย แล้วก็รีบเพิ่มศักยภาพโดยเร็ว! ข้าน้อยก็อยากจะเห็นนักว่าพวกเขาจะหลบได้นานแค่ไหน เมื่อไม่มีอาณาเขตแล้ว กำลังพลมากมายขนาดนั้น ข้าน้อยจะคอยดูว่าพวกเขาจะเอาอะไรมาเลี้ยง! รอจนพวกเขาทนไม่ไหว ตอนที่คิดหาทางสู้กับฝ่าบาทอีกที กำลังของฝ่าบาทก็จะไม่เหมือนตอนนี้แล้ว เกรงว่าพวกเขาก็คงต้องชั่งน้ำหนักก่อนโจมตีอยู่ดี! เมื่อขาดทรัพยากร ทั้งยังไม่กล้าต่อสู้ เมื่อเวลาล่วงเลยนานไป เกรงว่าพวกเราคงไม่ต้องไปโจมตีหรอก เดี๋ยวพวกเขาก็จะกระจัดกระจายกันเองก่อนแล้ว!”
เป็นคำพูดที่แข็งกร้าวมาก ฟังดูยิ่งใหญ่มีพลัง ไม่มีการเล่นลูกไม้อะไรจริงๆ ด้วย ก็แค่โจมตีแบบกัดไม่ปล่อย!
แต่หลักการที่เรียบง่ายขนาดนี้กลับมีเหตุผลจริงๆ ประมุขชิงฟังแล้วเหมือนเกิดแสงสว่างในใจ กวาดอารมณ์หัวร้อนไปแล้ว เขาชำเลืองโพ่จวิน แอบด่าว่าตาแก่ทึ่ม แต่ภายนอกกลับพยักหน้าบอกว่า “ข้าก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน!”
ซือหม่าเวิ่นเทียนพูดไม่ออก ได้แต่แอบบ่นในใจว่าซวยนัก..
กลุ่มคนหนึ่งพันคนเหาะด้วยความเร็วสูง หลบเข้าไปในอาณาเขตดาวนิรนามอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
“หลินเจวี๋ย กระจายกำลังสายลับไปตามทาง!” เถิงเฟยที่อยู่ท่ามกลางการร้องพิทักษ์ของทหารเอียงหน้าออกคำสั่ง
ทหารคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายกุมหมัดคารวะ “ขอรับ!”
“ช้าก่อน!” แม่ทัพอีกคนที่ชื่อลั่วฉางเฟิงกลับขวางไว้
เถิงเฟยหันกลับมาถาม “ฉางเฟิง ขวางทำไม?”
ลั่วฉางเฟิงบอกว่า “ท่านอ๋อง ในเมื่อพวกเราคิดจะรักษากำลังไว้ หลบเลี่ยงกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อ เช่นนั้นก็ระวังไว้หน่อยดีกว่า การทิ้งสายลับไว้ตลอดทางไม่ใช่การกระทำที่ปลอดภัยแน่นอน ในจำนวนนั้นใครจะกล้ารับประกันว่าจะมีสายลับของอำนาจฝ่ายอื่นอยู่หรือเปล่า ถ้ามีล่ะ ก็เท่ากับทิ้งเบาะแสไว้ให้คนอื่น ข้าน้อยแนะนำว่า พวกเราก็แค่ต้องจำทางกลับให้ได้ ระหว่างทางไม่จำเป็นต้องทิ้งสายลับไว้เลย เดี๋ยวกระจายสายลับไว้รอบๆ จุดซ่อนตัวก็พอ ถึงตอนนั้น แม้จะมีสายลับของฝ่ายอื่นปะปน แต่สายลับก็ไม่รู้ชัดอยู่ดีว่าพวกเราอยู่ตรงตำแหน่งไหน”
ข้างๆ มีคนไม่น้อยพยักหน้า เถิงเฟยชี้เขา แล้วพยักหน้าบอกว่า “เป็นความเห็นของผู้มีประสบการณ์จริงๆ ดี ทำตามที่เจ้าบอก ระวังตัวไว้หน่อยจะดีกว่า!”
คนกลุ่มหนึ่งทยอยเหาะไปข้างหน้า แต่ลั่วฉางเฟิงที่เพิ่งเสนอแผนการเมื่อครู่นี้กลับเหาะอยู่ริมๆ อย่างแนบเนียน ในมือโปรยไข่มุกเม็ดหนึ่งไว้ในดาราจักรอย่างเงียบๆ…
อาณาเขตดาวนิรนามอีกแห่ง บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดินสีเหลืองดวงหนึ่ง มีคนทยอยมาเหยียบบนยอดเขา
หลังจาก ลี่หัว ประมุขปราสาทดำเนินจันทร์มาถึง ก็ถือว่าประมุขสิบปราสาทดำเนินมาครบหมดแล้ว พวกเขาสบตากันด้วยความปลง
อู๋ฉาง หั่วเจินจวิน อินเอ้อร์หลางที่โดนจองจำมาหลายปีก็อยู่เช่นกัน ทั้งสามถือแผนที่ดาวเพื่อตรวจสอบตำแหน่ง พบว่าอยู่ที่อาณาเขตดาวนิรนาม ทำให้ไม่ค่อยเข้าใจสาเหตุ
หลังจากลี่หัวทักทายกับคนที่มาถึงก่อนแล้ว ก็บอกว่า “คนมากันครบแล้ว ออกเดินทางเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน” อู๋ฉางส่งเสียงห้าม “มาครบแล้วเหรอ? ทำไมรู้สึกว่ายังขาดไปอีกสองคน ทำไมไป๋เหนียงจื่อกับเสิ้นหมียังไม่มา?”
ประมุขสิบปราสาทดำเนินสบตากัน ต่างก็รู้ว่าประมุขปีศาจมีแม่ทัพปีศาจแปดคน ตอนเกิดเรื่องในปีนั้นตายไปแล้วสามคน ยังเหลือห้าคน
อินเอ้อร์หลางหัวเราะเบาๆ “นิสัยของคุณชายไป๋ ใช่ว่าพวกเจ้าจะไม่รู้? ในปีนั้นตอนเสิ้นหมีหนีไปก่อนออกรบ ทั้งยังยุยงให้ทุกคนแยกย้ายกัน คุณชายไป๋จะปล่อยเขาไปได้ก็แปลกแล้ว มีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าจะถูกคุณชายไป๋ฆ่าแล้ว!”
อู๋ฉางทำเสียงฮึดฮัด “แล้วไป๋เหนียงจื่อนั่นล่ะ? ในปีนั้นนางไร้ยางอายเรียกตัวเองว่าเป็นเหนียงจื่อ (ภรรยา) ของคุณชายไป๋ เชื่อฟังคุณชายไป๋มาตลอด คุณชายไป๋ไม่ถึงขั้นฆ่านางไปด้วยหรอกมั้ง?”
“เรื่องนี้ข้าไม่รู้ชัดแล้ว ข่าวที่ข้าได้มามีแค่พวกเจ้าสามคน” ลี่หัวกล่าว
“เรื่องนี้ข้าต้องรู้ให้ชัดเจนให้ได้” อู๋ฉางไม่สนใจ หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทันที
คนที่เหลือก็ไม่ได้ว่าอะไร คนที่รู้ความจริงล้วนเข้าใจ ว่าอู๋ฉางสนใจไป๋เหนียงจื่ออยู่นิดหน่อย…
ดาวพิษ ในคลังสมบัติใต้ดิน แสงและเงาราวกับภาพฝันมายา
บนถนนสายหนึ่ง ขุนนางขี่ม้า เจ้านายนั่งเกี้ยว คนงานในโรงเตี๊ยม ผู้จัดการในร้านค้า ขอทานริมถนนถูกด่าถูกตบตี หญิงสาวสะบัดผ้าเช็ดหน้าเรียกแขกอยู่บนหอนางโลม พ่อค้าและขุนนางสัญจรไปมา ทั้งชายทั้งหญิงกลับมีใบหน้าเดียวกัน
ศีลแปดที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ดอกบัวราวกับตัวเองอยู่ในภาพฝันมายา ท่ามฉากที่คล้ายจริงแต่ไม่จริง ราวกับเป็นเทพพระที่นั่งมองสรรพชีวิตเบื้องล่างจากบนก้อนเมฆ หลุบตาลงอย่างอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ใบหน้าของเวไนยสัตว์ในฉากเหล่านั้นล้วนเป็นใบหน้าของเขา ราวกับเขาได้แสดงบทบาทของเวไนยสัตว์มากมายในเวลาเดียวกัน อัศจรรย์ไร้ที่เปรียบ
งูขาวที่ขดอยู่ในดอกบัวหายไปแล้ว เหลือเพียงสตรีวัยกลางคนอาภรณ์ขาวผู้งดงามคนหนึ่งนั่งสมาธิอยู่เบื้องล่างของศีลแปด ผมดำขลับยาวคลุมบ่า ประนมมือหลับตาโดยไม่พูดอะไร
…………………………
[1] กำแพงล้มคนผลักซ้ำ กลองแตกคนทุบส่ง 破鼓乱人捶、破墙众人推 หมายถึงโดนซ้ำเติมเมื่อแพ้