พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2195 ให้มันได้อย่างนี้ อ๋องสวรรค์คุมทัพเหนือ
ล้างแค้นเขาเหรอ? เขาสำคัญตัวเองมากเกินไปแล้ว หารู้ไม่ว่าเหมียวอี้ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว หยิบระฆังดาราออกมาแล้วเช่นกัน จ้องมองโค่วหลิงซวีในค่ายทัพฝ่ายตรงข้าม ถามว่า : ท่านอ๋องโค่วมีอะไรจะชี้แนะ?
โค่วหลิงซวีถามว่า : เจ้าอยากจะฮุบกำลังพลในมือข้าเหรอ?
เหมียวอี้ : เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มัวเกรงใจอีกก็ไม่มีประโยชน์ ท่านอ๋องโค่วรู้อยู่แก่ใจแล้วยังจะถามทำไม?
โค่วหลิงซวี : ในเมื่ออยากได้กำลังพลของข้า รบราฆ่าฟันกันอย่างนี้สิ้นเปลืองเปล่าๆ ไม่น่าเสียดายหรอกหรือ?
เหมียวอี้ : เจ้ากับเถิงเฟยและเฉิงไท่เจ่อนั้นต่างกัน กำลังของเจ้าสูสีกับข้า ถ้าไม่ให้กำลังพลของเจ้าเห็นความร้ายกาจของข้าสักหน่อย แล้วจะยอมสวามิภักดิ์ง่ายๆ ได้ยังไง?
โค่วหลิงซวี : ถ้าอยากได้ข้าก็จะให้ สั่งให้คนของเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!
เหมียวอี้สบตากับเขา ไม่ค่อยเชื่อว่าอ๋องสวรรค์เฒ่าที่ปกครองอาณาเขตมาหลายปีจะยอมสวามิภักดิ์ได้ง่ายขนาดนี้ แต่เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ก็ยังตอบไปว่า : ถ้าให้คนของเจ้าหยุด คนของข้าก็จะหยุดเหมือนกัน
โค่วหลิงซวี : ได้!
จากนั้นเหมียวอี้ก็เอียงหน้าสั่งหยางเจาชิงสองสามประโยค หยางเจาชิงแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังหยิบระฆังดาราออกมาทำตามที่สั่ง
ผู้บัญชาการที่อยู่ฝั่งนี้รวมทั้งชิงเยว่ที่อยู่ในขบวนรบก็มองมาอย่างแปลกใจเช่นกัน เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ
“ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้!” โค่วหลิงซวีพลันตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด
“หยุด!” แม่ทัพพี่บัญชาการอยู่ระดับล่างทยอยกันตะโกน
แต่การเข่นฆ่าที่ดุเดือดจะหยุดง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร ทำได้เพียงหลบการบุกโจมตีจากฝ่ายศัตรู ถึงขั้นต้านทานไว้จนใจ
“หยุด!” จนกระทั่งพวกชิงเยว่ทยอยกันตะโกนให้หยุด กำลังพลของเหมียวอี้ถึงได้พากันหยุดแล้วเช่นกัน บนสนามรบถึงได้หยุดลงช้าๆ อย่างแท้จริง
หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีบางส่วนบาดเจ็บเพราะหยุดไม่ทัน อย่างไรเสียคนพวกนี้ก็สังหารคนจนติดลมแล้ว
ในดาราจักรเริ่มสงบลงทีละน้อย มีเพียงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ยังสะเทือนกระจายออกไปเป็นพักๆ
“นี่มันเรื่องอะไนกัน?” หยางชิ่ง เฉิงไท่เจ๋อล้วนกำลังถาม จู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ทุกคนต่างทำสีหน้าประหลาดใจ
เถิงเฟยที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งก็กำลังถามชิงเยว่เช่นกัน
เหมียวอี้ไม่กังวลว่าโค่วหลิงซวีจะฉวยโอกาสโจมตีกลับ สถานการณ์ภาพรวมบนสนามรบถูกกำหนดแล้ว สามารถลงมือได้ทุกเมื่อ ตอนนี้แค่หยุดชั่วคราวเท่านั้น ต่อให้ลอบจู่โจมก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ อย่าบอกนะว่าคิดจะถ่วงเวลารอคนมาช่วย? ตามข่าวกรองที่เขาได้รับมา ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ตามมาไม่ทันทั้งนั้น
เห็นเพียงโค่วหลิงซวีลอยออกมาช้าๆ ท่ามกลางกลุ่มคนที่หลีกทางให้ มายืนอยู่ข้างหน้าสุดของขบวนรบ กำลังพลฝั่งซ้ายและขวาเตรียมป้องกันอย่างสูง
ที่แปลกก็คือ โค่วหลิงซวีเรียกลูกหลานทั้งหมดของตัวเองที่รับตำแหน่งในทัพเหนือมาอยู่ตรงหน้ากระบวนทัพหมดแล้ว รวมทั้งคนรู้จักเก่าของเหมียวอี้ โค่วเหวินหลาน
โค่วเหวินหลานก็ร่วมรบอยู่ในศึกนี้เช่นกัน เขายกมือปาดรอยเลือดบนใบหน้าตัวเอง
เขาไม่ได้เจอเหมียวอี้มาหลายปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเหมียวอี้น่าเกรงขามราวกับดาวล้อมเดือน พอนึกถึงเหตุการณ์ที่เหมียวอี้เป็นลูกน้องตัวเองในปีนั้น ในใจก็บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ในดวงตาสื่ออารมณ์หลากหลายปนกัน มีทั้งสะท้อนใจ ทั้งเคียดแค้น แค้นที่ตัวเองพาเหมียวอี้เข้ารับตำแหน่งในตำหนักสวรรค์ ทำให้ตอนนี้กลายเป็นภัยคุกคามกับทั้งตระกูลโค่ว
จากนั้น สิ่งที่ทำให้ทุกคนงุนงงก็คือ โค่วหลิงซวีเรียกสมาชิกทุกคนในตระกูลโค่วออกมาหมดแล้ว มีผู้หญิงจำนวนมากกว่า ส่วนใหญ่ล้วนงดงามราวกับบุปผา
อนุภรรยา ลูกหลานรวมทั้งภรรยาของลูกหลานของโค่วหลิงซวี รวมแล้วเกินหนึ่งพันคน
สมาชิกในครอบครัวกลุ่มใหญ่ถูกส่งมาไว้ตรงหน้าขบวนรบ ในมือปราศจากอาวุธ ตรงหน้ามีศพไม่สมประกอบอยู่ลอยอยู่ทุกหนแห่ง รู้สึกเหม็นคาวเลือด สะอิดสะเอียน หวาดกลัว
อย่าว่าแต่พวกผู้หญิงที่หน้าซีด แม้แต่ผู้ชายบางคนของตระกูลโค่ว สีหน้าแววตาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวเช่นกัน ยามปกติใช้ชีวิตสุขสบายโรยด้วยกลีบดอกไม้ ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมา เสพสุขเกียรติยศความร่ำรวย เคยเห็นเหตุการณ์ที่น่าเวทนาขนาดนี้เสียที่ไหนกัน
พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ท่านอ๋องถึงพาพวกเขามาบนสนามรบที่คลุ้งกลิ่นคาวเลือดแบบนี้ พวกเขามองทัพอารักขาที่อยู่ฝั่งซ้ายฝั่งขวาของท่านอ๋อง แต่ละคนที่ยืนอยู่แถวหน้าเลือดท่วมตัว คนที่เกราะรบอยู่ในสภาพดีมีไม่เยอะ พลังอำนาจที่แผ่ออกมาบนร่างกายเป็นสิ่งที่ยามปกติพวกเขาไม่ได้เห็น ในดวงตาฉายแววดุร้ายน่ากลัวอย่างที่สงบลงได้ง่าย
มีเพียงคนเดียวที่ไม่ถูกผลักออกมา นั่นก็คือโค่วเจิง บุตรชายคนโตของโค่วหลิงซวี โค่วเจิงระแวงสงสัยไม่หยุด ไม่เข้าใจว่าท่านพ่อต้องการจะทำอะไร
สุยฉูฉู่ ภรรยาของโค่วเจิง โค่วเหวินหง บุตรสาว ทั้งยังมีโค่วเหวินเทียน บุตรชายที่เพิ่งเกิดทีหลัง พวกเขามองโค่วเจิงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เหมือนอยากจะหาความรู้สึกปลอดภัยจากโค่วเจิงที่อยู่ในฐานะบิดาและสามี
“ตาแก่นี่คิดจะทำอะไร?” เหมียวอี้เอียงหน้าถามคนที่อยู่ข้างกาย
อย่าว่าแต่เฉิงไท่เจ๋อ แม้แต่หยางชิ่งเองก็ส่ายหน้าเช่นกัน ไม่เข้าใจว่าโค่วหลิงซวีกำลังเล่นลูกไม้อะไร อย่าบอกนะว่าจะส่งมาเป็นตัวประกัน?
“มองพวกเขาสิ แหกตาพวกเจ้าดูพวกเขาเอาไว้!” จู่ๆ โค่วหลิงซวีก็ตะคอกถามคนในครอบครัวอย่างเกรี้ยวกราด สองมือชี้ไปยังทหารที่อยู่ฝั่งซ้ายและขวา “เห็นหรือยัง! ทุกคนเห็นหรือยัง! ตอนนี้รู้หรือยังว่าชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยของพวกเจ้าได้มาจากไหน? ตอนนี้รู้หรือยังว่าเกียรติยศความร่ำรวยของพวกเจ้าได้มาจากไหน? เป็นพวกเขา เป็นขุนพลทั้งหมดของทัพเหนือที่เอาชีวิตแลกมาให้พวกเจ้า! วันนี้ ทัพเหนือเผชิญหน้ากับศึกชี้เป็นชี้ตาย! ถ้าชนะ เกียรติยศความร่ำรวยของพวกเจ้าก็ยังคงอยู่! ถ้าแพ้ พวกเราก็จะสูญเสียทุกอย่างไป! แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็นขุนพลของทัพเหนือที่บุกอยู่ข้างหน้าสุดเพื่อตระกูลโค่ว วันนี้ ทุกคนของตระกูลโค่วจะตอบแทนด้วยชีวิต! วันนี้ ทุกคนของตระกูลโค่ว ไม่ว่าจะชายหญิงเด็กหรือคนแก่ ก็จะต้องบุกอยู่ข้างหน้าสุดเพื่อขุนพลของทัพเหนือ ต่อให้ตายก็ต้องตายอยู่ข้างหน้าสุด หยิบอาวุธออกมา!”
เสียงของเขาดังก้องอยู่ในดาราจักร ขุนพลทุกคนของทัพเหนือซาบซึ้งใจกับสิ่งนี้มาก
ในขบวนรบที่กำลังเผชิญหน้ากับศัตรู แต่ละคนกลับหันมามองทางฝั่งนี้ ความรู้สึกสิ้นหวังก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยบางอย่างแล้ว ในอกราวกับถูกจุด ความรู้สึกจริงใจอย่างประหลาด แต่ละคนมองไปที่ท่านอ๋อง ท่านอ๋องของพวกเขา!
“ท่านอ๋อง!” ถังเฮ่อเหนียนทำสีหน้ากระวนกระวาย
“ท่านพ่อ!” โค่วเจิงตกใจมาก
“ท่านอ๋อง เรื่องรบราฆ่าฟันส่งให้พวกเราก็พอ…” ทหารที่อยู่ทางซ้ายและขวาพากันโน้มน้าวโค่วหลิงซวี
โค่วหลิงซวียกมือขึ้น บนสนามรบคำสั่งทหารหนักแน่นดุจขุนเขา เสียงทุกอย่างถูกระงับให้เงียบลง
กลุ่มสมาชิกในครอบครัวกลับตกใจแทบแย่แล้ว แต่ละคนตกใจจนขวัญผวา รอบกายมีกำลังพลล้อมอยู่เยอะขนาดไหน กองทัพฝ่ายศัตรูมีคนมากเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แค่ได้ยินก็มือไม้อ่อนแล้ว จะให้พวกเราบุกอยู่แนวหน้า นี่พวกเราฟังผิดไปแล้วหรือเปล่า?
“ตาแก่นี่กำลังเล่นตุกติกอะไร?” เฉิงไท่เจ๋อขมวดคิ้ว
“อาศัยแค่คนพวกนี้ จะต้านการโจมตีของทัพใหญ่ข้าไหวเหรอ?” เหมียวอี้พูดเหยียด กำลังจะโบกมือถ่ายทอดคำสั่งโจมตีต่อไป
“ท่านอ๋องช้าก่อน!” หยางชิ่งรีบห้าม “โค่วเจิงไม่ได้ออกมา!”
เหมียวอี้หันกลับมาถาม “หมายความว่าอะไร?”
“เดิมทีเขาอยากจะให้สมาชิกในครอบครัวพวกนี้ไปตาย ถ้าท่านอ๋องฆ่าพวกเขาแล้ว ก็จะทำให้แผนชั่วของโค่วหลิงซวีสำเร็จได้พอดี!” หยางชิ่งกล่าวด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
พวกเฉิงไท่เจ๋อพากันมองมาทางนี้ ได้ยินเขาพูดต่อว่า “เขาคิดจะอาศัยสมาชิกในครอบครัวพวกนี้มาปลุกขวัญกำลังใจทหาร! ท่านอ๋องลองคิดถึงคำพูดเมื่อครู่นี้ของเขาดูสิ ถ้าสมาชิกในครอบครัวเหล่านี้ตายแล้ว ก็เป็นการรบตายเพื่อทุกคนของทัพเหนือ ต่อไปถ้าโค่วหลิงซวีดึงดันจะสู้ตายให้ถึงงที่สุด เมื่อมีไมตรีส่วนนี้อยู่ ขุนพลทุกคนของทัพเหนือยังจะมีใครกล้าหน้าด้านสวามิภักดิ์อีกล่ะ? คาดว่าคงจะติดตามเขาไปสู้ตายจนถึงที่สุดแน่นอน จุดประสงค์ที่ท่านอ๋องจะรับกำลังพลพวกนี้ไว้ก็ยากที่จะสำเร็จ ทั้งยังจะสร้างความเสียหายย่อยยับให้ฟังตัวเอง ได้ไม่คุ้มเสีย! โค่วเจิง เขาเก็บโค่วเจิงไว้คนเดียว ไม่ได้ผลักออกมา เกรงว่าคงจะเตรียมไว้ในกรณีที่โค่วหลิงซวีตาย ต่อไปถึงแม้เขาจะไม่อยู่แล้ว ต่อให้ทัพเหนือยอมแพ้ แต่ก็เป็นเพราะยังมีน้ำใจไมตรีของตระกูลโค่วที่รบตายเพื่อทัพเหนือ ต่อให้ทัพเหนือยอมสวามิภักดิ์ต่อท่านอ๋อง แต่ก็จะเป็นยันต์คุ้มภัยที่ดีที่สุดให้โค่วเจิง อย่าบอกนะว่าท่านอ๋องจะไปแตะต้องโค่วเจิงโดยมองข้ามน้ำใจไมตรีของทหารที่ยอมสวามิภักดิ์เหล่านี้?”
พออธิบายแบบนี้ ทุกคนก็เข้าใจแล้ว ว่าโค่วหลิงซวีรู้ว่าวันนี้จะต้องแพ้แน่นอน เลยจะเอาชีวิตของตระกูลโค่วมาผูกติดไว้กับทั้งทัพเหนือ เพื่อเหลือความหวังไว้ให้ตระกูลโค่วสักนิดนึงก็ยังดี
“เป็นหมาป่าเฒ่าเจ้าเล่ห์จริงๆ ด้วย!” เฉิงไท่เจ๋อด่า
เหมียวอี้กล่าวด้วยใบหน้านิ่งตึงว่า “อย่าบอกนะว่าข้ายังต้องโดนสมาชิกในครอบครัวพวกนี้บีบจนลงมือไม่ได้?” ในใจยังรู้สึกหงุดหงิด รบชนะทุกศึกมาตลอดทาง สังหารมาจนถึงที่นี่ เห็นอยู่ตรงหน้าว่ากำลังจะสำเร็จ แต่กลับตกหลุมพรางตาเฒ่าผีอย่างโค่วหลิงซวี เขารู้สึกกลัดกลุ้มและเสียใจทีหลังนิดหน่อย
หยางชิ่งโบกมือชี้ “ท่านอ๋องให้ตรงจุดอื่นลงมือต่อได้เลย ส่วนสมาชิกในครอบครัวเหล่านี้ก็ใจกว้างกับพวกเขาก่อน ให้ทางรอดชีวิตกับพวกเขาก่อนชั่วคราว ท่านอ๋อง ดูท่าทางของพวกเขาสิ ตัวสั่นหวาดกลัว หดหัวเป็นเต่า ใช่คนที่จะมาสู้ตายอยู่หน้ากระบวนทัพเหรอ? ให้ทุกคนของทัพเหนือได้เห็นก่อนว่าคนของตระกูลโค่วตื่นตระหนกตกใจอย่างไร คุ้มไหมที่พวกเขาจะขายชีวิตให้! ทางที่ดีที่สุดคือสั่งให้กำลังพลกลุ่มหนึ่งบุกโจมตีเข้าไป ล้อมให้คนพวกนี้ตกใจกลัว บีบให้คนพวกนี้ยอมแพ้ก่อน โค่วหลิงซวีไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แต่พวกเขาน่าจะยอมแพ้ได้ง่ายมาก ต่อให้มีแค่ส่วนหนึ่งที่ยอมแพ้ก็พอแล้ว ขอเพียงมีพวกเขาเป็นคนนำ ขนาดคนของตระกูลโค่วก็ยังยอมแพ้ แล้วคนอื่นๆ ในทัพเหนือจะคิดอย่างไรล่ะ? การยอมแพ้เป็นเรื่องที่แน่นอนสมเหตุสมผลอยู่แล้ว”
เฉิงไท่เจ๋อหันกลับมายิ้ม “ท่านบุรุษหยางช่างเหนือชั้น ท่านอ๋อง ข้าว่าได้อยู่นะ!”
ตอนนี้เขาวางใจแล้วไม่น้อย ภาพเหตุการณ์ที่เหมียวอี้ทำสำเร็จมาตลอดทางก็ได้ทำให้เขามองเห็นความหวังแล้วเช่นกัน ตอนนี้ฝั่งเหมียวอี้มีกำลังแข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้าอย่างเป็นทางการแล้ว อุบายบางอย่างก็ยิ่งเหนือชั้น ถ้าบุกยึดใต้หล้าได้จริงๆ เขาก็รู้ว่าแม้ตัวเองจะไม่ได้กุมอำนาจมหาศาล แต่ทั้งครอบครัวก็คงไม่ขาดเกียรติยศความร่ำรวยไปทั้งชาติ ดังนั้นเขาก็หวังจะเห็นเหมียวอี้ทำสำเร็จเช่นกัน ตอนนี้สวามิภักดิ์ต่อฝั่งเหมียวอี้โดยสมบูรณ์แล้ว เขากระตือรือร้นช่วยวางแผน ช่วยเสริมส่วนที่ขาดให้น้องชายร่วมสาบานตลอดทาง
“ดี!” เหมียวอี้พยักหน้า
เขากำลังจะถ่ายทอดคำสั่งลงไป แต่โค่วหลิงซวีที่อยู่ตรงข้ามเห็นคนในครอบครัวหวาดกลัวไม่กล้าขยับไปไหน ก็รู้สึกโมโหแล้ว คำรามอย่างเดือดดาลว่า “พวกเจ้ายังรออะไรอยู่อีก? หยิบอาวุธของพวกเจ้าขึ้นมา! นำอาวุธของพวกเจ้าขึ้นมา…บนสนามรบคำสั่งทหารหนักแน่นดุจขุนเขา เจ้ากล้าขัดคำสั่งเหรอ ปฏิบัติตามกฎทหารของข้า เตรียมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!”
“ท่านอ๋อง ท่านปู่…” กลุ่มผู้หญิงตกใจแทบแย่แล้ว ร้องไห้ฟูมฟายขอร้องเป็นแถบๆ นำอาวุธออกมาด้วยความตระหนกเช่นกัน ส่วนพวกโค่วเหวินหลานก็เม้มริมฝีปากแน่น
พอกำลังพลที่อยู่ฝั่งซ้ายและฝั่งขวาได้ยินคำสั่ง ก็พากันลังเลครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรชูธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาหรือไม่
“ท่านพ่อ เป็นคนในครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ให้โอกาสพวกเขาสักครั้งเถอะ…” โค่วเจิงก้าวขึ้นมาคว้าแขนบิดาพร้อมกล่าววิงวอน
ใครจะคิดว่าโค่วหลิงซวีจะโบกฝ่ามือหนึ่งที เพี้ยะ! ตบหน้าเขาอย่างแรง หันตัวเตะเขากลับไป คว้าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จากคนข้างๆ มาไว้ในมือ แล้วคำรามอย่างเดือดดาลว่า “ใครขัดคำสั่ง ประหาร!” ราวกับเป็นสัตว์ป่าที่โดนยั่วโมโห ง้างธนูยิงออกไปโดยตรง
พอยิ่งธนูดอกนี้ออกมา ดวงตาสองข้างก็แดงก่ำ เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย
“อา!” เสียงร้องโอดครวญดังขึ้น โค่วหลิงซวียิงธนูทะลุหน้าอกหลานสาวของตัวเองคนหนึ่ง
หลานสาวคนนั้นเอามือกุมหน้าอกที่มีเลือดกระฉูด ถลึงตามองโค่วหลิงซวี ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ นึกไม่ถึงว่าท่านปู่จะลงมือกับตัวเอง
เพียงประโยค ‘ใครขัดคำสั่ง ประหาร’ ชั่วพริบตานั้น ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่อยู่ฝั่งซ้ายและขวาก็ระเบิดยิงลำแสงออกมาจำนวนมาก
ในระยะห่างที่ใกล้ขนาดนี้ คนของตระกูลโค่วที่กำลังตื่นตระหนกหลบไม่ทัน เสียงกรีดร้องดังขึ้นทันที
“…” โค่วเจิงตะลึงค้าง โซเซเดินไปข้างหน้า แต่กลับถูกถังเฮ่อเหนียนยกแขนขวางหน้าอกไว้
ถังเฮ่อเหนียนส่ายหน้าเกลี้ยกล่อมอย่างขื่นขม ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ที่ตัดสินใจแบบนี้ ท่านอ๋องทุกข์ใจกว่าใครทั้งนั้น คนที่ทุกข์ใจที่สุดก็คือท่านอ๋อง ทุกสิ่งที่ท่านอ๋องทำก็เพราะหวังดีกับท่าน!”
โค่วเจิงมองเขาอย่างเหม่อลอยมึนงง ตรงนั้นคือภรรยาและลูกของเขา สังหารลูกเมียของเขาแล้ว ยังมาบอกว่าหวังดีต่อเขาอีกเหรอ? เขาไม่เข้าใจ!
ทุกคนของทัพเหนือตกใจตาค้าง คนของทัพใต้ก็ตะลึงค้างเช่นกัน ผู้โจมตีและป้องกันของทั้งสองฝ่ายตกใจจนเหม่อไปแล้ว
แม้แต่เหมียวอี้ที่กำลังจะถ่ายทอดคำสั่งก็ตกใจเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าโค่วหลิงซวีจะโหดขนาดนี้ ออกคำสั่งด้วยตัวเอง แทบจะสังหารทุกคนของตระกูลโค่วจนหมดเกลี้ยง
ขณะเห็นคนตระกูลโค่วกลุ่มใหญ่ขนาดนั้นกลายเป็นเศษซากแขนขา น้ำเลือดลอยกระเพื่อมในชั่วพริบตาเดียว หยางชิ่งก็ขยับลูกกระเดือกกลืนน้ำลาย พึมพำว่า “ให้มันได้อย่างนี้สิ อ๋องสวรรค์คุมทัพเหนือ…” แผนการที่เขาเพิ่งคิดให้เหมียวอี้ถูกทำลายแล้ว
ส่วนโค่วหลิงซวีที่ตาแดงก่ำก็โบกทวนไว้ในมือ ชี้เหมียวอี้ที่อยู่ไกลๆ “หนิวโหย่วเต๋อ พี่น้องทุกคนของทัพเหนือยืนอยู่ข้างหลังข้า ถ้าอยากจะให้พวกเขายอมสวามิภักดิ์ ก็ผ่านด่านอ๋องผู้นี้ไปก่อน! ถ้าเก่งนักก็อย่าทำให้พี่น้องของตัวเองลำบากไปด้วย ถ้ากล้าก็ออกมาสู้กันตัวต่อตัว ถ้าเจ้าเอาชนะอ๋องผู้นี้ได้ ข้าก็จะให้พวกเขายอมสวามิภักดิ์ต่อเจ้า ทั้งเจ้าและข้าไม่จำเป็นต้องให้พี่น้องไปตายเปล่า กล้าสู้ตายกับอ๋องผู้นี้สักยกไหม!”