พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2197 ตัวต่อตัว
ทุกคนพากันมองไปที่โค่วหลิงซวี ดูว่าเขามีปฏิกิริยาอย่างไร
โค่วหลิงซวีจ้องเหมียวอี้ไม่ละสายตา ทั้งสองสบสายตากัน ราวกับมองเห็นเข้าไปในหัวใจของอีกฝ่ายแล้ว เขารู้ว่าเจตนาของตัวเองถูกอีกฝ่ายมองออกแล้ว
มาถึงขั้นนี้แล้ว สำหรับเขา ถ้าศัตรูจะสังหารตระกูลโค่วจนหมดสิ้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สิ่งที่เขาคำนึงถึงตอนนี้ก็คือ อีกฝ่ายมีความมั่นใจที่จะเอาชนะตนได้จริงหรือ ทั้งยังมาขู่ตนอีก? แต่ก็ถูกกดดันมาจนถึงขั้นนี้แล้ว เขากระโดดลงไปในหลุมที่ตัวเองขุดแล้ว เขาไม่มีทางเลือกแล้ว
ถ้าพูดจากบางระดับ ฆ่าโค่วเจิงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ตราบใดที่เขาเอาชนะได้ ตราบใดที่ตระกูลโค่วยังมีใครสักคนที่รอดชีวิตอยู่ ตระกูลโค่วก็สามารถแตกกิ่งก้านสาขาได้อีก แต่สิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจเลือกได้ยากจริงๆ ก็คือ การฆ่าถังเฮ่อเหนียน นี่คือคนสนิทที่ติดตามเขามาหลายปี วิธีการนี้ของหนิวโหย่วเต๋อโหดเกินไปแล้ว!
ถังเฮ่อเหนียนหลับตาลงช้าๆ หลับตาโดยไม่พูดอะไร ในใจรู้สึกสงบนิ่งที่สุด ไม่มีใครอยากตาย แต่บางครั้งก็ไม่มีทางเลือก เขารู้จักโค่วหลิงซวีดีเกินไป รู้ว่าโค่วหลิงซวีจะเก็บหรือทิ้งอะไร
โค่วเจิงเดินออกมาจากความเจ็บปวดที่สูญเสียลูกชายเร็วมาก ตกอยู่ในความหวั่นวิตก กังวลว่าบิดาจะลงมือสังหารตัวเอง แม้แต่คนในครอบครัวมากมายขนาดนั้นก็ยังสังหารไปแล้ว มีหรือที่จะแยแสเขาแค่คนเดียว
โค่วหลิงซวีพลันกล่าวเสียงต่ำ “ถังเฮ่อเหนียนไม่ใช่คนของตระกูลโค่ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา!”
เหมียวอี้ไม่พูดอะไร เพียงส่ายหน้าเท่านั้น สื่อว่าไม่ยอมรับข้อตกลง
โค่วหลิงซวีตกอยู่ในความเงียบแล้ว
“เอื้อ…เจ้า…” โค่วเจิงพลันครางออกมา หันไปมองถังเฮ่อเหนียนที่อยู่ข้างกายด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
ถังเฮ่อเหนียนชักทวนออกมาจากหน้าอกของเขา แล้วมองไปที่โค่วหลิงซวี
“เอ่อ…” คนที่อยู่รอบข้างตกใจทันที ไม่น่าเชื่อว่าถังเฮ่อเหนียนจะลงมือสังหารโค่วเจิงแล้ว?
ชั่วขณะนั้นกลุ่มคนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ลนลานจับกลุ่มกัน บางคนเข้ามาอุ้มโค่วเจิงเพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือ บางคนก็ไม่รู้ว่าควรจะลงมือกับถังเฮ่อเหนียนหรือไม่ บางคนก็มองไปที่โค่วหลิงซวี
โค่วหลิงซวีกลับเหมือนไม่สังเกตเห็นความวุ่นวายที่อยู่ข้างหลัง ไม่ขยับไปไหน เม้มริมฝีปากแน่น
ถังเฮ่อเหนียนถือทวนกุมหมัดคารวะ โค้งตัวอยู่ข้างหลังโค่วหลิงซวี “บ่าวขอนำไปก่อนหนึ่งก้าว ท่านอ๋องโปรดรักษาตัวด้วย!”
พูดจบก็ลอยออกมาจากขบวนรบ แล้วพลันตะโกนเสียงดังว่า “ฆ่า!”
ท่ามกลางสายตาฝูงชน เขาพุ่งตัวออกไปคนเดียว พุ่งเข้าไปหากำลังพล หนึ่งพันของฝ่ายตรงข้ามเพียงลำพัง โจมตีด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี
ชั่วพริบตานั้นโค่วหลิงซวีน้ำตาเอ่อ แก้มและริมฝีปากสั่นเทิ้ม มองเงาร่างที่ถลันออกไปอย่างเดียวดายโดยไม่ได้ขัดขวาง
ไม่ได้เกิดผลลัพธ์ที่สองแต่อย่างใด ลำแสงราวกับสายฝน ท่ามกลางเสียงระเบิดดังสนั่น ร่างของถังเฮ่อเหนียนหายไปแล้ว แหลกสลายกลายเป็นหมอกเลือด
บนสนามรบตกสู่ความเงียบสงัด
“ถ้าท่านอ๋องโค่วแพ้แล้ว จะให้พี่น้องเบื้องล่างยอมสวามิภักดิ์ หรือจะให้พี่น้องเบื้องล่างเอาชีวิตไปทิ้งต่อ?” เสียงที่เรียบนิ่งของเหมียวอี้ทำลายความเงียบในดาราจักร
“พี่น้องทัพเหนือฟังคำสั่ง ถ้าอ๋องผู้นี้แพ้ ยอมสวามิภักดิ์!” โค่วหลิงซวีตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ทัพใต้ ทัพตะวันออกฟังคำสั่ง ถ้าอ๋องผู้นี้แพ้ ถอนทัพทันที ห้ามรุกรานทัพเหนืออีกแม้แต่น้อย!” เหมียวอี้พูดจบแล้วยื่นมือ ทำท่าเชิญโค่วหลิงซวี “ท่านอ๋องโค่วพูดคำไหนคำนั้น ข้าก็ไม่กลับคำพูดเหมือนกัน รับคำท้า!”
“ท่านอ๋อง…” เฉิงไท่เจ๋อกับหยางชิ่งพากันส่งเสียงโน้มน้าว
ทว่าเหมียวอี้ไม่สะทกสะท้านเลย ขยุ้มมือคว้าทวนเกล็ดย้อนสีแดงสดทั้งตัวมาไว้ในมือ พอโบกทวน “กรร” เสียงมังกรคำรามก็ดังก้องดาราจักร
“เพื่อไม่ให้ทุกคนกล่าวหาว่าข้าเป็นคนแก่รังแกเด็ก…” หลังจากโค่วหลิงซวีกล่าวเช่นนี้แล้ว ก็ถอดกำไลเก็บสมบัติบนข้อมือออกมา รวมทั้งที่เก็บสมบัติทั้งหมดบนตัวด้วย เขานำทั้งหมดส่งให้คนที่อยู่ข้างกาย ถือเพียงทวนด้ามเดียวไว้ในมือ แล้วลอยออกมาจากขบวนทัพเพียงลำพัง ชี้ไปที่เหมียวอี้พร้อมบอกว่า “ให้คนของเจ้ามาตรวจสอบได้ เพื่อความยุติธรรม!”
หยางชิ่งบอกกับเหมียวอี้ทันทีว่า “ท่านอ๋อง โค่วหลิงซวีเห็นว่าท่านอ๋องมั่นใจขนาดนี้ ในใจเขาจึงไม่มีความมั่นใจ กังวลว่าในมือท่านอ๋องจะมีของวิเศษร้ายกาจอะไร อย่าติดกับดักเด็ดขาด!”
“เขาไม่ใช้ของวิเศษ แล้วข้ายังจำเป็นต้องกลัวด้วยเหรอ!” เหมียวอี้ยิ้มอย่างสบายๆ เขาทยอยถอดที่เก็บสมบัติบนร่างกายออก ส่งให้หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ แล้วลอยออกมาจากขบวนรบเพียงลำพัง
หยางเจาชิงรับของมา แล้วส่งคนที่ไว้ใจได้เหาะไปตรวจสอบฝั่งโค่วหลิงซวีทันที เตรียมป้องกันไม่ให้โค่วหลิงซวีแอบเล่นวิธีสกปรก
ฝั่งโค่วหลิงซวีก็ไม่เกรงใจ ส่งคนเข้ามาฝั่งนี้เช่นกัน
คนที่ทั้งสองฝั่งส่งมาตรวจค้นทั้งร่างกายของเหมียวอี้และโค่วหลิงซวีรอบหนึ่ง แน่ใจว่าไม่ได้ซ่อนลองลับอะไรเอาไว้ เสร็จแล้วถึงได้กลับมารายงานอย่างรวดเร็ว
โค่วหลิงซวีถลันตัวไปอยู่ตรงกลางระหว่างสองทัพที่กำลังคุมเชิงกัน เหมียวอี้ก็ถลันตัวออกมาเช่นกัน ทั้งสองถือทวนไว้ในมือ สบตากันอยู่กลางอากาศ คนหนึ่งแก่ชรา คนหนึ่งหนุ่มแน่นแข็งแรง
“ตีกลองเสริมอานุภาพ!” แม่ทัพคนหนึ่งของฝั่งตระกูลโค่วหันมาตะโกนบอก กลองสะท้านฟ้าลอยออกมา แม่ทัพคนนั้นตีกลองด้วยตัวเอง เสียงกลองดังกังวานอยู่ในดาราจักร
ฝั่งนี้ก็ไม่กล้าแสดงความอ่อนแอเช่นกัน เฉิงไท่เจ๋อสั่งให้คนนำกลองออกมา ก้าวขึ้นมาตีกลองด้วยตัวเอง
ชั่วขณะนั้น บรรยากาศในท้องฟ้าแตกต่างออกไป สมาชิกทัพใหญ่ของทั้งสองฝั่งต่างก็เบิกตาดูภาพนี้ เหตุการณ์ครึกครื้นยิ่งใหญ่ที่อ๋องสวรรค์ทั้งสองสู้กันตัวต่อตัว ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสได้เห็น
“เฮ้อ! พลังของโค่วหลิงซวีไม่ธรรมดาจริงๆ ทำไมท่านอ๋องต้องพาตัวเองไปอยู่ในอันตราย”
ในศูนย์บัญชาการของขบวนรบ เถิงเฟยทอดถอนใจอย่างเสียดาย บ่นกับชิงเยว่อย่างร้อนใจมาก แม้แต่เขายังคิดไม่ตก ต่อสู้อยู่ดีๆ ทำไมหยุดให้โค่วหลิงซวีฉวยโอกาส กำจัดโค่วหลิงซวีไปโดยตรงก็สิ้นเรื่องแล้ว มีหรือที่จะยุ่งยากอย่างนี้ ต่อไปก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรอีก
ชิงเยว่ตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “เจ้าคิดว่าท่านอ๋องฝีมืออ่อนด้อยเหรอ? วางใจเถอะ นี่โค่วหลิงซวีกำลังรนหาที่ตายให้ตัวเองชัดๆ”
“หมายความว่ายังไง?” เถิงเฟยงงงัน
“ตอนที่ท่านอ๋องฝึกวิชา เคยเรียกข้าไปประลองฝีมือ ข้าสู้ท่านอ๋องไม่ได้” ชิงเยว่ตอบ
เถิงเฟยแทบจะด่าแม่ อดไม่ได้ที่จะพูดเหน็บแนม “เจ้ากำลังจะบอกว่า โค่วหลิงซวีสู้เจ้าไม่ได้งั้นหรอ?”
ชิงเยว่พูดเสริมอีกว่า “ขากับหลงซิ่นร่วมมือกัน ก็ยังต้านทานกระบวนท่าเดียวของท่านอ๋องไม่ได้!”
“…” เถิงเฟยพูดไม่ออก สงสัยนิดหน่อยว่าตัวเองฟังผิดไปแล้วหรือเปล่า
อีกด้านหนึ่ง หยางชิ่งมองหยางเจาชิงที่จิตใจสงบนิ่งตั้งแต่ศีรษะจดเท้า “เหมือนเจ้าจะไม่กังวลสักนิดเลยนะ?”
หยางเจาชิงตอบด้วยน้ำเสียงธรรมดา “ไม่มีอะไรน่ากังวล ถ้าใช้กำลังปะทะกันตรงๆ โค่วหลิงซวีก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านอ๋องหรอก”
“เจ้ากำลังจะบอกอะไร?” หยางชิ่งงง
หยางเจาชิงบอกเพียงว่า “ถ้าเคยเห็นท่านอ๋องประลองกับชิงเยว่และหลงซิ่น”
หยางชิ่งขมวดคิ้ว เมื่อเห็นเขามั่นใจขนาดนี้ ก็ไม่ได้ถามอะไรมากอีก เพียงแต่ยังถ่ายทอดเสียงเตือนว่า “เชิญหวังเฟยออกมาดีกว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คาดเดาไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น ถ้าจะบอกว่าใครสามารถคุมสถานการณ์ได้ ก็มีแค่หวังเฟยเท่านั้นที่มีอำนาจบารมีนี้ อย่างน้อยก็จะไม่ทำให้ทัพใต้กระจัดกระจาย”
หยางเจาชิงเงียบไปครู่เดียว คิดไปคิดมาก็เห็นด้วย ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ก็มีเพียงอวิ๋นจือชิวที่คุมสถานการณ์อยู่ อย่างน้อยก็มีแม่ทัพจำนวนไม่น้อยที่เชื่อฟังอวิ๋นจือชิว ยกตัวอย่างเช่นพวกชิงเยว่ จะไม่ทำให้เหตุการณ์เสียการควบคุมในฉับพลัน
อวิ๋นจือชิวเผยโฉมออกมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงนี้ ก็ถามทันทีว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
หยางเจาชิงรีบเล่าสถานการณ์ให้ฟัง
อวิ๋นจือชิวโมโหทันที “พวกเจ้าเลอะเลือน ทำไมไม่ห้ามท่านอ๋อง รู้ได้ยังไงว่าโค่วหลิงซวีไม่เล่นตุกติก?”
แต่นางก็รู้เช่นกัน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่อาจย้อนคืนมาอีก ตอนนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะเรียกเหมียวอี้กลับมา เหมียวอี้ก็คงไม่กลับมาเช่นกัน ใครโน้มน้าวก็ไม่มีประโยชน์
เมื่อเห็นหยางเจาชิงกับหยางชิ่งก้มหน้า ก็จ้องหยางชิ่งพร้อมกล่าวเสียงเย็นทันที “ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะใช้วิธีการอะไร เอาเป็นว่าต้องรับประกันความปลอดภัยของท่านอ๋องให้ได้ ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดกับท่านอ๋อง ข้าก็จะต้องหาศีรษะมารับผิดชอบ!”
พอหยางชิ่งเงยหน้า ก็รู้สึกได้ถึงเจตนาในดวงตาอวิ๋นจือชิวทันที ทำให้คนตัวสั่นทั้งที่ไม่ได้หนาว เขาอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ สองผัวเมียคู่นี้ไม่เคยเชื่อใจเขาอย่างเต็มที่ ฟังจากความหมายในคำพูดของอวิ๋นจือชิว ศีรษะที่จะต้องนำมารับผิดชอบก็คงจะเป็นศีรษะของเขา
เขาเองก็เข้าใจความคิดของอวิ๋นจือชิวเช่นกัน การกระทำบางอย่างของเขาต้องการเล่นงานให้อวิ๋นจือชิวถึงแก่ความตาย สาเหตุที่อวิ๋นจือชิวใจกว้างอภัยให้ก็เพราะมีเหมียวอี้อยู่ ถ้าไม่มีเหมียวอี้แล้ว ฝั่งนี้ก็ควบคุมฉินเวยเวยไม่ได้ ยอมควบคุมหยางชิ่งไม่ได้ด้วยเช่นกัน เกรงว่าอวิ๋นจือชิวคงจะลงมือสังหารเขาทันที
อย่าไปมองว่าเขาถูกใช้งานในตำแหน่งสำคัญอยู่ข้างกายเหมียวอี้ ที่จริงแล้วเป็นเรื่องจอมปลอมทั้งนั้น กำลังพลที่นี่ไม่มีใครฟังคำสั่งของเขาเลย ขอแค่อวิ๋นจือชิวสั่งคำเดียว ตัวเองก็จะตายโดยไร้หลุมฝังศพทันทีแน่นอน
เขารู้เช่นกันว่าทุกอย่างล้วนเป็นกรรมตามสนอง เป็นเพราะเรื่องในปีนั้นถูกเปิดโปง
ด้วยเรื่องราวในครั้งนั้น เขาก็ยังคิดไม่ตกว่ามีช่องโหว่ตรงไหน แผนการก็วางไว้ดีแล้ว ทำไมมู่ฝานจวินถึงปล่อยอวิ๋นจือชิวไปโดยไม่สังหาร ไม่มีเหตุผลเลยจริงๆ อย่าบอกนะว่าบนโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาจริงๆ? อวิ๋นจือชิวคนนี้ถูกชะตากำหนดให้เป็นมารดาแหง่ใต้หล้า?
“ให้เบื้องล่างเตรียมตัวไว้ให้ดี ถ้าพบความไม่ชอบมาพากล ก็ไม่ต้องรักษาสัญญาอะไรทั้งนั้น โจมตีเข้าไปทันที!” หยางชิ่งเอ่ยปากเสนอวิธีการพี่ไม่ค่อยดีนัก
อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “อนุญาตแล้ว ความปลอดภัยของท่านอ๋องต้องมาเป็นอันดับแรก อย่างอื่นล้วนไม่สำคัญ จัดการตามนี้!” นางเอียงหน้าบอกใบ้หยางเจาชิง
หยางเจาชิงพยักหน้าเอ่ยรับคำสั่ง แล้วแอบไปทำตามที่กำชับไว้ ให้บรรดาแม่ทัพไปเตรียมตัว
ท่ามกลางการคุมเชิงกัน เหมียวอี้กับโค่วหลิงซวีค่อยๆ สะสมพลังจนถึงจุดสูงสุด พร้อมประทุทุกเมื่อ ทุกคนล้วนกำลังจ้องอยู่ หัวใจตึงไปหมดแล้ว
ศพร่างหนึ่งลอยพลิกเข้ามาเบาๆ ลอยผ่านระหว่างทั้งสองไป
ชั่วขณะที่สายตาของเหมียวอี้ถูกบดบัง ในที่สุดโค่วหลิงซวีก็ลงมือแล้ว เงาร่างสั่นไหวเป็นเงามายาเล็กน้อย ราวกับแวบหายไปในชั่วพริบตาเดียว
ทวนในมือเหมียวอี้ก็วาดเป็นเงามายาออกมาเช่นกัน ชั่วพริบตาเดียวตรงหัวทวนก็มีจุดสีดำขนาดเท่ากำปั้นที่หมุนวนแทงออกมา
บึ้ม! เสียงระเบิดทั้งกลบเสียงกลองสะท้านฟ้า
ศพที่ลอยผ่านกลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตาเดียว โค่วหลิงซวีปรากฏตัว หัวทวนของทั้งสองชนปะทะกันแล้ว
เพียงแต่ชั่ววินาทีนี้ ทั้งสองใช้กำลังปะทะกันโดยตรง สะเทือนจนกระเด็นถอยหลังแทบพร้อมกัน
โค่วหลิงซสะเทือนไถลไปไม่กี่สิบจั้ง แต่เหมียวอี้แทบกระเด็นกลับมาถึงขบวนรบของตัวเอง
โค่วหลิงซวีมองไปอย่างผิดคาดเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าอาศัยวรยุทธ์ของเหมียวอี้แล้วจะกล้าใช้กำลังปะทะกับตนตรงๆ แบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะต้านไหว ทั้งยังทำให้ฝ่ามือตนสะเทือนจนชาด้วย นี่ก็คือความมั่นใจที่เจ้าหนุ่มนี่กล้าประมือกับตนเหรอ?
ผงแป้งที่กลบปิดตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้หลุดออกไปอย่างไร้การควบคุม เผยลายเพลิงสีทองอ่อนๆ ตรงหว่างคิ้ว มือที่จับทวนของเขาสั่นเล็กน้อย หนามแหลมบนเกราะรบลอยไปข้างหลังพร้อมกัน ราวกับถูกลมแรงเป่าไม่หยุด คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่แผ่ออกมาทีหลังก็เป่าไปทางขบวนรบข้างหลังราวกับพายุเช่นกัน
หัวใจที่อยู่ข้างในก็ยิ่งถูกสะเทือนจนเหมือนพลิกแม่น้ำคว่ำทะเล อยากจะกระอักเลือกเสียตอนนี้
วรยุทธ์ของโค่วหลิงซวีแข็งแกร่งเกินกว่าที่เหมียวอี้จินตนาการนิดหน่อย เป็นเพราะไม่เคยฝึกกับนักพรตที่มีพลังเท่าโค่วหลิงซวีมาก่อนเช่นกัน เขาอยากจะทดสอบพลังดูสักหน่อย ถึงได้ปะทะโดยตรงอย่างนี้ การโจมตีนี้เขาใช้แรงทั้งหมดที่มี แต่เห็นได้ชัดว่ายังด้อยกว่า
แค่ประลองเท่านี้ ไม่ว่าใครก็มองออกว่าวรยุทธ์ของเหมียวอี้ด้อยกว่าโค่วหลิงซวี แต่การที่สามารถปะทะกันโดยตรงอย่างนี้ได้ ก็ทำให้คนไม่น้อยมองเขาด้วยสายตาใหม่แล้วจริงๆ
“องอาจ! องอาจ…” ทุกคนของทัพเหนือส่งเสียงให้กำลังใจ
ส่วนฝั่งทัพใต้ก็ปวดใจเงียบๆ อวิ๋นจือชิวถ่ายทอดเสียงบอกอย่างกังวล “หนิวเอ้อร์ พอแค่นี้เถอะ!”
เหมียวอี้ไม่สนใจเลย ถึงขั้นไม่คิดด้วยว่าอวิ๋นจือชิวออกมาตั้งแต่เมื่อไร เขาข่มความปั่นปวนในร่างกายเอาไว้ แล้วถลันตัวออกมาพร้อมตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด “มาอีก!”
…………………………