พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2198 หนึ่งทวนร้อยสังหาร
“เนี่ยน่ะเหรอที่เจ้าบอกว่าโค่วหลิงซวีไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา?”
เมื่อเห็นเหมียวอี้เสียเปรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัดเจน ท่ามกลางเสียงกล่าวชมว่าองอาจจากฝั่งทัพเหนือ เถิงเฟยพูดเหน็บแนมชิงเยว่ด้วยใบหน้าดำคร่ำเครียด
ชิงเยว่เหมือนไม่กังวลเลยสักนิด ตอบอย่างสงบนิ่งว่า “ท่านอ๋องยังไม่นำความสามารถที่แท้จริงออกมาใช้ รอให้เจ้าเปิดหูเปิดตาแล้ว รู้แล้วว่าเขาคือผู้สืบทอดของใคร เจ้าก็ย่อมเข้าใจเอง”
“เจ้าหมายถึงอสุราอัคนีหรอ?”
เถิงเฟยถามด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้คำตอบ สายตาของทั้งสองล้วนจ้องไปยังเหมียวอี้ที่โจมตีเข้ามาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว จ้องไม่ละสายตา
เห็นเหมียวอี้เห็นพุ่งเข้ามา โค่วหลิงซวีแสะยิ้มรับ ในมือถือทวนเฉียงลง ถอยขาข้างหลังไปข้างหลัง โน้มตัวท่อนบนมาข้างหน้า ร่างกายอยู่ในสภาพเตรียมพุ่งออกมา จ้องเหมียวอี้พี่พุ่งเข้ามายังไม่ละสายตา เหมือนเสือดาวที่พร้อมกระโจนล่าเหยื่อทุกเมื่อ
ที่แปลกกว่านั้นก็คือ เงาร่างของโค่วหลิงซวีที่อยู่ในภาวะสงบนิ่งเปลี่ยนเป็นไม่สมจริงเล็กน้อย กำลังสั่นกระเพื่อมราวกับระลอกคลื่น
เงาร่างโค่วหลิงซวีไม่เคลื่อนไหว เหมียวอี้พุ่งไปข้างหน้าต่อโดยอย่างห้าวหาญไม่หวาดหวั่น
จนกระทั่งชั่วพริบตาที่ระยะห่างของทั้งสองได้ที่ โค่วหลิงซวีก็ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ฆ่า!” ทั้งร่างกลายเป็นร้อยพันร่างในชั่วพริบตาเดียว ราวกับเป็นเงาดอกไม้ที่ระเบิดยิงออกมาอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายก็คือเหมียวอี้ที่พุ่งตรงเข้ามา น่าทึ่ง ลึกลับ สั่นสะเทือน
อวิ๋นจือชิวยกมือขึ้นทาบอกโดยไม่รู้ตัว ชั่วขณะนี้ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรที่อกสั่นขวัญแขวน
“ย๊ากก!” ทันใดนั้นเสียงตะโกนของเหมียวอี้ก็ดังขึ้น พุ่งไปต่อโดยไม่ลดความเร็ว สองมือถือทวน ถอนทวนปล่อยทวนราวกับมังกรคะนองน้ำ
ราวกับมังกรคะนองน้ำอย่างแท้จริง ทวนแล้วทวนเล่า ทุกครั้งที่แทงทวนออกไป จุดสีดำขนาดเท่ากำปั้นที่หมุนวนตรงหัวทวนก็ถูกแสงทวนอันแหลมคมเจาะแตก ราวกับมีมังกรดำออกจากรังไหม มังกรดำน้อยตัวหนึ่งเจาะออกจากเปลือกไข่ แล้วเติบโตจากการถูกลมพัดในชั่วพริบตาเดียว คำรามราวกับอัสนีบาตสะท้านฟ้า
ที่จริงแล้วเป็นรอยแยกมิติ ทุกรอยแยกมิติยาวถึงร้อยจั้ง นั่นคือรอยบิดโค้งไร้ระเบียบ ราวกับมังกรดำดุร้ายอย่างแท้จริง ส่งเสียงมังกรคำรามทุ้มลึก ราวกับเป็นเสียงแห่งบรรพกาลที่ดังก้องออกมาจากจุดลึกของอวกาศ ให้ความรู้สึกอึมครึม บ้าระห่ำ เกรี้ยวกราด เสียสติ
ฉีกขาดอย่างน่าเกลียดน่ากลัวหนึ่งเส้น ฉีกขาดอย่างน่าเกลียดน่ากลัวสองเส้น ฉีกขาดอย่างน่าเกลียดน่ากลัวสามเส้น…
ชั่วพริบตานั้น มังกรคะนองน้ำนับร้อยตัวที่เกิดจากรอยแยกมิติ ราวกับเจาะออกจากท้องฟ้าที่ฉีกขาด พุ่งไปยังเงาร่างนับร้อยพันที่เข้ามา เสียงปะทะดังสะเทือนเลื่อนลั่น เป็นการทำลายล้าง
พอโค่วหลิงซวีปล่อยท่าไม้ตาย ก็ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรตกตะลึงพรึงเพริด
ฉากที่เหมียวอี้ใช้ทวนจนท้องฟ้าเป็นรอยฉีกขาดก็ยิ่งทำให้ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริด เบิกตาโพลงโดยฉับพลัน
นี่ไม่ใช่หนึ่งทวนสิบสังหาร แต่เป็นหนึ่งทวนร้อยสังหาร!
หลายปีขนาดนี้แล้ว วรยุทธ์และศักยภาพของเหมียวอี้ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ บางอย่างที่ตระหนักรู้เมื่อหลายปีก่อนได้พัฒนาแล้ว ความมั่นใจที่ทำให้กล้าชิงชัยกับวีรบุรุษในใต้หล้าก็มาจากความมั่นใจในตัวเอง
เสียงชนปะทะดังสะเทือนเลือนลั่น เงาร่างนับร้อยพันไม่มีทางหนีพ้นความเร็วและพลังลึกลับของรอยแยกมิตินับร้อยรอยได้ มังกรใหญ่ลึกลับนับร้อยตัวขวักไขว่ไล่สังหาร จู่โจมอย่างดุร้าย ทำให้สิ่งกีดขวางที่ลอยระเกะระกะอยู่ในดาราจักรทั้งหมดแตกกระจาย
เงาคนถูกโจมตีสลายร่างแล้วร่างเล่า ในที่สุดก็เห็นเงาคนหนึ่งร่างถูกมังกรตัวมหึมาชนกระเด็น เกราะรบบนร่างแหลกเป็นผุยผงในชั่วพริบตาเดียว สองแขนที่ถือทวนต้านสะเทือนแหลกราญไปพร้อมกับทวน
มังกรดำลึกลับร้อยตัวปรากฏตัวเร้วมา และหายตัวไปเร็วมากเช่นกัน ราวกับฉากมายาที่ปรากฏขึ้นอย่างดุเดือด แล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับความฝันในดาราจักร เสียงคำรามที่มาจากยุคบรรพกาลยังดังก้องอยู่ในดาราจักร
โค่วหลิงซวีที่อมลมไว้ในกระพุ้งแก้มพยายามพยุงร่างให้มั่นคง ลอยนิ่งอยู่ในอวกาศ ใบหน้าเผยความดุร้าย เบิกตากว้างจ้องเขม็งไปที่เหมียวอี้ สองแขนไม่มีแล้ว ไหล่สองข้างก็ไม่มีแล้วเช่นกัน เสื้อผ้าขาดรุ่ย ตรงบ่าสองข้างมีเลือกไหลหยด สุดท้ายก็ “อั้ก” กระอักเลือดคำหนึ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ปั้ง! ทวนเกล็ดย้อนในมือเหมียวอี้ระเบิดกลายเป็นผุยผงทันที
แม้แต่ทวนเกล็ดย้อนเองก็ทนรับพลังที่น่าหวาดกลัวขนาดนี้ไม่ไหว ถ้าพูดจากบางระดับ การควบคุมพลังที่น่าหวาดกลัวแบบนี้ เหมียวอี้เองก็ทำได้ไม่คล่องมักเช่นกัน
ในตอนนี้ เหมียวอี้ถึงได้ถอนหายใจออกมาช้าๆ กระบวนท่านี้ทำให้เขาสิ้นเปลืองพลังอิทธิฤทธิ์มากเกินไป สิ้นเปลืองกำลังวังชามหาศาลเช่นกัน ถ้าไม่ใช่วรยุทธ์ระดับสำแดงฤทธิ์แยกร่าง ที่สามารถมีสามวิญญาณเจ็ดดวงจิตทุกร่างได้ เกรงว่าพอใช้กระบวนท่านี้แล้วก็คงทำให้เขาสลบทันทีเช่นกัน
เสียงกลองสะท้านฟ้าของฝั่งทัพใต้ก็เงียบแล้วเช่นกัน เฉิงไท่เจ๋อมองอย่างตกตะลึงอ้าปากค้าง ในหัวยังคงมีภาพสะพรึงเมื่อครู่นี้วนเวียนอยู่ นึกย้อนไปถึงพลังทำลายล้างอันน่าหวาดกลัวที่ฉีกทำลายล้างทุกอย่าง ไม่น่าเชื่อว่าจะกำจัดโค่วหลิงซวีได้ด้วยกระบวนท่าเดียว!
เงียบกริบทั้งทัพใต้ ทุกคนตะลึงค้างแล้ว วันนี้เพิ่งจะได้รู้ว่าพลังของอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้น่ากลัวขนาดไหน
หยางเจาชิงงุนงง เหมือนรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง ส่วนหยางชิ่งก็ตกใจค้าง ผ่านไปนานกว่าจะดึงสติกลับมาได้
อวิ๋นจือชิวเผยอปากเล็กน้อย ดวงตางามเหม่อลอย นางเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเหมียวอี้จะมีท่าไม่ตายที่น่ากลัวขนาดนี้
สถานการณ์ตอนฝึกวิชาโดยละเอียด เหมียวอี้บอกนางน้อยมาก แต่นางก็นับว่าเข้าใจแล้ว ว่าเหตุใดตอนนั้นเหมียวอี้ถึงให้นางหลอมสร้างทวนเกล็ดย้อนสองด้าม
คนที่เคยเห็นอานุภาพของกระบวนท่านี้จริงๆ มีเพียงเฮยทั่น เคยเห็นตอนที่เหมียวอี้ใช้ท่านี้ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเฮยทั่นที่เมื่อก่อนกล้าดื้อด้านต่อหน้าเหมียวอี้ แต่ตอนนี้ยามเจอเหมียวอี้แล้วว่านอนสอนง่าย เพราะว่าน่ากลัว ไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว!
หลังจากขยับลูกกระเดือกเล็กน้อย เถิงเฟยก็ค่อยๆ หันไปมองชิงเยว่ “มิน่าล่ะเจ้าถึงบอกว่าเจ้ากับหลงซิ่นร่วมมือกันก็ยังต้านหนึ่งกระบวนท่าไม่ไหว ข้าเชื่อแล้ว เพียงแต่ว่า…ไม่เคยได้ยินว่าใครใช้กระบวนท่านี้ได้ ท่านอ๋องเป็นผู้สืบทอดของใคร?”
ชิงเยว่ขมวดคิ้ว ส่ายหน้าเบาๆ โดยไม่ตอบอะไร ตอนแรกที่ฝึกฝนกัน ท่านอ๋องไม่ได้ใช้กระบวนท่านี้ นางไม่รู้จักกระบวนท่านี้ ไม่รู้เช่นกันว่าเหมียวอี้ได้รับถ่ายทอดกระบวนท่านี้มาจากใคร ในเมื่อท่านอ๋องไม่อยากเปิดเผยภูมิหลังของอาจารย์ นางก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรเหมือนกัน
“ท่านอ๋อง…” ในทัพอารักขาของโค่วหลิงซวีมีคนตะโกนร้องอย่างเศร้าโศก
“ยิงธนู!” มีคนคำรามอย่างโกรธแค้นเช่นกัน
ชั่วพริบตานั้น ไม่รู้ว่าฝั่งทัพใต้มีคนตั้งเท่าไรที่ตกใจจนแทบวิญญาณหลุดออกจากร่าง
ปั้งๆๆๆ! ลำแสงยิ่งออกจากทัพอารักขาของโค่วหลิงซวีอย่างฉับพลัน ยิงไปทางเหมียวอี้อย่างบ้าคลั่งราวกับห่าฝน
อวิ๋นจือชิวเอามือปิดปากอย่างตระหนก น้ำตาร้อนๆ เอ่อล้นดวงตาในชั่วพริบตาเดียว ภายใต้ระยะห่างเท่านั้น ไม่มีใครสามารถช่วยเหมียวอี้ได้ และก่อนหน้านี้เหมียวอี้ก็นำของมีค่าออกจากตัวหมดแล้ว ไม่มีของใดๆ มาป้องกัน
ทว่าผ่านไปชั่วพริบตาเดียว อวิ๋นจือชิวก็เบิกตากว้างที่เปื้อนน้ำตามองอีก
เหมียวอี้ที่ก้มหน้าเล็กน้อยและลอยอยู่ในดาราจักรผลักฝ่ามือออกมาหนึ่งครั้ง คลื่นแสงที่ระยิบระยับพ่นทะลักออกมา เหมือนเพลิงเดือดล่องหน ถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง
ลำแสงที่ทยอยยิงออกมาอย่างต่อเนื่องปรากฏรูปร่าง กระทบโจมตีบนลำแสงที่ยาวเหยียดหนาแน่นเหมือนของจริง ไม่มีการป้องกันการปะทะ คลื่นแสงสั่นไหวไม่หยุดนิ่ง คลื่นที่หลงเหลือจากแรงสั่นสะเทือน เมื่อไปถึงตรงฝ่ามือเหมียวอี้ก็มีอานุภาพไม่มากแล้ว
ลูกธนูดาวตกที่ระเบิดยิงออกมาอย่างฉับพลันทำร้ายเหมียวอี้ไม่ได้เลยสักนิด ทำให้กำลังพลที่อยู่ในค่ายทัพของสองฝ่ายงงเป็นไก่ตาแตก แบบนี้ก็ได้เหรอ?
แต่ละคนตกตะลึงพรึงเพริดกับพลังอันแข็งแกร่งห้าวหาญของอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้!
“ประมุขไป๋!” เถิงเฟยพึมพำ แล้วค่อยๆ หันหน้าไปมองชิงเยว่ที่ดูไม่แปลกใจเลยสักนิด ในที่สุดก็เข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
“ประมุขไป๋!” เฉิงไท่เจ๋อที่สองมือถือไม้ตีอยู่หน้ากลองสะท้านฟ้าพึมพำอย่างตะลึงงัน
อาศัยแรงสะเทือนกลับที่กระเพื่อมมาหลายระลอก เหมียวอี้รีบดึงแสงคลื่นถอยหลัง กลับเข้ามาอยู่ในค่ายทัพของตัวเอง ไม่ใช่ว่าเขากลัวอะไร แต่เป็นเพราะก่อนหน้านี้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์เยอะเกินไป ตอนนี้เขาต้านทานได้ไม่นานแล้ว
แสงคลื่นพลังมหาศาลที่ปล่อยออกมา ตอนนี้ก็ถูกเก็บเข้าในร่างกายแล้วเช่นกัน
พอเขากลับเข้ามา โล่ทั้งฝั่งซ้ายและขวาก็รีบตั้งขึ้นป้องกันอยู่หน้ากระบวนทัพ
ผู้บัญชาการที่อยู่ฝั่งนี้ออกคำสั่งบุกโจมตีทันที เหมียวอี้ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้! โค่วหลิงซวีแพ้แล้ว ถ้าตอนนี้พวกเจ้าหยุดและยอมสวามิภักดิ์ ข้าก็จะไม่เอาเรื่องที่แล้วมา ถ้ากล้าโจมตีอีก ข้าก็จะสังหารพวกเจ้าไม่ให้เหลือแม้แต่เกราะรบ!”
ฝนธนูเริ่มหร็อมแหรมลงทีละน้อย สุดท้ายก็หยุดแล้ว ในค่ายทัพเหนือมีคนเอามือปิดหน้าร้องไห้…
กำลังพลกลุ่มหนึ่งกำลังเร่งเดินทางอยู่ในดาราจักร พาหนะของประมุขพุทธะก็คือวัดขนาดเล็กที่มีมังกรใหญ่สองตัวคอยลาก ประมุขชิงไม่ได้อยู่บนเกี้ยวมังกรของตัวเอง แต่มานั่งอยู่บนรถมังกรของประมุขพุทธะแล้ว
เห็นผลก็ไม่ได้ซับซ้อน ด้วยสถานการณ์ในพื้นที่ต่างๆ ที่รู้มาตอนนี้ ช่องทางข่าวสารของประมุขชิงถูกเจาะจงทำร้ายอย่างรุนแรง แต่เทียบกับฝั่งของประมุขพุทธะไม่ได้ เขามาที่นี่ก็เพื่อติดตามข่าวบนสนามรบ
เมื่อได้รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อโจมตีให้โค่วหลิงซวีพ่ายแพ้ภายในกระบวนท่าเดียว ประมุขชิงกับประมุขพุทธะที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงข้ามกันก็ตกอยู่ในความเงียบ
“ท่านเคยได้ยินว่ามีใครใช้กระบวนท่านี้หรือเปล่า?” ประมุขชิงถาม
ประมุขพุทธะส่ายหน้าเบาๆ แต่สีหน้ากลับเครียดขรึมเล็กน้อย
ตอนที่ลูกศิษย์ส่งข่าวมาอีกครั้งว่าหนิวโหย่วเต๋อต้านฝูงลูกธนูดาวตกได้ ประมุขชิงและประมุขพุทธะก็สบตากันแล้ว
ประมุขพุทธะกล่าวเสียงต่ำว่า “เป็นคนของเจ้าสามไป๋! เข้ารับตำแหน่งอยู่ในตำหนักสวรรค์ขอเจ้ามานานขนาดนี้ เจ้าไม่พบพิรุธอะไรสักนิดเลยเหรอ?”
“ถ้าเป็นเจ้าสามไป๋วางแผนจริงๆ แล้วเขาจงใจจะปิดบัง จนกระทั่งตอนนี้เพิ่งเปิดโปงออกมา ก็ย่อมสังเกตเห็นได้ยากอยู่แล้ว…” ประมุขชิงเอียงหน้ามองดาราจักรนอกประตู พึมพำว่า “เจ้าสามไป๋กลับมาแล้วเหรอ?”
ประมุขพุทธะยืนขึ้น “ตอนนี้ในมืออีกฝ่ายมีกำลังพลเพิ่มอีกสองสามร้อยล้านแล้ว เป็นทัพใหญ่เกือบแปดพันล้าน ทั้งยังมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากอยู่ในมืออีก ถ้าใช้กำลังปะทะกันโดยตรงก็มีโอกาสชนะต่ำ เจ้าคิดหาทางโน้มน้าวก่วงลิ่งกงให้มาอยู่ฝั่งพวกเราเถอะ!”
ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ ลุกขึ้นยืมตามแล้วเช่นกัน “ตอนนี้กำลังพลแต่ละฝ่ายรวมตัวกัน แทบจะไม่มีทหารยามเฝ้าตามประตูดวงดาว ศิษย์ชาวพุทธของท่านที่กระจายตัวอยู่ทั่วทั้งใต้หล้าสามารถรวมตัวกันได้อย่างไร้กังวล น่าจะรวบรวมกำลังพลได้หนึ่งพันห้าร้อยล้านใช่มั้ย?”
“แจ้งลงไป!” ประมุขพุทธะหันกลับมาสั่งลูกศิษย์ที่ติดตาม
ศิษย์คนนั้นประนมมือโค้งตัว “รับทราบ!”
ยิ่งเป็นการรบราฆ่าฟันขนาดใหญ่ การบาดเจ็บล้มตายก็ยิ่งมาก นี่คือเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก กำลังพลของเหมียวอี้กับกำลังพลของโค่วหลิงซวีใช้เวลารบกันไม่นาน ความเสียหายของทั้งสองฝ่ายรวมกันก็ยังสูงถึงสามร้อยล้าน นับรวมแล้วเหลือกำลังพลอยู่ประมาณเจ็ดพันแปดร้อยล้าน
ทว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่อวิ๋นจือชิวสนใจ อวิ๋นจือชิวโกรธแล้ว นางสะบัดหน้าหนีขณะน้ำตาไหล เหตุผลที่ว่าสถานการณ์บีบบังคับ นางล้วนเข้าใจดี แต่นางไม่อยากพูดอะไร
เหมียวอี้ใช้คำพูดดีๆ โน้มน้าวปลอยใจอยู่ข้างกัน ยอมรับผิดแต่โดยดีก็ไม่มีประโยชน์ อวิ๋นจือชิวไม่สนใจเขา ก่อนหน้านี้ทำให้นางตกใจเกือบตาย แม้จะเป็นกระต่ายตื่นตูมไปเอง แต่ตอนนี้นางก็ไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น
ในเวลานี้ เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อมาด้วยกันพร้อมใบหน้าเจือรอยยิ้ม หลังจากทั้งสองกุมหมัดคารวะแล้ว ก็ส่งสายตาให้กัน แล้วเฉิงไท่เจ๋อก็ถามว่า “ท่านอ๋อง ไม่ทราบว่าขั้นต่อไปเตรียมจะทำอะไร?”
เหมียวอี้มองอวิ๋นจือชิวที่หันหลังให้ ทำได้เพียงปล่อยไว้ก่อนชั่วคราว เขาหันมาหาทั้งสอง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเรียบๆ “ขั้นต่อไปก็ย่อมเป็นก่วงลิ่งกง ถ้ากำจัดภัยที่จะตามมาในภายหลังนี้แล้ว ก็ถึงเวลาทำศึกตัดสินกับประมุขพุทธะและประมุขชิง!”
“ข้าน้อยคิดว่าตอนนี้ท่านอ๋องยังมีอีกเรื่องที่สำคัญกว่าต้องจัดการก่อน” เถิงเฟยกล่าว