พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2209 สงครามยังไม่จบ
ในดาราจักร พระจำนวนหลายพันกำลังปะทะอย่างดุเดือดกับผู้เหลือรอดของลัทธิมารหลายร้อยที่ตานฉิงพามา
ผู้เหลือรอดของลัทธิมารที่อยู่ข้างนอกย่อมไม่ได้มีแค่จำนวนไม่กี่ร้อยนี้ แต่ยามปกติจะไม่มารวมตัวกันทั้งหมด ต่างก็กระจายตัวกันอยู่ตามแต่ละพื้นที่ คนที่ติดตามตานฉิงมาที่อาณาเขตดาวผืนนี้มีแค่ไม่กี่ร้อยนี้เท่านั้น
สองมือตานฉิงถือค้อนใหญ่นำคนบุกเข้าไปกลางกลุ่มพระ โบกค้อนคู่ทุบจนคนกะอักเลือดปลิวไป ไม่มีใครต้านได้
ตานฉิงกำลังฆ่าอย่างสนุก “ฮ่าๆ” ขณะที่กำลังหัวเราะลั่น จู่ๆ ข้างกายก็มีคนเตือนว่า “ขุนพลใหญ่ กองหนุนฝ่ายศัตรูมาแล้ว!”
ขณะควงค้อนทุบพระข้างกายที่หลบไม่ทันจนเลือดสาด ตานฉิงก็รีบมองไปรอบๆ เห็นเพียงกองทัพองครักษ์หลายหมื่นกำลังพุ่งมาทางนี้
กองทัพองครักษ์ของประมุขชิงส่วนใหญ่จะรวมตัวกันหมดแล้ว แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ก่อนหน้านี้ไปหลบค่อนข้างไกล ยังตามกลุ่มมาไม่ทัน ถ้าเทียบกับจำนวนมหาศาลของกองทัพองครักษ์ กำลังพลที่กระจัดกระจายเป็นหย่อม ๆ ไปรวมกลุ่มกันไม่ทันพวกนี้ก็นับโดยใช้หลักหมื่นแล้ว ในเมื่อยังตามกลุ่มไปไม่ทัน ตอนหลังกำลังพลของแดนพุทธแต่ละแห่งก็เจอแรงต้านไม่ให้รวมตัวกัน กำลังพลกองทัพองครักษ์ที่กระจายกันอยู่พวกนี้ก็ย่อมแสดงบทบาทแล้ว
กำลังพลกองทัพองครักษ์พุ่งมาทางฝั่งนี้ จัดวางกำลังสู้รบ นำธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมาแล้ว แม่ทัพหลักตะโกนเรียกเสียงดังให้กองทัพพระที่กำลังปะทะเดือดถอนตัวออกมา
“พัวพันพวกเขาเอาไว้!” ตานฉิงที่มองออกว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรตะโกนเสียงดังทันที ถ้าให้กองทัพพระพวกนี้ถอนตัวไป คนจำนวนไม่กี่ร้อยอย่างพวกเขาเขาจะกลายเป็นเป้าธนู แต่ดูจากการบัญชาการของเขาแล้ว เหมือนยังอยากหาโอกาสพุ่งเข้าไปในกองทัพองครักษ์ จะใช้คนจำนวนไม่กี่ร้อยสู้กับคนจำนวนหลายหมื่น
ตานฉิงบ้าระห่ำขนาดนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ยังไม่ต้องพูดถึงวรยุทธ์ของเขา แค่วรยุทธ์ของคนที่อยู่ข้างกายเขา ก็นับเป็นยอดฝีมือทั้งนั้น อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าศัตรูเยอะ และกำลังพลของอีกฝ่ายก็ไม่นับว่าเยอะมากเกินไป ถ้าสู้กันก็ยังมีโอกาสชนะ
ภายใต้การบัญชาการของเขา กำลังพลโจมตีพระที่หนีหัวซุกหัวซุนโดยตรงมีเพียงกำลังพลที่หนีไปทางกองทัพองครักษ์ที่ลงมืออย่างปราณี ฉวยโอกาสพรางตัวเข้าไปใกล้
เมื่อเห็นพวกตานฉิงปะปนอยู่กับพวกพระ ตามพระที่ถอนกำลังหนีมาทางนี้ด้วย แม่ทัพของกองทัพองครักษ์ก็มองออกแล้วว่าพวกตานฉิงมีศักยภาพไม่ธรรมดา ถ้าได้ต่อสู้ระยะใกล้กับอีกฝ่ายเมื่อไหร่ก็จะเป็นปัญหาใหญ่ ถึงแม้กองทัพพระจะเป็นพวกเดียวกัน แต่ในฐานะที่เป็นแม่ทัพหลัก บางครั้งก็ต้องพิจารณาเพื่อพี่น้องของตัวเอง
แม่ทัพหลักกัดฟัน โบกมือออกคำสั่งอย่างเด็ดเดี่ยว “เล็งโจรกบฏ ยิงธนู!”
ชั่วพริบตาเดียวลำแสงยิงเข้ามาราวกับฝนดาวตก ไม่ว่าในค่ายทัพของฝ่ายตรงข้ามจะมีคนของตัวเองหรือไม่ ไม่สนใจว่าจะยิงผิดคนหรือไม่ ฝนลูกธนูโปรยปรายเข้ามาแล้ว
“อา…”
ในกลุ่มคนที่กำลังตะลุมบอนกันมีเสียงร้องโอดครวญดังเป็นแถบทันที
จางเทียนเซี่ยวรีบยกโล่ขึ้นมาขวาง ลำแสงสายหนึ่งโจมตีให้โล่นิ้วมือนางหลุดปลิวไป จางเทียนเซี่ยวสะเทือนจนกระอักเลือด ต้นขาใหญ่ข้างหนึ่งที่ไม่มีโล่กำบังถูกยิงจนเป็นรูแล้ว เห็นฝนธนูยิงตามมาทีหลัง ตรงหน้ามีเงาคนคนหนึ่งถลำผ่านไป กลับเป็นหลันโฮ่วที่ยกโล่ขึ้นมาขวางตรงหน้านาง
โล่ที่กระโจนส่งเข้ามาถูกโจมตีจนกระเด็นออก แต่กลับช่วยต้านการโจมตีที่ถึงแก่ชีวิตให้จางเทียนเซี่ยวได้หนึ่งครั้ง ทว่าการยื่นโล่ในมือตัวเองออกมา ก็หมายความว่าตัวเองไม่มีโล่ป้องกันอยู่ตรงหน้าร่างกายแล้ว ดอกเลือดหลายดอกกระจายออกมาจากตัวหลันโฮ่ว
“ถอนกำลัง!” ตานฉิงคำรามอย่างบ้าระห่ำ รีบนำกำลังพลที่เหลือถอนตัวหนีออกไป ไม่หลบก็คงไม่ได้ อีกฝ่ายโหดเกินไปแล้ว ฆ่าได้แม้กระทั่งพวกของตัวเอง อยากจะอาศัยสิ่งนี้ต้านทานไปก็ไม่มีประโยชน์
จางเทียนเซี่ยวคว้าแขนหลันโฮ่ว ฉวยโอกาสตอนที่ฝนธนูระลอกสองยังไม่มาถึง รีบดึงหลันโฮ่วให้ถอยหนี
โชคดีที่กำลังพลกองทัพองครักษ์รู้ว่าวรยุทธ์ของคนฝั่งตัวเองสู้อีกฝ่ายไม่ได้ อยากจะตามก็ตามไม่ทันอยู่ดี เมื่อเห็นกองทัพศัตรูถอยออกไป ก็ไม่ลงมือโหดกับพระพวกนั้นอีก หยุดการโจมตีแล้ว
จางเทียนเซี่ยวที่ดึงหลันโฮ่วเหาะหนีฉุกละหุกมาก รูเลือดหลายรูบนตัวหลันโฮ่วกำลังมีเลือดไหลออกมา ปากก็มีเลือดไหลออกมาเช่นกัน จางเทียนเซี่ยวนำสมุนไพรเซียนซิงหัวมายัดเข้าปากเขา
รอจนกระทั่งหาดาวเคราะห์รกร้างพักได้ชั่วคราว หลันโฮ่วที่นอนอยู่บนพื้นก็คว้าข้อมือจางเทียนเซี่ยว ส่ายหน้าในขณะที่เลือดไหลออกจากปากและจมูก บอกนางว่าไม่ต้องช่วยอีกแล้ว กำลังสื่อว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว
จางเทียนเซี่ยวที่บนขาตัวเองมีเลือดไหลโมโหแล้ว กระชากคอเสื้อเขาพร้อมตวาดอย่างโมโห “ใครใช้ให้เจ้ามาช่วยข้า!”
หลันโฮ่วร่ายอิทธิฤทธิ์บอกอย่างเปลืองแรงว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว…”
“ข้าไม่ได้ให้เจ้าช่วย ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าช่วยด้วย…” จางเทียนเซี่ยวผลักไสเขาราวกับเป็นบ้าไปแล้ว
“สิ่งที่ข้า…ติดค้างเจ้า…คืนให้เจ้าแล้ว…” หลันโฮ่วที่ถูกเขย่ากล่าวพร้อมเลือดไหลออกจากคอ ศีรษะเริ่มเอียงทีละนิ จากนั้นก็ไม่ขยับแล้ว
จางเทียนเซี่ยวรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสภาพร่างกายของเขา จากนั้นก็ต[หน้าหลันโฮ่วหนึ่งที “หนึ่งชีวิตของเจ้าคิดจะแลกกับชีวิตคนทั้งครอบครัวของข้าเหรอ? เจ้าห้ามตาย!” จากนั้นก็ตบอีกหลายครั้ง
หลันโฮ่วไม่มีปฏิกิริยาอะไรแล้ว จางเทียนเซี่ยวที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ รู้สึกหัวสมองบ้างเปล่า ใบหน้าซีดขาว หย่อนก้นนั่งลงบนพื้น มองหน้าหลันโฮ่วด้วยแววตาเหม่อลอย ในหัวเต็มไปด้วยภาพที่ทั้งสองกราบไหว้ฟ้าดินด้วยกัน…
ตานฉิงรีบเดินเข้ามา โน้มตัวตรวจร่างกายหลันโฮ่ครูหนึ่ง เขาเองก็ปวดประสาทแล้ว สองคนนี้คือคนของอวิ๋นจือชิว อวิ๋นจือชิวฝากฝังให้เขาช่วยดูแล ตอนนี้ตายไปแล้วคนหนึ่ง เขาไม่สะดวกจะชี้แจงกับอวิ๋นจือชิว…
การต่อสู้ทีเขาหลิงซานจบลงแล้ว กำลังพลส่วนหนึ่งค้นหาไปทั่ว หลงซิ่นกับเหยียนซิวรวมทั้งประมุขปราญ์หกลัทธิเจอกันที่วัดต้าเหลยอิน หลังจากปรึกษากันแล้วก็ตัดสินใจว่าจะยุติการค้นหาที่เปลืองเวลา ทัพใหญ่ที่สนามรบหลักยังต้องการคน เตรียมจะนำกำลังพลกลับไปให้เร็วที่สุด
เมื่อรายงานความเห็นขึ้นไปแล้ว เบื้องบนอนุญาตแล้ว ขอเพียงคว้าชัยชนะที่สนามรบหลักได้ คนจำนวนน้อยที่นี่ไปได้ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่ จึงรีบเก็บกวาดสนามรบ เก็บของที่ได้จากการรบลงบัญชีไว้แล้วถอนกำลังเร็วให้ที่สุด
กลุ่มคนเดินออกจากอุโบสถใหญ่ เห็นเพียงอวิ๋นเฟยหยางถลันตัวเข้ามา รายงานต่ออวิ๋นอ้าวเทียนด้วยสีหน้าหดหู่ว่า “ท่านปู่ ฉู่หยวน ผู้ชายของซวงเอ๋อร์ตายในสนามรบแล้วขอรับ!”
เขาเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ เลือดที่เปื้อนบนตัวก็ไม่ต้องพูด บนตัวบาดเจ็บจนเลือดออกแล้วเช่นกัน ลูกศิษย์ของประมุขพุทธะ เวลาลงมือขึ้นมาก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน เคล็ดวิชาที่อีกฝ่ายฝึกมาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานเลย
ทุกคนสบตากันแวบหนึ่ง ขอเพียงเป็นคนที่มาจากพิภพเล็ก ก็จะรู้ว่าอวิ๋นจือชิวรักอวิ๋นรั่วซวงน้องสาวคนนี้มาก
อวิ๋นอ้าวเทียนเม้มริมฝีปากแน่นไม่พูดอะไร คนตายไปมากขนาดนั้น เขาเองไม่สะดวกจะทำให้ใครดูพิเศษกว่าคนอื่นต่อหน้าคนจำนวนมาก
กลับบอกให้คนอื่นรวมทั้งเหยียนซิวไปดู เหยียนซิวต้องรู้สถานการณ์เพื่อรายงานขึ้นไปเบื้องบน แม้จะไม่รู้ว่ามีคนรบตายไปแล้วเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไรน้องสาวของเหนียงเหนียงก็ไม่ใช่คนทั่วไป คงไม่ดีถ้าถามแล้วจะไม่รู้อะไรเลย และสำหรับคนอื่นๆ ตอนนี้ฐานะของอวิ๋นจือชิวก็ไม่ธรรมดาจริงๆ แค่พูดประโยคเดียวก็เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของคนมากมาย
หลงซิ่นยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ชัดเจนนะ แต่ดูจากท่าทางของคนกลุ่มนี้ ก็รู้ว่าคนที่รบตายไปคงจะไม่ธรรมดา ย่อมไม่ต้องพูดอะไรแล้ว แต่ก็ยังแอบถ่ายทอดเสียงถามเหยียนซิว พอได้ยินว่าเป็นน้องสาวที่อวิ๋นจือชิวรักที่สุด สีหน้าก็ขรึมเครียดทันที ในฐานะที่เป็นผู้ตรวจการขวาทัพอารักขา ย่อมรู้ถึงอิทธิพลที่อวิ๋นจือชิวมีต่อเหมียวอี้ จึงรีบบอกว่าจะไปดูด้วยกัน ไม่ใช่เพื่ออะไร แต่อย่างน้อยก็ต้องยืนยันตัวตนสักหน่อย
บนลานกว้าง สมาชิกจำนวนมากที่บาดเจ็บกำลังรักษาตัว บนพื้นไม่รู้ว่ามีคนนอนอยู่ตั้งเท่าไหร่ มีทั้งเจ็บหนักเจ็บเบา
ตอนที่ตามอวิ๋นเฟยหยางไปหาอวิ๋นรั่วซวง คนจำนวนไม่น้อยของตระกูลอวิ๋นก็มารวมตัวอยู่ที่นี่ ศพของฉู่หยวนนอนนิ่งสงบอยู่บนพื้น บนใบหน้าอวิ๋นรั่วซวงดูไม่ปวดใจและไม่ทุกข์ทน นางกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ข้างกายฉู่หยวน สายตาที่มองฉู่หยวนไม่ขยับไปไหน ดูเหม่อลอย กลับเป็นฉู่อวิ๋นอู๋ซวงที่หมอบร้องไห้เหมือนจะเป็นจะตายอยู่บนศพบิดา
อวิ๋นเซี่ย อวิ๋นเจวียน อวิ๋นเซียง บางคนก็ปลอบใจฉู่อวิ๋นอู๋ซวง บางคนก็อยู่เพื่อนอวิ๋นรั่วซวง อวิ๋นเซี่ยส่ายหน้าให้พวกอวิ๋นอ้าวเทียน บอกใบ้ว่าไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว สิ่งที่ควรพูดพวกนางก็ได้พูดไปหมดแล้ว
เหยียนซิวหันตัวออกมาจากกลุ่มคนเงียบๆ ขณะที่หันมองโดยรอบ สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่จุดหนึ่ง เห็นสหายเก่าในอดีตของเหมียวอี้แล้ว กู่ซานเจิ้งยืนค้ำกระบี่ สีหน้าด้านชาไร้อารมณ์!
ตรงหน้ากู่ซานเจิ้ง มีคนกลุ่มหนึ่งล้อมนั่งอยู่ หลังจากเหยียนซิวลองแยกแยะดู ก็เห็นว่ามีคนกำลังร้องไห้ เหมือนจะเป็นอูเมิ่งหลัน จึงเดินเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
พอสังเกตเห็นว่าเหยียนซิวมาแล้ว คนกลุ่มนี้ก็ทยอยกันยืนทำความเคารพ “นายท่าน!”
สายตาของเหยียนซิวไปหยุดอยู่ตรงอูเมิ่งหลันที่คุกเข่าไม่ยอมยืน เมื่อเห็นจ้าวเฟยที่ตายจากไปแล้ว แววตาก็วูบไหว แล้วก็เห็นศพผู้หญิงคนหนึ่งที่ไร้ศีรษะ เห็นถานเล่าที่นั่งเหม่อลอยอยู่ข้างๆ เหยียนซิวก็พอจะเดาออกแล้วว่าศพผู้หญิงที่ไร้ศีรษะคนนั้นคงจะเป็นเย่ซิน
เหยียนซิวมองหลายคนที่กำลังยืนอีกครั้ง กู่ซานเจิ้งยังมีสีหน้าเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด พอจะได้ยินความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างเย่ซิน ถานเล่าและกู่ซานเจิ้งมาบ้าง เพียงแต่เวลาผ่านไปนานมากแล้ว ถ้าไม่เห็นตัวก็คงจะไม่นึกถึง
สายตาไปหยุดอยู่บนตัวซือคงอู๋เว่ยกับเถาชิงหลีอีก สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่บนตัวหลัวผิงกับเหวินฟาง เหวินฟางใบหน้าขาวซีด แขนหายไปข้างหนึ่งแล้ว มีหลัวผิงคอยประคอง เหยียนซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย นึกถึงอีกสถานะที่คล้ายจะจริงแต่ก็ไม่จริงของเหวินฟาง เหวินฟางพูดหยอกล้อว่าให้เหมียวอี้เป็นพี่ชายของนาง
เมื่อเห็นคนพวกนี้รวมตัวอยู่ด้วยกัน คาดว่าคงไปมาหาสู่กันที่แดนอเวจี เหยียนซิวจินตนาการได้เลย ว่าคนพวกนี้มารวมตัวกันอยู่ได้คงเป็นเพราะเหมียวอี้ เพียงแต่เหมียวอี้มีงานสำคัญรัดตัว ต่อสู้กับกลุ่มวีรบุรุษอยู่ท่ามกลางความเป็นความตายมาตลอด ไม่ได้เจอหน้าคนพวกนี้มานานแล้ว ยามปกติก็ยากมากที่จะนึกถึงคนพวกนี้ กอปรกับเหมียวอี้ปิดบังตัวตนมาเป็นเวลานาน คนที่มาจากพิภพเล็กแล้วสามารถอยู่ข้างกายเหมียวอี้ได้มีไม่เยอะ ถ้าพูดจากบางมุม เหมียวอี้ก็ไม่อยากทำให้คนพวกนี้ลำบากไปด้วยเช่นกัน หรือไม่ก็ไม่อยากให้คนนอกหาโอกาสเจาะช่องโหว่ลงมือ คนจากทะเลดาวนักษัตรที่ประมุขถิ่นสี่ทิศพามาด้วยในปีนั้นส่วนใหญ่ถูกปิดปากไปหมดแล้ว
และคนพวกนี้ก็คงไม่รู้ฐานะของเหมียวอี้ที่ตำหนักสวรรค์ ต่อให้ไปสืบมา เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับส่วนรวม คนที่รู้ความจริงก็อาจจะไม่บอกพวกเขา เพียงแต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เหยียนซิวรู้ นั่นก็คือเหมียวอี้ให้หยางชิ่งดูแลคนพวกนี้ ยกตัวอย่างเช่นให้ทรัพยากรฝึกตน
เมื่อเห็นคนพวกนี้บาดเจ็บล้มตาย ในใจเหยียนซิวก็รู้สึกปลงอนิจจังอยู่บ้าง จึงตัดสินใจจะทำอะไรบางอย่างเพื่อคนพวกนี้ ตอนหลังที่รายงานเรื่องของอวิ๋นรั่วซวง จึงถือโอกาสบอกเรื่องของคนพวกนี้ให้เหมียวอี้รู้ด้วย ส่วนเหมียวอี้จะพบหรือไม่พบก็เป็นเรื่องของเหมียวอี้แล้ว เขาเองก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจ แต่เขาเดาว่าตอนนี้เหมียวอี้ไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตนแล้ว น่าจะมาเจอกันได้ สิ่งที่เขาช่วยได้ก็มีเพียงเท่านี้
“เดี๋ยวข้าจะรายงานเรื่องนี้ให้ราชาปราชญ์รู้!” เหยียนซิวเสียงที่แหบพร่าเยียบเย็น พูดจบก็หันตัวเดินออกไป ไม่ได้เอ่ยถึงว่าราชาปราชญ์ก็คืออ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ และเป็นหนิวโหย่วเต๋อที่กำลังสู้กับประมุขชิงกับประมุขพุทธะอยู่ตอนนี้ ทางฝั่งแดนอเวจีถูกปิดข่าวมาตลอด เขาไม่รู้ว่าพวกเขารู้แล้วหรือเปล่า เรื่องที่เขาไม่ควรตัดสินใจ เขาก็พูดน้อยมาก อย่างไรเสียสงครามก็ยังไม่จบ ยังไม่รู้เลยว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร และเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องรับประกันอะไรด้วย
หลายคนมองคล้อยหลังเขาจากไป ต่างก็รู้ว่าตอนนี้ฐานะของตัวเองกับเหยียนซิวแตกต่างกันมาก แค่ดูว่าคนที่ไปมาหาสู่กับเหยียนซิวมีใครบ้างก็รู้แล้ว พวกนั้นมีท่าทีสุภาพเกรงใจกับเหยียนซิว ตอนนี้แม้แต่เหวินฟางเองก็ยังรู้สึกอายที่จะเอ่ยถึงเรื่องพี่ใหญ่อะไรอีก
ส่วนซือคงอู๋เว่ยก็ยิ่งหดหู่อยู่ในใจ ในปีนั้นเป็นเพราะเขากับเถาชิงหลีอยู่ด้วยกัน ถึงได้ทำให้กลุ่มสามเขาที่แข็งแกร่งอย่างเขา จ้าวเฟยและเหมียวอี้แยกทางกันเดิน เป็นเขาที่ทรยศพวกเขา ทั้งยังทำให้เหมียวอี้แบกชื่อเสียงคนทรยศอีก เขารู้ว่าเรื่องนั้นทำให้ในใจของทั้งสามเกิดรอยแยกอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นอาศัยความสัมพันธ์ที่ทั้งสามร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ถ้ายังอยู่ด้วยกันตลอด เกรงว่าตอนนี้ทั้งสามคงจะได้อยู่กับทิวทัศน์อีกแบบหนึ่ง และจ้าวเฟยก็อาจจะไม่ได้มีจุดจบแบบนี้…
…………………………