พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2212 ทิ้งหรูอี้
ไม่มีคำพูดที่ฮึกเหิมกล้าได้กล้าเสีย ไม่มีคำสาบานอันเด็ดเดี่ยว ไม่มีคำอ้อนวอนอย่างหวาดกลัวของผู้หญิง แต่โพ่จวินกลับมองออกถึงความเด็ดเดี่ยวจากแววตาของจ้านหรูอี้ ความเด็ดเดี่ยวนี้เขาคุ้นเคยมาก เป็นสิ่งที่เห็นจากดวงตาของนักรบจำนวนไม่น้อย
อาศัยแค่จุดนี้ โพ่จวินก็เชื่อนางแล้ว เปลี่ยนวิธีคิดที่มีต่อนางมาตลอดเช่นกัน ไม่ได้เปลี่ยนท่าทีเพราะเลือดเนื้อเชื้อไขในท้องนางเหมือนก่อนหน้านี้ และไม่ได้เปลี่ยนคำเรียกเพราะต้องการสังหารนางเหมือนก่อนหน้านี้ เขาออกแรงกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยน้อมรับบัญชาเหนียงเหนียง!”
น้ำหนักที่อยู่ในคำพูดนี้กำลังแสดงออกว่าอนุญาตนางแล้ว
จ้านหรูอี้ไม่มีเหตุผลให้ดีใจ ไม่ได้พูดอะไร พลิกมือคว้าเกราะรบเอามาชุดหนึ่ง ทว่า…นางก้มมองท้องที่ยื่นของตัวเอง พบว่าวันที่ตัวเองเฝ้ารอมาถึงแล้ว แต่กลับพบว่าสวมเกราะรบไม่ได้แล้ว
ขณะมองลูกสาวตัวเองเก็บเกราะรบอย่างเงียบๆ อิ๋งลั่วหวนก็น้ำตาไหลพราก เอามือปิดปากร้องไห้ มารดารู้จักลูกสาวตัวเองดีที่สุด
ในปีก่อนๆ นางเห็นลูกสาวชอบแกว่งดาบไกวกระบี่ ชอบสวมเกราะรบ จึงมักจะด่านางว่าเด็กบ้า บอกว่าระวังในภายหลังจะไม่มีใครแต่งงานด้วย
ตอนนี้นางรู้แล้วว่าเหตุการณ์ตรงหน้านั้นยากจะหลีกพ้น ไม่ง่ายเลยกว่าลูกสาวจะรอจนถึงวันนี้ได้ บางทีอาจจะเป็นโอกาสเติมเต็มความปรารถนาครั้งสุดท้าย แต่กลับไม่มีทางทำให้สำเร็จอย่างสมบูรณ์ได้
มือข้างหนึ่งยื่นมาเช็ดน้ำตาบนหน้านาง อิ๋งลั่วหวนหันกลับมามอง เป็นจ้านผิงที่เช็ดน้ำตาให้นาง
จ้านผิงพยักหน้าเบาๆ ให้นาง จากนั้นนำเกราะรบออกมาสวม
อิ๋งลั่วหวนปาดน้ำตา หยิบเกราะรบออกมาสวมอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน จากนั้นก็แย่งทวนมาไว้ในมือ มายืนอยู่ฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของลูกสาว มาคอยพิทักษ์ข้างกาย
หยินซวง ไป๋เสวี่ยสบตากันแวบหนึ่ง ถึงแม้จะหวาดกลัว แต่ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้พวกนางไม่มีทางเลือก ต่อให้พวกนางจะยอมสวามิภักดิ์ แต่เกรงว่าทัพฝ่ายศัตรูจะไม่ชอบอยู่ดี ทำได้เพียงหยิบเกราะรบที่สวมใส่ไม่บ่อยออกมา แล้วแข็งใจสวมมันไว้
จ้านหรูอี้ที่สวมชุดชาววังถือดาบเฉียงอยู่ในมือ สายตามองผ่านสนามรบที่กำลังต่อสู้กันเสียงดังสนั่นหวั่นไหว มองผู้ชายที่ถูกพิทักษ์อยู่ในทัพกลางของฝ่ายศัตรู ไม่ได้เจอกันหลายปี คนก็ยังเป็นคนนั้น แต่ลักษณะท่าทางดูสูงส่งเหนือผู้อื่นแล้ว
อิ๋งลั่วหวนก็จ้องเหมียวอี้เช่นกัน นางแค้นจนกัดฟันกรอด ผู้ชายคนนี้เกือบจะกลายเป็นลูกเขยของนางแล้ว เสียแรงที่ตอนแรกนางกระตือรือร้นมาก ไปดูตัวด้วยตัวเอง ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายกลับมีส่วนร่วมในการโค่นล้มตระกูลอิ๋ง ตอนนี้ก็ยิ่งบีบให้นางตายทั้งครอบครัว เป็นหมาป่าทะเยอทะยาน มีปฏิธานครองใต้หล้า!
นางแค้นมาก แค้นที่ตอนแรกไม่ได้สังหารหมาป่าตัวนี้!
จ้านผิงก็จ้องเหมียวอี้เช่นกัน ตอนนี้เขาเหมือนจะเข้าใจว่าแล้วว่าทำไมตอนแรกตัวเองโน้มน้าวอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายไม่ยอมพาลูกสาวตัวเองจากไป ต่อให้จะชี้หน้าด่าอิ๋งจิ่วกวงด้วยอารมณ์ฮึกเหิม แต่สุดท้ายก็ยังอดทนไว้ เพราะเป็นคนของประมุขไป๋ คาดว่าตอนนั้นเขาก็คงทำตามใจตัวเองไม่ได้เช่นกัน
รอบข้างต่อสู้กันอย่างดุเดือด หลังจากโพ่จวินสังเกตการณ์ดูครอบครัวนี้ครู่หนึ่ง สายตาจ้องไปทางสนามรบ
ใช้เวลาไม่นาน ความเคลื่อนไหวใหญ่โตของฝั่งนี้ก็สะเทือนไปถึงสายลับที่อยู่ไกลๆ ให้ในดาราจะมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่เห็นสถานการณ์นี้ก็รายงานขึ้นไปทันที ไม่นานก็ทำให้ประมุขชิงส่งข่าวมาถาม
เดิมทีโพ่จวินอยากจะปิดบังไม่รายงาน แต่ก็แต่กลับไม่ได้นึกว่าเหตุการณ์นี้จะสะเทือนไปถึงประมุขชิงแล้ว จึงทำได้เพียงหยิบระฆังดาราออกมารายงานต่อประมุขชิง
เมื่อได้ยินสถานการณ์ ประมุขชิงก็ตกใจมาก รีบบอกว่า : โพ่จวิน ยืนหยัดไว้ ต้องยืนหยัดไว้ เจิ้นจะไปช่วยเดี๋ยวนี้!
โพ่จวิน : ฝ่าบาท! จังหวะการรุกโจมตีของหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้รุนแรง มีความเป็นไปได้สูงว่ากำลังล่อให้ฝ่าบาทมาช่วย ส่วนทัพใหญ่ที่เป็นกำลังหลักจริงๆ นั้นมุ่งเป้าไปที่ก่วงลิ่งกง ถ้าเป็นเช่นนี้ เจตนาของหนิวโหย่วเต๋อก็ชัดเจนมาก เขารู้ว่าถึงยังไงก็ปิดบังเจตนานี้ไม่ได้ เขากำลังเดิมพัน เดิมพันความรักที่ฝ่าบาทมีต่อเหนียงเหนียง อยากจะอาศัยสิ่งนี้ล่อทัพใหญ่ของฝ่าบาทให้มาที่นี่ เพื่อช่วงชิงเวลาให้ทัพใหญ่ที่เป็นกำลังหลักลงมือ ฝ่าบาทจะตกหลุมพรางไม่ได้เด็ดขาด ข้าน้อยขออำลา!
จากนั้นไม่ว่าประมุขชิงจะติดต่ออย่างไร โพ่จวินก็เด็ดเดี่ยวไม่ยอมตอบอีก กลับถ่ายทอดคำสั่งว่า เตรียมตัวรุกโจมตีฝ่าวงล้อม
เมื่อเห็นในกองทัพองครักษ์ตั้งกระบวนทัพ เหมียวอี้ก็พอจะเดาเจตนาของโพ่จวินออกแล้ว อดไม่ได้ที่จะด่าว่า “ตาแก่ทึ่ม!”
เขาหมั่นไส้โพ่จวินจนคันฟันแล้วจริงๆ ครั้งแรกที่วางอุบายที่เขาหลิงซานโจมตีอารามแปดทิศก็เพราะอยากจะล่อให้ชิงกับพุทธะมาช่วย จะได้ลงมือกับก่วงลิ่งกงได้สะดวก ผลปรากฏว่าโดนโพ่จวินทำแผนพัง ครั้งนี้มีกำลังพลมากมายขนาดนี้ล้อมอยู่ เขาคาดว่าขอเพียงตัวเองไม่เคลื่อนไหว อีกฝ่ายก็จะไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นกัน เขาอยากจะให้โอกาสอีกฝ่ายถ่วงเวลารอกองหนุน อยากจะให้โอกาสอีกฝ่ายเจรจา และอยากจะให้โอกาสประมุขชิงเจรจาเช่นกัน แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะออกคำสั่งรุกโจมตี ทำให้ตาแก่ทึ่มอย่างโพ่จวินออกคำสั่งรุกโจม แบบนี้ไม่ใช่ที่ตายหรอกหรือ?
โพ่จวินเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ รนหาที่ตายก็ว่าแย่แล้ว แต่กลับทำให้เรื่องดีๆ ของเขาพังอีกครั้ง จะไม่ให้เขาแค้นจนกัดฟันกรอดได้อย่างไร
ตอนนี้เขาไม่มีทางวางอุบายให้ชิงกับพุทธะเข้าใจผิดว่าทัพใหญ่ที่เป็นกำลังหลักอยู่ที่นี่แล้ว สาเหตุก็เรียบง่ายมาก เพราะถ้าโพ่จวินลงมือ จังหวะการโจมตีของเขาก็จะทำให้เจตนาถูกเปิดโปง แล้วตอนนี้เจ้าจะฆ่าหรือไม่ฆ่าล่ะ? ถ้าฆ่าคนพวกนี้ไปแล้ว ประมุขชิงก็ยิ่งไม่มีทางเจรจากับเจ้าอีก
ตอนนี้โพ่จวินก็ยิ่งยอมแลกทุกอย่างเพื่อรนหาที่ตาย บีบให้เจ้าฆ่าพวกเขา ทำให้เจ้าโมโหแต่ก็ระบายไม่ได้!
เถิงเฟยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “โพ่จวินอยากรนหาที่ตายชัดๆ! พวกเราทำอย่างนี้ชัดเจนเกินไป ชิงกับพุทธะจะมาช่วยเหรอ?”
หยางชิ่งบอกว่า “ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้ามีแค่ประมุขชิงคนเดียว เพื่อที่จะช่วยจ้านหรูอี้ ก็ยังเป็นไปได้ แต่ประเด็นคือประมุขพุทธะก็อยู่ฝั่งนั้นด้วย ประมุขพุทธะไม่ยอมให้ประมุขชิงทำอย่างนี้แน่นอน”
“คอยดูสถานการณ์อีกที ถ้าไม่มาช่วย ก็ฆ่า พยายามจับเป็นโพ่จวินกับจ้านหรูอี้” เหมียวอี้กล่าว
ทั้งสองเข้าใจเจตนาของเขา สาเหตุที่อยากจับเป็นสองคนนี้ อาจเป็นเพราะจะนำมาบีบบังคับประมุขชิง ไม่แน่ว่าอาจจะใช้ประโยชน์ได้
หลังจากในหัวครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เหมียวอี้ก็เรียกคนสองคนออกมาอีก เป็นผู้หญิงสองคนที่งดงามดุจเทพธิดา ชุดกระโปรงปลิวไสว
หยางชิ่งกับเถิงเฟยมองประเมินด้วยความงุนงง ไม่รู้ว่าสองคนที่เหมียวอี้เรียกออกมาเป็นใคร แต่ผู้หญิงสองคนนี้กลับมีสง่าราศีไม่ธรรมดา ทำให้คนรู้สึกว่าเลื่อนลอยอยู่เหนือโลกมนุษย์ ทั้งสองรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเฮยทั่นที่กลายร่างเป็นคนแล้วกำลังมองพวกเราสองคนตาปริบๆ
ทั้งสองไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเทพสตรีผู้พิทักษ์ของเผ่าหงส์ที่เหมียวอี้เชิญออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เพื่อศึกใหญ่ในครั้งนี้ ทรัพยากรอะไรที่ใช้งานได้ เหมียวอี้ก็เตรียมออกมาใช้หมดแล้วจริงๆ มองออกเลยว่าให้ความสำคัญขนาดไหน
คนที่อยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าเหมียวอี้แอบถ่ายทอดเสียงบอกอะไรกับผู้หญิงสองคนนี้ สุดท้ายก็เห็นเฮยทั่นกับผู้หญิงสองคนนี้ถอยออกจากขบวนรบ ถอยออกจากด้านหลังของขบวนรบหายไปยังดาราจักรอันเวิ้งว้าง
เมื่อมองดูสถานการณ์รบ เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา…
กำลังพลของชิงเยว่ที่เร่งเหาะอยู่ในจุดลึกของดาราจักรหยุดกะทันหัน หลังจากชิงเยว่กับหยางเจาชิงวางระฆังดาราและปรึกษากันแล้ว ก็รีบนำทัพใหญ่หนึ่งพันล้านกลับมาทางเดิมอย่าง…
“ตาแก่ทึ่ม!” ในรถมังกร ประมุขชิงโมโหจนกระทืบเท้า รีบติดต่อกับกำลังพลในหน่วยของโพ่จวิน ทว่าติดต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะถูกทัพฝ่ายศัตรูที่มีมากกว่าตัวเองหลายสิบเท่าล้อมไว้แล้ว อำนาจฝ่ายกระทำบนสนามรบอยู่ในมือของทัพฝ่ายศัตรู แล้วกำลังพลของพ่จวินจะทำอะไรได้?
เขาเรียกประมุขพุทธะมาทันที แล้วอธิบายสถานการณ์ให้ฟัง บอกว่าต้องการจะไปช่วย
“ต่อให้เป็นคนตาบอดก็มองออกว่าเป็นอุบายล่อข้าศึก ไปไม่ได้!” ประมุขพุทธะกล่าวด้วยใบหน้ามืดครึ้ม
“บางทีหนิวโหย่วเต๋อยิ่งปกปิดก็ยิ่งชัดเจน ไม่แน่ว่าทัพใหญ่ที่เป็นกำลังหลักอาจจะอยู่ข้างกายเขา” ประมุขชิงกล่าว
ประมุขพุทธะกล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้ารอง เจ้าสมองเลอะเลือนเพื่อผู้หญิงคนเดียวแล้ว ต่อให้เจ้าไป หนิวโหย่วเต๋อจงใจในขณะที่เจ้าไม่ระวัง รอจนเจ้าตามไปถึง ยังจะช่วยชีวิตทันอีกเหรอ? หนิวโหย่วเต๋อเล่นอุบายนี้ ฝั่งนั้นจะไม่รู้เชียวหรือว่าติดกับดักแล้ว ก็เหมือนที่โพ่จวินบอก จะให้หนิวโหย่วเต๋อจูงจมูกเดินได้ยังไง? มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็จะให้โอกาสหนิวโหย่วเต๋อแบ่งแยกกำลังและโจมตีอีกไม่ได้ ต้องรีบไปฝั่งก่วงลิ่งกงให้เร็วที่สุด รีบหาทางควบคุมก่วงลิ่งกงให้ได้!”
ประมุขชิงกล่าวด้วยใบหน้านิ่ง “ไม่เกี่ยวอะไรกับผู้หญิง โพ่จวินเป็นขุนนางคนสนิทคนสำคัญของข้า เห็นเขากำลังจะตายแล้วข้าจะไม่ช่วยได้ยังไง?”
ประมุขพุทธะขยับนับลูกประคำในมือถี่ขึ้น จ้องเขาพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “เจ้ายังมีหน้ามาพูด? ถ้าไม่ใช่พระเจ้ามองข้ามสถานการณ์ภาพรวมให้โพ่จวินไปส่งผู้หญิงคนนั้น โพ่จวินจะตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังเช่นนี้ได้ยังไง? กำลังพลนับสิบล้านจะต้องตายโดยหลุมศพเพราะอารมณ์ชั่ววูบของเจ้าเหรอ! อย่าว่าข้าขัดขวางเจ้า เจ้าลองถามพวกเขาดูสิ เจ้าลองถามกำลังพลใต้บังคับบัญชาของเจ้าดู ถามว่าพวกเขาอนุญาตให้เจ้าไปหรือเปล่า?” เขาชี้ไปที่พวกซ่างกวนชิงยืนอยู่ข้างๆ
ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนขมวดคิ้วไม่พูดอะไร ก็เท่ากับแสดงท่าทีแล้ว
หลังจากอู๋ฉวี่เงียบไปครู่หนึ่ง ก็กล่าวช้าๆ ว่า “ฝ่าบาท โพ่จวินตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะตาย! ด้วยนิสัยอย่างโพ่จวิน ฝ่าบาทก็ทราบดี เขาไม่มีทางให้โอกาสฝ่าบาทได้ช่วยเหนียงเหนียง ถ้าฝ่าบาทไม่ไป เหนียงเหนียงอาจยังมีโอกาสรอดชีวิต แต่ถ้าฝ่าบาทไป โพ่จวินต้องสังหารเหนียงเหนียงแน่!”
ประมุขชิงหลับตาลงช้าๆ พอนึกถึงสถานการณ์ของจ้านหรูอี้ตอนนี้ ก็รู้สึกราวกับหัวใจโดนมีดกรีด ไม่ใช่แค่เพราะจ้านหรูอี้เท่านั้น แต่หนิวโหย่วเต๋อสังหารลูกชายของเขาไปแล้วคนหนึ่ง ตอนนี้ก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาที่อยู่ในท้องจ้านหรูอี้อีก พอนึกถึงตรงนี้ ก็กำสองหมัดหมัดแน่ ทั้งตัวพลุ่งพล่านไปด้วยกลิ่นอายดุร้าย สุดท้ายก็ลืมตาที่เป็นร่องขีดเดียว แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ช้าเร็วเจิ้นจะสับร่างเจ้าพันดาบหมื่นดาบ!”
เขาตัดสินใจบางอย่างได้ยากลำบากมาก เจ็บปวดมาก…
สิ่งที่ตาทิพย์เห็นก็คือ กำลังพลของชิงกับพุทธะไม่มีท่าทีว่าจะเลี้ยวกลับมา เหมียวอี้รู้ว่าแผนที่ตัวเองเดิมพันพังแล้ว รู้ว่ามีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าประมุขชิงจะทิ้งโพ่จวินกับจ้านหรูอี้แล้ว จึงออกคำสั่งด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “โพ่จวิน จ้านหรูอี้ พยายามจับเป็น!”
เท่ากับออกคำสั่งให้พยายามจบศึกนี้โดยเร็ว แม่ทัพหลักจึงถ่ายทอดคำสั่งลงไป ทัพใหญ่ที่ล้อมโจมตีเผยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มากขึ้น ลําแสงนับไม่ถ้วนถล่มยิงโจมตีอย่างบ้าระห่ำ
โพ่จวินที่ถือดาบอยู่ในมือเห็นลูกน้องเริ่มล้มตายไปเป็นแถบๆ ดวงตาสองข้างก็แทบถลน เขารู้เช่นกันว่าตัวเองใกล้จะเดินมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
จ้านหรูอี้ที่ท้องใหญ่หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นสนามรบที่เข่นฆ่ากันดุเดือดโหดร้ายขนาดนี้ ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ นิ้วเรียวบีบทวนในมือแน่นซ้ำไปซ้ำมา…
ทว่าเหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหยียนซิวอีก
ให้เว่ยซูสั่งให้ตระกูลเซี่ยโห้วเตรียมให้สายลับของหน่วยตรวจการซ้ายรายงานข่าวลับต่อซือหม่าเวิ่นเทียน ชี้กระบี่ไปที่ซ่างกวนชิง
ให้เว่ยซูบอกตระกูลเซี่ยโห้ว ว่าถ้าตะลุมบอนกันเมื่อไหร่ ก็ให้ฉวยโอกาสติดต่อสายลับที่อยู่ในกองทัพองครักษ์ให้ก่อกวนทันที ควบคุมชิงกับพุทธะทัพใหญ่ไม่ให้เดินหน้าได้
ให้เว่ยซูแจ้งตระกูลเซี่ยโห้ว สั่งให้สายลับที่แทรกไว้ใต้บังคับบัญชาก่วงลิ่งกงรายงานความผิดของลั่วหม่างให้ก่วงลิ่งกงรู้
หลังจากเตรียมการอย่างต่อเนื่องแล้ว เหมียวอี้ก็ติดต่อไปหาลั่วหม่างโดยตรง ถามว่า : พิจารณาไปถึงไหนแล้ว?
ลั่วหม่าง : อ๋องสวรรค์หนิว ข้าพิจารณายังไงท่านก็น่าจะรู้ ทำไมต้องถามมาก รอจนเจ้าทำได้แล้ว ทางข้าก็ย่อมคุยง่าย
ถึงแม้เหมียวอี้จะประกาศตนเป็นราชัน แต่ตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนคำเรียก และเหมียวอี้ก็ติดต่อเขาไว้นานแล้วเช่นกัน ว่าให้เขานำกำลังพลก่อกบฏ ช่วยจัดการก่วงลิ่งกงในรวดเดียว ทว่าสำหรับลั่วหม่างแล้ว ความสนิทสนมก็ส่วนความสนิทสนม แต่ต้องดูว่าเป็นเรื่องอะไร มีหรือที่พอเหมียวอี้พูดแค่คำเดียว แล้วเขาก็นำกำลังพลไปล้มโต๊ะก่วงลิ่งกงแล้ว? เขาต้องพิจารณาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ทั้งยังมีผลประโยชน์ของพี่น้องใต้บังคับบัญชาด้วย ชีวิตและความปลอดภัยในครอบครัวของกำลังพลมากมายขนาดนั้นล้วนฝากความหวังไว้ที่เขา เขาจะทำซี้ซั้วโดยไร้ขอบเขตได้อย่างไร?
แน่นอน เขาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธเหมียวอี้เช่นกัน เงื่อนไขก็คือฝั่งเหมียวอี้ต้องก้าวนำไปได้ในระดับหนึ่งก่อน ต้องสามารถดึงกำลังพลของชิงกับพุทธะแยกออกไปได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาที่อยู่ระหว่างกลางก็จะกลายเป็นหนังหน้าไฟที่เผชิญหน้ากับการโจมตีจากกำลังพลของชิง พุทธะและก่วงลิ่งกง ตอนที่ยังไม่เห็นโอกาสชนะของเหมียวอี้ เขาจะเสี่ยงอันตรายไปเข้าข้างฝั่งเหมียวอี้โดยสิ้นเชิง ไปเดิมพันกับเหมียวอี้ได้อย่างไร?
…………………………