พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2217 การสนับสนุนที่เข้มแข็ง
ในดาราจักรอันกว้างใหญ่ อาจารย์และศิษย์พูดคุยกันยืดยาว
เงาคนคนหนึ่งถลันเขามายืนบนแทนในรถมังกร เป็นอวี้หลัวช่านั่นเอง
อวี้หลัวช่าไม่ได้มีท่าทีเปี่ยมเมตตาเหมือนพุทธะจิ้งฮวา นางมีท่าทางสวยเยือกเย็นอยู่ตลอด นางชี้ผู่หลันพร้อมบอกว่า “มีเรื่องต้องสืบจากศิษย์ของเจ้า ขอคุยเป็นการส่วนตัวสักหน่อย”
พุทธะจิ้งฮวาไม่ได้ปฏิเสธ เพียงหันกลับไปมองผู่หลันแวบหนึ่ง เหมือนกำลังสื่อว่าให้ดูท่าทีของผู่หลัน
ผู่หลันประนมมือก้าวมาข้างหน้า แต่กลับเห็นอวี้หลัวช่าถลันตัวลอยออกไป นางจึงทำได้เพียงเหาะตามไป
พุทธะจิ้งฮวารออย่างเงียบๆ อยากจะรอให้ศิษย์กลับมาแล้วถามว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ท่วายังไม่ทันรอให้ศิษย์กลับมา สายตาที่มองไปทางดาราจักรตรงหน้ากลับเพ่งค้างอยู่อย่างนั้น เห็นไกลๆ ว่ามีกำลังพลกลุ่มใหญ่ปรากฏตัวขึ้น กำลังพุ่งมาทางนี้
รอบๆ รถมังกรสองคันปล่อยกำลังพลกลุ่มใหญ่ออกมาคุ้มกันทันที กองหน้ารีบเตรียมตัวรับมือข้าศึก
ชิงและพุทธะรีบออกจากรถมังกรมายืนบนแท่น มองออกคร่าวๆ ว่าฝ่ายศัตรูมีกำลังพลหนึ่งพันล้าน มองออกเช่นกันว่าบัญชาการหลักที่อยู่ในทัพกลางฝ่ายศัตรูคือเหยียนซู่
รอบข้างไม่มีกำลังพลอื่นใดอีก ประมุขพุทธะบอกว่า “ปะทะกับพวกเราซึ่งๆ หน้าไม่จำเป็นต้องเก็บซ่อนกำลังพลอีก คนน้อยนิดเท่านี้ก็คิดจะขัดขวางถ่วงเวลาพวกเราแล้ว ดูท่าหนิวโหย่วเต๋อคงตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะลงมือกับก่วงลิ่งกงให้ได้!”
“ฆ่า!” ประมุขชิงออกคำสั่งด้วยเสียงทุ้มต่ำ
กำลังพลกองหน้าของทั้งสองฝ่ายเปิดฉากโจมตีโดยตรง ต่างฝ่ายต่างยิงธนูใส่กัน ลำแสงราวกับฝน
ทว่าจู่ๆ ชิงและพุทธะกลับพบความชุลมุนวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง มีคนตะโกนว่า “หนีไปแล้ว!”
ชิงและพุทธะก็สังเกตได้เช่นกันว่าจำนวนคนฝั่งตัวเองผิดปกตินิดหน่อย จึงมองไปทางกลุ่มคนที่มีเสียงดังโวยวาย พอจะมองเบาะแสบางอย่างออกแล้ว วากำลังพลฝ่ายตัวเองไม่ได้ถูกปล่อยออกมาทั้งหมด มีแม่ทัพกองทัพองครักษ์หลายสิบคนที่ไม่ได้ปล่อยกำลังพลออกมา แต่กลับอาศัยจังหวะตอนวุ่นวายรีบหนีไปในดาราจักรที่อยู่ฝั่งซ้ายและขวา ทำเอาฝั่งนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อรู้ตัวแล้วว่าเป็นคนทรยศหลบหนี ก็เกิดความชุลมุนอยู่พักหนึ่งทันที
ไม่ใช่แค่กองทัพองครักษ์เท่านั้น สถานการณ์ฝั่งแดนพุทธเลวร้ายยิ่งกว่า ศิษย์ชาวพุทธกลุ่มหนึ่งไม่เพียงแค่ไม่ปล่อยกำลังพลออกมา แต่กลับฉวยโอกาสตอนวุ่นวายหนีไปอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญก็คือในจำนวนนั้นมีบุคคลตำแหน่งสูงอยู่ด้วย
ประมุขพุทธะที่นิ่งสงบมาตลอดกระตุกมุมปากอย่างแรง ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์จ้องเงาหลังคนคนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่หนีไป อวี้หลัวช่า? พุทธะหน้าหยกลูกน้องตัวเอง?
เขาแทบจะไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเองเลย แม้จะเป็นประมุขพุทธะ แต่ก็สองตาลุกเป็นไฟและสบถคำหยาบเช่นกัน “นางตัวแสบ!”
อวี้หลัวช่าหนีไปแล้วจริงๆ ไม่ใช่เพียงหนีไป ทั้งยังพาศิษย์ผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งของตัวเองไปด้วย ในมือยังคว้าแขนคนคนหนึ่งที่มีสีหน้ากังวลแต่กลับกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ผู่หลัน!
อวี้หลัวช่าก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน เป็นเหมียวอี้ที่ติดต่อนางมากะทันหัน บอกว่าตอนที่นางหนีให้คิดหาทางพาผู่หลันไปด้วยกัน อย่างน้อยก็คิดหาทางแยกผู่หลันออกมาให้ได้ อย่าให้ผู่หลันเข้าไปอยู่ท่ามกลางการเข่นฆ่าในสนามนี้
อวี้หลัวช่าจึงบอกเขาว่า ถ้าไม่สำคัญ ก็ปล่อยผ่านไปเถอะ ในเวลานี้ไม่ควนให้มีปัญหาอื่นมาแทรก จะเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ง่าย
ที่พูดแบบนั้นเพราะอยากจะถามเหมียวอี้ว่ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับผู่หลันกันแน่ คุ้มที่จะให้เกิดความเสี่ยงอะไรในเวลาอย่างนี้หรือเปล่า
ทว่าเหมียวอี้กลับเหมือนกินยาผิดมา ดึงดันมาก ไม่ยอมอธิบาย บอกเพียงว่าต้องช่วยออกมา อีกทั้งในคำพูดเหมือนจะแสดงความเดือดดาลเล็กน้อยด้วย
ตอนหลังก็เหมือนตระหนักได้ว่าเรื่องนี้กำลังทำให้อวี้หลัวช่าเสี่ยงอันตราย จึงตอบนางไปว่า ในอดีตเคยช่วยชีวิตผู่หลันไว้ ไม่จำเป็นต้องทำให้นางตายตอนนี้จนทิ้งความรู้สึกผิดไว้ให้ตัวเอง ให้อวี้หลัวช่าตัดสินใจเองตามสถานการณ์ แต่ถ้าเสี่ยงมากจริงๆ ก็ปล่อยผ่านไป
ในขณะที่สื่อสารกัน อวี้หลัวช่าก็รู้สึกได้ว่าเหมียวอี้แปลกไปนิดหน่อย จะให้เสี่ยงอันตรายช่วยคนที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกันเพียงเพราะไม่อยากรู้สึกผิดทีหลังอย่างนั้นหรือ? ล้อเล่นอะไรกัน? นี่มันเวลาไหนแล้ว? จะให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดไม่ได้ ถ้าเกิดความผิดพลาดนิดเดียวก็อาจจะมีคนตายเยอะมาก นางอยากจะถามเหมียวอี้มากว่า คนที่ตายและกำลังจะตายในศึกนี้ มีกี่คนที่เหมียวอี้รู้จัก จะต้องช่วยเหลือทั้งหมดเลยหรือเปล่า?
แต่นางก็ไม่ได้เถียงกับเหมียวอี้ เพียงบอกว่าจะลองดู ผลปรากฏว่าราบรื่น สามารถพาผู่หลันหนีไปได้อย่างราบรื่น
อวี้หลัวช่าหันกลับมามองข้างหลังตัวเองแวบหนึ่ง ไม่ได้มีแค่ศิษย์ของตัวเองที่หนีตามมาด้วย ยังมีลูกศิษย์ชาวพุทธอีกจำนวนไม่น้อยที่ทั้งสนิทมากและสนิทน้อยหนีมาฝั่งนี้ด้วยเช่นกัน ตอนแรกยังนึกว่าตัวเองถูกเปิดโปงแล้วจะถูกไล่สังหาร ผลก็คือพบความผิดปกติ พบว่าอีกฝ่ายก็หนีเช่นกัน
สิ่งนี้ทำให้นางแอบตกใจ นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะแทรกซึมเข้ามาในสำนักพุทธอย่างร้ายกาจขนาดนี้? บรรดาคนที่หนีมาล้วนไม่ใช่พวกที่ไร้ชื่อไร้นาม อาศัยแค่เป็นคนที่นางรู้จักก็รู้แล้วว่าอยู่ระดับไหน
ตัวนางเองพากำลังพลไปด้วยเกือบสองร้อยล้าน ไม่รู้ว่าคนพวกนี้พาไปด้วยอีกเท่าไหร่
ชิงและพุทธะล้วนเผยสีหน้าดุร้าย เรียกได้ว่าได้แต่มองคนที่หนีไปตาปริบๆ แต่กลับไม่ได้ไล่ตาม ไม่ใช่ว่าไม่อยากไล่ตาม พวกเขาอยากจะบดกระดูกคนทรยศที่หนีไปให้แหลกเป็นขี้เถ้า แต่ไม่กล้าตามไป เพราะกองหน้าของทัพใหญ่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดแล้ว ไม่กล้าแบ่งกำลังทหารเป็นสองกลุ่มเพื่อตามไป หนึ่งเป็นเพราะกังวลว่าจะกระจายกำลังหลัก สองเป็นเพราะกังวลว่าจะติดกับดักที่หนิวโหย่วเต๋อวางไว้ การทำศึกใหญ่ที่ต่อเนื่องนี้ แม้จะไม่ได้ปะทะกับหนิวโหย่วเต๋อซึ่งๆ หน้า แต่วิธีการระดมพลและผลงานการรบตลอดทางของหนิวโหย่วเต๋อก็เพียงพอที่จะทำให้คนหวาดหวั่น
เสียงระเบิดดังตูมตามจากการรบอันดุเดือดดังสะท้านอยู่ในดาราจักร
เหยียนซู่ จอมพลสายเถาะที่นั่งบัญชาการอยู่ทัพกลางมีสีหน้าตึงเครียด ก่อนหน้านี้เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าคนที่ได้ประจันหน้ากับชิงและพุทธะจะเป็นเขา
เขากดดันกว่าใครทั้งนั้น เหมียวอี้บอกกับเขาเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า ให้เขานำทัพใหญ่พันล้านไปถ่วงเวลากำลังพลสองพันห้าร้อยล้านของชิงและพุทธะไว้
ตอนนี้เพิ่งได้รับคำสั่งมา เขานึกว่าเหมียวอี้กำลังรอเล่น ใช้กำลังพลหนึ่งพันล้านแต่คิดจะถ่วงเวลาทัพใหญ่เกรียงไกรสองพันห้าร้อยล้านของชิงและพุทธะอย่างนั้นเหรอ? อย่าว่าแต่สองพันห้าร้อยล้านเลย จะสู้กับกองทัพองครักษ์ห้าร้อยล้านของประมุขชิงได้หรือเปล่าก็ยังเป็นปัญหา! แน่นอน เหมียวอี้อาจจะไม่ได้สั่งให้เขาคว้าชัยชนะ เพียงแค่ให้เขาพยายามถ่วงไว้อย่างสุดกำลัง ถ่วงเวลาให้ทัพใหญ่ของชิงเยว่จัดการกำลังพลของก่วงลิ่งกงให้ได้มากที่สุด
ในตอนแรก เขาก็แทบจะนึกว่าเหมียวอี้อยากจะฉวยโอกาสนี้กำจัดเขา นึกว่าจะกวาดล้าง เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นลูกน้องเก่าของฮ่าวเต่อฟาง แต่พอลองคิดดูใหม่ก็เข้าใจแล้ว ว่าเป็นเพราะเหมียวอี้เชื่อใจเขา ถึงได้มอบภารกิจที่ยิ่งใหญ่และยากลำบากเช่นนี้ให้เขา ศึกนี้ของเขาเกี่ยวโยงถึงผลแพ้ชนะของศึกทั้งหมดได้ เป็นการนำเขามาเดิมพันครั้งใหญ่จริงๆ เหมียวอี้จะนำเรื่องใหญ่ขนาดนี้มาล้อเล่นเพื่อกวาดล้างเขาได้อย่างไร
หลังจากเข้าใจจุดนี้แล้ว เขาก็ไม่นึกถึงตัวเองอีก แต่ปาดเหงื่อแทนเหมียวอี้ ช่างกล้าจริงๆ!
ถ้าศึกนี้เขาสามารถบรรลุเป้าหมายการรบที่เหมียวอี้กำหนดได้ ก็จะได้สร้างผลงานใหญ่มาก จะได้เป็นอ๋องก็ถือว่าไม่เกินไป!
แม้เงาของฮ่าวเต๋อฟางจะยังอยู่ในใจเขา แต่ถึงอย่างไรก็ผ่านมาหลายปีมากแล้ว เขาได้เดินบนเส้นทางของตัวเองแล้ว ไม่อยากทรยศความเชื่อใจของเหมียวอี้ด้วย แต่ภารกิจตรงหน้ามีโอกาสสำเร็จน้อยมาก ดีไม่ดีตัวเองอาจจะต้องเอาชีวิตทิ้งไว้ที่นี่ด้วย
ถึงแม้เหมียวอี้จะบอกแล้วว่ามีแผนการสำรอง จะให้การสนับสนุนที่เป็นประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ แก่เขา แต่ชิงและพุทธะเป็นใครกันล่ะ? ถ้าพูดถึงความองอาจห้าวหาญส่วนตัว ก็ล้วนเป็นบุคคลที่สามารถเด็ดหัวแม่ทัพอยู่ท่ามกลางทัพนับหมื่นล้านได้ แม่ทัพหลักยังเขาตกอยู่ในอันตรายมาก
ฝ่าบาทเหมือนจะคำนึงถึงจุดนี้แล้ว บอกว่าส่งยอดมีฝีมือระดับสูงสุดสองคนมาปกป้องเขาด้วย
เหยียนซู่เอียงหน้ามองผู้หญิงสง่าราศีไม่ธรรมดาสองคนที่ยืนอยู่ข้างเฮยทั่น เขานั้นรู้จักเฮยทั่น รู้ว่าเป็นคนที่ราชินีสวรรค์อวิ๋นจือชิวดูแลอย่างดีที่สุด ส่วนผู้หญิงสองคนนี้ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์จากที่ไหน ไม่รู้ที่มาที่ไป และไม่เคยเห็นด้วย จะต้านชิงและพุทธะไหวเหรอ?
แต่มองออกอย่างชัดเจนเลยว่าเฮยทั่นมีท่าทางประจบสอพลอผู้หญิงสองคนนี้มาก
ส่วนการสนับสนุนอื่นๆ ที่ฝ่าบาทพูดถึง ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าคืออะไร
“ท่านจอมพล เหมือนฝ่ายศัตรูจะเกิดความวุ่นวายภายในอะไรสักอย่าง!” ผู้ช่วยผู้บัญชาการที่อยู่ข้างๆ ชี้ไปทางค่ายทัพฝ่ายศัตรู
เหยียนซู่มองตาม พบว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ เหมือนจะเห็นว่ามีคนหนีไปก่อนทำศึก จึงรีบบอกว่า “คำนวณกำลังพลฝ่ายศัตรูสักหน่อย” สมาธิของเขาต้องอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์รบ
มีคนจํานวนหนึ่งมองไปทางนั้นเพื่อสืบเรื่องนี้โดยเฉพาะทันที หลังจากหลายคนประชุมกันและยืนยันผลลัพธ์แล้ว ก็กลับมารายงานว่า “ท่านจอมพล ฝ่ายศัตรูเหมือนจะมีแค่กำลังพลสองพันล้าน”
เหยียนซู่เกิดความคิดบางอย่างในใจ เหมือนจะมีกำลังพลน้อยลงแล้วสี่ห้าล้าน อย่าบอกนะว่านี่คือหนึ่งในการสนับสนุนที่มีประโยชน์ที่ฝ่าบาทบอก?
คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นอย่างนี้ ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ จะเกิดเหตุไม่คาดคิดโดยไร้เหตุผลได้อย่างไร เหตุการณ์ไม่คาดคิดที่ใหญ่โตขนาดนี้ จะต้องมีคนผลักดันอยู่เบื้องหลังแน่นอน คนที่ผลักดันจะต้องเป็นอำนาจของฝ่ายตรงข้าม แบบนี้แสดงว่าเกี่ยวข้องกับฝ่าบาทแน่นอน
มีกำลังพลลดลงไปเยอะขนาดนี้ แม้จะเป็นวิธีการที่ลดความกดดันได้ แต่เมื่อเทียบกับจำนวนทัพฝ่ายศัตรู และพลังรบของทัพฝ่ายศัตรู ความกดดันก็ไม่ได้ลดลงเยอะเท่าไหร่
ชิงและพุทธะที่ยืนเคียงกันบนรถมังกรก็ได้รับรายงานจำนวนกำลังพลที่สูญเสียไปแล้วเช่นกัน กองทัพองครักษ์มีกำลังพลหนึ่งร้อยล้านกว่าถูกพาไปด้วยอย่างเลอะเลือน ฝั่งประมุขพุทธะก็ยิ่งร้ายแรงกว่า กำลังพลที่กระจัดกระจายไปก็มีประมาณร้อยล้านกว่าเช่นกัน อวี้หลัวช่าก็ยิ่งพาไปด้วยเกือบสองร้อยล้าน
เมื่อนับจำนวนรวมกันแล้ว ก็เท่ากับเสียกำลังพลไปรวดเดียวเกือบห้าร้อยล้าน
ผลที่ตามมาหลังจากอวี้หลัวช่าทรยศก็ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ กองทัพพระพันห้าร้อยล้านที่รวมตัวในเขตตำหนักสวรรค์ ไม่ว่าจะถูกถ่วงให้ล่าช้าไปด้วยหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็เลิกหวังกับกองทัพพระใต้บังคับบัญชาของอวี้หลัวช่าไปได้เลย เสียหายอีกเกือบสองร้อยล้านแล้ว นี่ไม่ใช่แค่ความเสียหายอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าขาดการเสริมชดเชยของฝั่งนี้ไป เมื่อไปถึงฝ่ายตรงข้ามแล้ว ก็จะมีผลทำให้การเพิ่มลดจำนวนคนของสองฝ่ายสวนทางกัน ไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่นอน
“ตระกูลเซี่ยโห้ว!” ประมุขชิงกล่าวคำนี้ออกมาอย่างเยียบเย็นดุร้าย ไม่ต้องเดาเขาก็รู้เรื่องนี้ไม่พ้นเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้ว
ประมุขพุทธะที่กำลังจ้องสถานการณ์รบกล่าวเสียงต่ำว่า “เป็นการถ่วงเวลาแน่นอน เป้าหมายหลักของหนิวโหย่วเต๋อก็คือก่วงลิ่งกง เสียเวลาต่อไปไม่ได้แล้ว!”
ประมุขชิงกล่าวเสียงต่ำเช่นกัน “อย่าพัวพัน มังกรและหงส์ออกโจมตี พุ่งฝ่าไปในรถเดียว!”
ตามคำสั่งนี้ มังกรและหงส์นับพันตัวที่ติดตามทัพใหญ่มาก็ส่งเสียงร้องพร้อมกัน เสียงที่อันตรายดังก้อง มังกรและหงส์ที่บินวนเวียนเริ่มบินมารวมตัวกัน จัดกระบวนทัพเตรียมพุ่งชนอย่างรวดเร็ว!
กองทัพองครักษ์และกองทัพพระจำนวนมากเริ่มจัดกระบวนทัพ เตรียมจะตามหลังมังกรและหงส์เพื่ออาศัยการคุ้มกันนี้พุ่งโจมตี
เหยียนซู่ที่บัญชาการอยู่ในทัพกลางเกิดความเครียดอย่างสูงทันที เอามังกรมีหนังหนาทนทาน มีพลังต้านทานอันแข็งแกร่งโดยธรรมชาติที่ไม่ธรรมดา ถ้ารวมตัวกันพุ่งชน ต่อให้ฝั่งนี้ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงรวมกันก็อาจจะต้านไม่ไหวก็ได้
ในขณะนี้เอง บนตัวของเฮยทั่นและเทพสตรีผู้พิทักษ์ทั้งสองก็กระพริบแสงวิบวับพร้อมกัน พุ่งขึ้นมาด้วยกัน ชั่วพริบตาเดียวก็กลายร่างเป็นมังกรดำและหงส์รุ้งสองตัว เป็นหงส์รุ้งที่สวยแพรวพราวที่สุด เผ่าหงส์สีรุ้งในค่ายทัพฝ่ายตรงข้ามเทียบไม่ติด
เฮยทั่นที่โบยบินอย่างดุร้ายน่ากลัวเงยหน้าคำราม หงส์สองตัวที่บินวนไขว้กันกันก็เปล่งเสียงร้องดังกังวาน ลากเสียงยาวและล้ำลึก
พวกชิงและพุทธะรีบจ้องไปตรงนั้น ไม่รู้ว่าฝั่งเหมียวอี้ไปหามังกรและหงส์มากจากไหน อีกทั้งมังกรและหงส์ของอีกฝ่ายก็เหมือนจะแตกต่างจากมังกรและหงส์ปกติเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่นสีรุ้งบนขนของหงส์สองตัวนี้ ดูแพรวพราวสะดุดตากว่า พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
ชั่วพริบตาที่มังกรและหงส์ในค่ายทัพฝ่ายตรงข้ามปรากฏตัว จู่ๆ มังกรและหงส์ที่รวมตัวกันอยู่ฝั่งนี้ก็เปลี่ยนไปมาก เหมือนพวกมันกำลังรวมตัวกันคล้อยตามเสียงคำรามและเสียงร้องของมังกรและหงส์ในค่ายทัพฝ่ายตรงข้าม
แกร๊ง! มังกรยักษ์ที่ลากรถมังกรพลันสะบัดหางฟาดเข้ามา ทำให้ถมังกรสองคันนี้แตกกระจาย
ทุกคนในรถมังกรรวมทั้งชิงและพุทธะรีบถลันตัวหลบด้วยความตกใจ หนีออกจากรถมังกรที่แหลกกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้ว