พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2223 เคราะห์กรรมทางโลก
พระปีศาจหนานโปเหมือนจะสังเกตได้ถึงอะไรบางอย่าง หันช้าๆ กลับไปมอฝ ในดวงตาฉายแววหยอกเย้า กล่าวอย่างเย็นชาว่า “สองสตรีแห่งเผ่าหงส์ นึกไม่ถึงว่าจะยังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังเปลี่ยนเป็นอ่อนเยาว์แล้ว! ครั้งนี้คนมากันครบจริงๆ ก็ได้ จัดการรอบเดียวจะได้ไม่ยุ่งยาก ครั้งนี้ข้าจะไม่สังหารพวกเจ้า เก็บพวกเจ้าสองคนไว้เป็นสัตว์พาหนะของข้า! อิ๋งเยว่!”
“ค่ะอาจารย์” อิ๋งเยว่ขานรับ
“อาจารย์มีของขวัญชิ้นหนึ่งจะมอบให้เจ้า!” พระปีศาจหนานโปชี้ไปทางทัพใหญ่ที่กำลังคุมเชิงกัน แล้วถามอย่างทะนงองอาจว่า “มอบสิ่งที่เรียกว่าใต้หล้าเป็นของขวัญให้เจ้า เป็นอย่างไร?”
กำลังพลเก่าสายตระกูลอิ๋งได้ยินแล้วฮึกเหิมทันที
“ศิษย์ไม่สนใจใต้หล้า แค่อยากล้างความอัปยศให้ตระกูลอิ๋ง!” อิ๋งเยว่กล่าวอย่างเคียดแค้น
เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อแอบร้องในใจ ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะกลายเป็นศิษย์ของพระปีศาจหนานโปแล้ว ไม่ได้เข้าใจผิดใช่มั้ย?
“ให้เจ้า เจ้าต้องรับไว้!” พระปีศาจหนานโปกล่าวเสียงเรียบ ราวกับว่าถ้าต้องการใต้หล้านี้ก็ง่ายเหมือนหยิบของจากกระเป๋า สายตาลึกล้ำกวาดมองกลุ่มคน แล้วบอกว่า “ใครเชื่อฟังข้าก็เจริญ ใครต่อต้านข้า ตาย! ให้โอกาสพวกเจ้าครั้งเดียว คนที่ยอมสวามิภักดิ์มาอยู่ทางฝั่งข้า”
ทุกคนเงียบงัน ในทัพใหญ่ของทั้งสองฝั่งมีคนไม่น้อยมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึงทั้งนั้นว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น
บนตึกเรือ ประมุขไป๋เอียงหน้าเล็กน้อยถามเทพพยากรณ์ “เจ้าแน่ใจนะว่าตอนที่เขาฟื้นชีพอีกครั้งก็คือเวลาดับสูญ?” เสียงถามนี้มีเพียงไม่กี่คนที่อยู่ฝั่งนี้ได้ยิน
เทพถอนหายใจ “ถ้าข้าพยากรณ์ได้แม่นยำขนาดนั้นก็แย่แล้ว จะกล้ามาเจอได้ยังไง จะต้องอ้อมหลีกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแน่นอน ยังต้องกลัวเขาอีกหรือ? ข้ามั่นใจกับการคาดการณ์ตำแหน่งประตูดวงดาวเท่านั้น ข้ากำเนิดขึ้นจากพลังปรารถนาของสรรพชีวิต กับเรื่องในด้านนี้ข้าแค่สังหรณ์ใจรางๆ เท่านั้นเอง ไม่แน่ใจ”
ประมุขไป๋ชำเลืองเหมียวอี้แวบหนึ่ง “แต่กับเขา เจ้าพยากรณ์ได้แม่นมากไม่ใช่เหรอ? เขาเดินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว”
เทพพยากรณ์กล่าวว่า “ในปีนั้นข้ามีลางสังหรณ์ว่ามีคนที่มีวาสนายิ่งใหญ่จะปรากฏตัวเพราะเจ้า ผลปรากฏว่ามีคนมาเจอเจ้าจริงๆ แต่ข้าไม่ได้บอกว่าจะเป็นอย่างนั้นแน่นอนเสมอไป แต่เจ้าดูเขาในตอนนี้สิ เจ้ารู้สึกว่าแม่นหรือเปล่า? ดูเหมือนคนที่จะผ่านด่านได้หรือเปล่า? เจ้ารู้สึกว่าเขาสามารถรับมือกับพระปีศาจได้หรือเปล่า?”
เกาก้วนที่อยู่อีกด้านเอียงหน้ามองมา ไม่รู้ว่าทั้งสองพูดคุยเรื่องไร้สาระอะไรกัน
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบรับ พระปีศาจหนานโปก็ชี้อิ๋งเยว่ที่อยู่ข้างกัน “ดูท่าแล้วคงไม่มีใครยอมสวามิภักดิ์ อิ๋งเยว่ศิษย์ของข้าอยู่ตรงนี้แล้ว มีใครกล้าท้าสู้บ้าง? ใครกล้ามาท้าสู้?”
เขาถามซ้ำสองครั้ง ทว่ามีเขาหนุนหลังอยู่ ใครจะกล้าออกมารับคำท้าล่ะ?
ไม่ว่าจะเป็นเหมียวอี้ หรือชิงและพุทธะที่อยู่ตรงข้าม ก็ไม่มีใครตอบอะไรทั้งนั้น เริ่มร้อนรนทีละนิด รู้ว่าพระปีศาจไม่มีทางปล่อยเขาไป ถ้าพระปีศาจใช้วิธีการแข่งกร้าวเมื่อไหร่ ก็ทำได้เพียงสู้สุดชีวิต ตอนนี้ทุกคนต่างก็รอดูความเปลี่ยนแปลงก่อนแล้วค่อยรับมือ
ดาวพิษ คลังสมบัติสำนักหนานอู๋
ในคลังสมบัติเต็มไปด้วยภาพมายา ผู้คนสัญจรขวักไขว่อยู่บนถนน ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงเด็กหรือคนชราก็ล้วนมีใบหน้าเดียวกันหมด แม้แต่สัตว์ที่ผ่านไปมาก็ยังมีเค้าโครงใบหน้านั้น
ทันใดนั้น อีกาตัวหนึ่งบินมา กระพือปีกโฉบไปเกาะบนกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง เราก็เป็นอีกากลายพันธุ์ เพราะเค้าโครงใบหน้าของอีกาตัวนี้ไม่สอดคล้องกับใบหน้านั้น
เนื่องจากการมาเยือนของอีกาตัวนี้ ภาพมายาบนถนนเหมือนจะถูกทำลาย ช่วยพริบตาเดียวก็เหมือนกับลมพายุพัดผ่านฝุ่นดิน กวาดภาพมายาในคลังสมบัติจนหายไปหมด
ศีลแปดที่นั่งสมาธิอยู่บนบัลลังก์ดอกบัวคิ้วสั่นทันที “เฮ้อ!” ถอนหายใจเบาๆเฮือกหนึ่ง
ไป๋เหนียงจื่อที่นั่งสมาธิอยู่ข้างล่างลืมตาและเงยหน้ามองมา ถามอย่างสงสัยว่า “ท่านอาจารย์ถอนหายใจทำไม?”
ศีลแปดลืมตาเล็กน้อย กล่าวยังทอดถอนใจว่า “ไป๋อิน ผู้ที่มีวาสนาต่อข้าในโลกมนุษย์เหมือนจะประสบเคราะห์กรรม หากไม่แก้ไข เกรงว่าชาตินี้ข้าจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมะได้ยาก เจ้าไปจบเรื่องนี้ให้ข้าแล้วกัน”
“ค่ะ!” ไป๋เหนียงจื่อลุกขึ้นประนมมือ
ศีลแปดโบกมือชี้ไปด้านล่าง รอยแยกมิติปรากฏตรงหน้าไป๋เหนียงจื่ออย่างเงียบเชียบ ไป๋เหนียงจื่อประนมมือแล้วก้าวเข้าไป
“ใครกล้าท้าทายข้า?”
ก่อนที่พระปีศาจหนานโปถามด้วยน้ำเสียงดุดันเป็นครั้งที่สามจบลง จู่ๆ รอยแยกมิติรอยหนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงดาราจักร
สตรีชุดขาวผมยาวคลุมบ่าคนหนึ่งที่กำลังประนมมือปรากฏตัวขึ้นมา เท้าขาวดุจหยกเยื้องย่างออกจากรอยแยกมิติทีละก้าว ใบหน้าสงบนิ่งเปี่ยมเมตตา รอยแยกมิติพลันหายไปตรงข้างหลังนาง นางเพียงประนมมือลอยเงียบๆ อยู่ตรงหน้าพระปีศาจหนานโปที่กำลังตะโกน ราวกับปรากฏตัวขึ้นมาเพราะเสียงตะโกนท้าทายของพระปีศาจหนานโป
ไป๋เหนียงจื่อปรากฏตัวกลางอากาศ ทำให้คนไม่น้อยตกตะลึงกับสิ่งนี้
“ไป๋เหนียงจื่อ?”
ชิงและพุทธะอุทานเป็นเสียงเดียวกัน ทั้งสองมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สามารถตะโกนชื่อออกมาได้ก็แสดงว่ารู้จัก
“ไป๋เหนียงจื่อ?”
บทเรือมังกรอเวจีเกิดความวุ่นวายนิดหน่อย อู๋ฉาง หั่วเจินจวินและอินเอ้อร์หลางที่ยืนบนหัวเรือเบิกตากว้างและถามเป็นเสียงเดียวกัน ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
อู๋ฉางหันมองข้างๆ แล้วถามอย่างงุนงง “เมื่อครู่ผู้หญิงคนนี้ออกมาได้ยังไง”
“เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามใคร?” หั่วเจินจวินตอบซื่อๆ
“ดูเหมือนจะเก่งกาจมาก นี่โผล่ออกมาจากไหนกัน?” อินเอ้อร์หลางถาม
ประมุขไป๋ที่อยู่บนตึกเรือขมวดคิ้วมองฉากนี้ สายตาไปอยู่บนมือไป๋เหนียงจื่อที่กำลังประนมมือ ในดวงตาเผยแววตาครุ่นคิดหาคำตอบ
ไป๋เหนียงจื่อพี่ประนมมือลอยอยู่กลางอากาศมีดวงตาโตสดใส นางลอยเงียบๆ รอบหนึ่ง เห็นทัพใหญ่ที่กำลังคุมเชิงกันแล้ว และเห็นเหตุการณ์ที่แต่ละฝ่ายกำลังคุมเชิงกันอยู่เช่นกัน สายตาไปอยู่ที่ตัวคนบนเรือมังกรอเวจี แล้วพยักหน้ายิ้มบางๆ
ไป๋เหนียงจื่อไม่รู้ว่าตรงนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น เปล่งเสียงอ่อนโยนถามก้องกังวานดาราจักร “ศัตรูควรเลิกจองเวรต่อกัน แต่ละฝ่ายหยุดตรงนี้ดีไหม?”
พูดอย่างนี้ไม่มีทางผิด แต่คำพูดนี้คล้ายกับบอกพระปีศาจหนานโปที่เพิ่งทำตัวอันธพาล ต้องการให้พระปีศาจหนานโปวางมือจากเรื่องนี้
พระปีศาจหนานโปพูดจาอวดดีต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ ตอนนี้ถ้าจะให้เขากลืนคำพูดแล้วกลับไป ก็ต้องทำให้เขากลืนคำพูดนี้อย่างไม่เป็นทุกข์ด้วยถึงจะทำได้
เพียงแต่ทำให้พระปีศาจหนานโปเก็บกลั้นจนเป็นทุกข์แล้วจริงๆ อึกอักเหมือนอยากจะพูดแต่เงียบไป วิธีการที่อีกฝ่ายปรากฏตัวเมื่อครู่นี้ เป็นสิ่งที่เขาทำไม่ได้ จึงรู้สึกกลัวนิดหน่อย ไม่รู้ว่านางโผล่มาจากไหน
สิ่งที่ทำให้เขาเป็นทุกข์ยิ่งกว่านั้นก็คือ สายตาของทุกคนจับจ้องอยู่บนตัวเขา ราวกับกำลังถามเขาว่า เจ้าจะยอมวางมือหรือไม่?
“คนนี้เป็นใคร?” เหมียวอี้เอียงหน้าถาม ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนกับชิงและพุทธะรู้จัก แต่เมื่อครู่นี้เห็นอยู่ชัดๆ ว่าผู้หญิงคนนี้พยักหน้าทักทายประมุขไป๋ ใต้หล้ายังมีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่ขู่ขวัญให้พระปีศาจหนานโปอยู่อีกหรือ?
เขาสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นประมุขปีศาจ แต่เขาก็เคยเห็นภาพวาดของประมุขปีศาจมาหลายครั้ง เค้าโครงใบหน้าไม่เหมือนกัน หรือพูดอีกอย่างว่า ประมุขปีศาจสามารถข่มขวัญพระปีศาจหนานโปได้เหรอ?
เถิงเฟยที่ค่อนข้างตกตะลึงตอบว่า “ฝ่าบาท คนนี้ชื่อว่าไป๋อิน เรียกตัวเองว่าไป๋เหนียงจื่อ เป็นลูกน้องของประมุขไป๋ในปีนั้น แล้วหายตัวไปหลายปีมากแล้ว”
“เก่งกาจมากใช่ไหม?” เหมียวอี้ถาม
“ในปีนั้นจัดว่าเป็นยอดฝีมือ มีระดับพอๆ กับประมุขสิบปราสาทดำเนิน ตอนนี้ดูท่าแล้วคงเก่งกาจกว่าปีนั้นเยอะ” เถิงเฟยตอบ
เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะมองไปทางประมุขไป๋ อย่าบอกนะว่านี่คือสาเหตุที่ประมุขไป๋รู้อยู่แก่ใจว่าพระปีศาจจะปรากฏตัว แต่ตัวเองก็ยังกล้าโผล่มา?
“ไป๋เหนียงจื่อเป็นใคร?” เทพสตรีเผ่าหงส์ได้ยินอวี้หลัวช่าที่อยู่ข้างกายอุทาน จึงอดไม่ได้ที่จะถาม
อวี้หลัวช่าอธิบายให้ฟังคร่าวๆ คล้ายกับเถิงเฟย เทพสตรีเผ่าหงส์มองไปทางฝั่งประมุขไป๋แล้ว
“ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร?” พระปีศาจหนานโปจ้องไป๋เหนียงจื่อไม่ละสายตา เอียงหน้าเล็กน้อยถามจั่วเอ๋อร์ที่กลับมาเป็นสาวอีกครั้ง
“ไป๋เหนียงจื่อ ลูกน้องของประมุขไป๋ในปีนั้น…” จั่วเอ๋อร์แนะนำคร่าวๆ เช่นกัน
หลังจากฟังที่แนะนำตัวจบแล้ว พระปีศาจหนานโปก็ยิ่งกลุ้มใจ ลูกน้องของประมุขไป๋ ในปีนั้นพลังยังสู้ประมุขไป๋ไม่ได้ จะดูตอนนี้สิ เหมือนคนที่มีพลังสู้ประมุขไป๋ไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?
ไม่ใช่ว่าเขากลัวไป๋เหนียงจื่อ นึกถึงในปีนั้น ต่อให้เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดไหนเขาก็กล้าท้าสู้ เพียงแต่เขาไม่ใช่คนโง่ นี่เป็นคนหนึ่งที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าชัดเจน ถ้าเอาแต่ก่อเรื่องก็อาจจะได้บทเรียนกลับไป สิ่งที่ทำให้เขาลังเลก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าข้างกายจะไม่มีใครรู้ประวัติที่แท้จริงผู้หญิงคนนี้ชัดเจนสักคน
“ไป๋เหนียงจื่อ พระที่ไม่สวมเสื้อผ้า ห่มแต่จีวรคนนั้นก็คือพระปีศาจหนานโป เจ้าระวังตัวหน่อย” อู๋ฉางที่อยู่บนเรือมังกรพลันตะโกนบอก ท่าทางเหมือนคนข้างเป็นห่วงไป๋เหนียงจื่อ
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนนี้ดังขึ้น คนมากมายที่ก่อนหน้านี้ทำได้เพียงเดาตัวตนของพระปีศาจ ตอนนี้นับว่าแน่ใจแล้ว แต่ละคนแอบตกใจกลัว
ไป๋เหนียงจื่อหันตัวกลับมา มองไปที่พระปีศาจหนานโป เห็นได้ชัดว่าประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าเองเหรอ พระปีศาจหนานโป?”
“ข้าเอง!” พระปีศาจหนานโปแสยะยิ้ม “ทลายมิติ ตัดข้ามดาราจักร ดูท่าแล้วก็มีฝีมืออยู่บ้าง เจ้าอยากจะแทรกแซงเรื่องของข้าเหรอ? เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า อย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน!”
ไป๋เหนียงจื่อเข้าใจแล้ว ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยินเรื่องของปีศาจเท่าตนนี้มาก่อน สงสัยสิ่งที่อาจารย์เรียกว่าเคราะห์กรรมในโลกมนุษย์จะหมายถึงพระปีศาจนี่ นางประนมมือ “อามิตตาพุทธ วางดาบฆ่าคน บรรลุธรรมเป็นพุทธะ!”
อู๋ฉางที่อยู่บนเรือมังกรปวดประสาทเล็กน้อย “ขนาดคำว่าอามิตตาพุทธยังกล่าวออกมาได้ ผู้หญิงคนนี้บวชจริงๆ เหรอ?”
หั่วเจินจวินที่ข้างๆ บอกว่า “เพิ่งออกหรือไง? นี่เจ้ายังไม่ตัดใจสินะ รีบตัดความหวังแต่เนิ่นๆ เถอะ!”
“เป็นพุทธะ?” พระปีศาจหนานโปเงยหน้าหัวเราะลั่นทันที “ข้าเป็นพุทธะอยู่แล้ว จำเป็นต้องกลายเป็นพุทธะอีกเหรอ?”
“เจ้าตัดการเวียนว่ายตายเกิด ก็ประสบเคราะห์ไปหนึ่งครั้งแล้ว เหตุใดยังไม่สำนึก? ถ้าก่อกรรมอีกครั้ง เกรงว่าสวรรค์คงยากอภัย ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฟากฝั่ง!” ไป๋เหนียงจื่อกล่าว
พระปีศาจหนานโปแสยะยิ้ม “พูดแบบนี้ แสดงว่าเจ้าจะเข้ามาสอดเรื่องของข้าให้ได้ใช่ไหม?”
ไป๋เหนียงจื่อส่ายหน้า “ก็แค่นโน้มน้าวให้เจ้ากลับตัวเสียแต่เนิ่นๆ อาศัยวรยุทธ์ของเจ้า ควรจะรีบบรรลุธรรมนะ เหตุใดต้องลำบากเบียดเบียดเวไนยสัตว์ เข้ามาพัวพันกับเวรกรรมในโลกมนุษย์ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้เชียวหรือว่าตัวเจ้ากำลังอยู่ในเวรกรรม?”
“เลิกพูดเหลวไหล!” พระปีศาจหนานโปพูดเหยียด ฟังไม่เข้าหูเลย หลักการอะไรพวกนี้เขาฟังมาเยอะแล้ว เขาหันกลับไปบอกอิ๋งเยว่ว่า “มีคนออกมาท้าทายเจ้า นี่เป็นเวลาที่เจ้าจะได้พิสูจน์ว่าเจ้าฝึกสำเร็จแล้ว”
เขากำลังให้อิ๋งเยว่ออกหน้าไปทดสอบก่อน ดูว่าอีกฝ่ายฝีมือเป็นอย่างไรกันแน่ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเลยสักนิด ไม่น่าเชื่อว่าข้างกายจะไม่มีใครรู้ชัดสักคน
อิ๋งเยว่ก็ไม่ใช่คนโง่ เข้าใจเจตนาของอาจารย์ แต่นางมาพร้อมความอาฆาตพยาบาท อดทนซ่อนตัวมาหลายปีขนาดนี้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีวันนี้ได้ มีหรือที่จะวางดาบฆ่าคน บรรลุธรรมเป็นพุทธะเพราะคำพูดประโยคเดียว
อิ๋งเยว่ถลันตัวออกมาอยู่ตรงข้ามกับไป๋เหนียงจื่อ ส่วนตัวพลันมีเงามายาของรอยแยกมิติครอบไว้หนึ่งชั้น
ประมุขชิงพี่กำลังสังเกตการณ์ถ่ายทอดเสียงบอกประมุขพุทธะ “เหมือนมหาเวทอเวจีที่ท่านฝึก!”
ประมุขพุทธะขมวดคิ้ว ตัวเองก็รู้สึกว่าค่อนข้างคล้ายเช่นกัน แต่ก็ไม่พอให้แปลกใจ ตอนแรกที่อยู่สถานที่ผนึก พระปีศาจหนานโปสามารถท่องมหาเวทอเวจีที่เขาฝึกออกมาได้ ในเมื่อพระปีศาจรู้เคล็ดวิชานี้ จะถ่ายทอดวิชาให้ศิษย์ตัวเองก็ไม่แปลก เพราะว่าผ่านไปไม่นานก็พบว่าไม่เหมือน
เงารอยแยกมิติที่ครอบอยู่รอบกายอิ๋งเยว่พลันหมุนวนด้วยความเร็วสูง ราวกับเป็นพายุหมุน แล้วก็กลายเป็นเส้นโปรยรอบกาย เหมือนบนตัวเต็มไปด้วยเปียเล็กๆ