พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2230 ข้าขับไล่ตัวเองออกจากสำนัก
เหมียวอี้ไม่มีท่าทีว่าจะขึ้นเรือ เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง น้ำเสียงเยียบเย็นลงหลายส่วน “เจ้าเป็นคนจงใจปล่อยพระปีศาจหนานโปออกมาใช่หรือเปล่า?”
กับเรื่องบางเรื่องเขาสามารถอดทนได้ แต่กับเรื่องบางเรื่องทำให้เขาอึดอัดจริงๆ ถึงขนาดไม่สามารถใช้คำว่าอึดอัดธรรมดามาบรรยายได้ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ศีลแปดแทบจะสิ้นชีวิตด้วยน้ำมือพระปีศาจแล้ว ไต้ซือศีลเจ็ดก็ทำเพื่อช่วยศีลแปดหากอาตมาไม่ลงนรกแล้วใครจะลงนรก!
ถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง การให้พระปีศาจรู้ว่าในมือของเขามีบัวโลหิต ที่จริงแล้วก็ถือว่าอยากเอาชีวิตเขา!
เมื่อถามเช่นนี้ ประมุขไป๋ก็ยิ้มเรียบๆ เข้าใจความหมายที่เขาสื่อแล้ว อย่าว่าแต่สองคนนั้นที่ไม่เชื่อเจ้าเลย ข้าเองก็ทำใจเชื่อได้ยากเหมือนกัน เขาถ่ายทอดเสียงตอบว่า “ทั้งใช่ และไม่ใช่”
“หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้ถามด้วยใบหน้านิ่งตึง เรื่องนี้เหมือนก้างที่ติดคอเขา ถ้าไม่คายก็ไม่โล่ง
ประมุขไป๋กล่าวว่า “เรื่องบางเรื่องเดิมทีไม่อยากอธิบาย ต่อให้เจ้ารู้แล้วยังไง? ไม่รู้แล้วยังไง? ทุกอย่างเป็นอดีตไปแล้ว! ในเมื่อเจ้าพะวงอยู่ในใจตลอดเช่นนี้ ข้าก็ทำได้เพียงบอกเจ้า พระผู้ใหญ่แต่ละยุคของสำนักหนานอู๋ร่วมมือกันสร้างวิชาพุทธธรรมไร้ขอบเขตมาตลอด แต่กลับไม่มีใครฝึกวิชาสำเร็จ หลังจากสืบเสาะค้นคว้าแล้ว สำนักหนานอู๋ก็ร่วมมือกันสร้างบทนำการฝึกหนึ่งชุดเพื่อพุทธธรรมไร้ขอบเขตอีก ชื่อว่า “เคล็ดวิชาตรัสรู้” ในปีนั้นตอนสำนักหนานอู๋ถูกกวาดล้าง หัวเลี้ยวหัวต่อเทียนอี เจ้าสำนักได้ถ่ายทอดบทนำให้ลูกศิษย์คนหนึ่ง ยอดฝีมือทุกคนของสำนักหนานอู๋ร่วมมือกันต้านหนานโป ปกป้องให้ศิษย์คนนี้หนีไป อยากจะรักษาผู้สืบทอดของสำนักหนานอู๋เอาไว้ จึงรีบติดต่อไป๋เหมยอาจารย์ของของข้าให้มารับ ศิษย์คนนี้มีฉายานามว่าศีลห้า หลังจากอาจารย์ของข้ารับศีลห้ามาแล้ว เป็นเพราะหนานโปตามจับศีลห้าไปทั่ว จึงทำได้เพียงส่งศีลห้าไปที่พิภพเล็ก ศีลห้าหวาดกลัวหนานโป กลัวว่าวันหนึ่งจะถูกหนานโปหาพบ จึงใช้วิชาศีลซ่อนตัว ไม่เอ่ยถึงสำนักหนานอู๋อีก แล้ว “เคล็ดวิชาตรัสรู้” นี้ก็ค่อนข้างแปลก ศีลห้าที่แตกฉานเคล็ดวิชาของสำนักหนานอู๋จะฝึกสำเร็จได้ยาก จึงหาเสาะผู้สืบทอไปทั่ว ตอนหลังถึงได้มีศีลหก ศีลเจ็ด ศีลแปด” พอพูดถึงตรงนี้ ก็ส่งสายตาให้เหมียวอี้เหมือนกำลังถามว่า ตอนนี้เจ้าคงจะเข้าใจแล้วใช่มั้ย?
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้มีศีลหกกับศีลเจ็ดแล้ว ทำไมยังจะให้ศีลแปดไปเผชิญหน้ากับพระปีศาจอีก?” เหมียวอี้ถาม
ประมุขไป๋ตอบว่า “ศีลหกกับศีลเจ็ดค่อนข้างคร่ำครึ เจ้าคิดว่าคนอย่างศีลเจ็ดจะลงมือสังหารคนอย่างหนานโปได้เหรอ? จนกระทั่งศีลแปดปรากฏตัว ไม่ได้รับผลกระทบจากวิชาศีล ถึงได้ทำให้ข้าเห็นความหวัง ว่าเขาจะทำสิ่งที่สำนักหนานอู๋ฝากฝังสำเร็จ”
“ทำไมต้องรอให้ถึงศีลแปด เจ้าน่าจะมีความสามารถในการกำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจสิ” เหมียวอี้ถาม
ประมุขไป๋ส่ายหน้าเบาๆ “ข้าไม่ได้รู้สึกดีกับสำนักหนานอู๋ ถ้าเป็นไปได้ ก็อาจจะไม่ต้องให้หนานโปลงมือ ข้าจะลงมือกำจัดสำนักหนานอู๋เอง ดังนั้นบุญคุณความแค้นระหว่างพระปีศาจหนานโปกับสำนักหนานอู๋ ที่จริงข้าไม่อยากเข้าไปแทรกแซง หวังว่าสำนักหนานอู๋จะแก้ไขปัญหาเอง”
“เจ้าอธิบายแบบนี้จะให้ข้าเชื่อได้ยังไง?” เหมียวอี้ไม่ค่อยเข้าใจ
ประมุขไป๋ให้คำตอบอย่างสุขุมเยือกเย็นว่า “เทียนอี เจ้าสำนักหนานอู๋ เคยเจรจาสงบศึกกับศิษย์หญิงคนหนึ่งที่ฝึกระบำมารสวรรค์ของสำนักหนานอู๋ เป็นเพราะศิษย์หญิงคนนั้นคิดถึงประโยชน์ส่วนตัว จึงแอบตั้งครรภ์ลูกของเทียนอี แล้วแอบคลอดลูกนอกสมรสเอาไว้คนหนึ่ง หลังจากเทียนอีรู้แล้วก็เดือดดาลมาก รู้สึกว่าเรื่องนี้ถูกเปิดโปง ก็ไม่มีทางชี้แจงกับทุกคนของสำนักหนานอู๋ได้ จึงประหารศิษย์หญิงคนนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะไป๋เหมยมาทันเวลา แล้วเห็นว่าลูกนอกสมรสคนนั้นหน่วยก้านดีจึงรับเป็นศิษย์ เกรงว่าลูกนอกสมรสคนนั้นคงรักษาชีวิตไว้ไม่ได้แล้ว”
ตอนนี้ถึงคราวที่เหมียวอี้ต้องตกใจแล้ว จ้องเขาพร้อมถามว่า “เจ้าก็คือลูกนอกสมรสคนนั้นเหรอ?”
ประมุขไป๋ไม่ได้ยอมรับ และก็ไม่ได้ปฏิเสธ
พอเป็นแบบนี้ กลับทำให้เหมียวอี้เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายจึงชักนำให้ศีลแปดไปยังสถานที่ผนึกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจ ด้วยนิสัยของศีลแปด ศีลแปดไปที่นั่นแล้วไม่ผูกความแค้นกับพระปีศาจก็แปลกแล้ว และการที่เขาพบพุทธธรรมไร้ขอบเขตของสำนักหนานอู๋ ก็จะต้องให้ศีลแปดไปฝึกแน่นอน อีกฝ่ายต้องการบีบให้ศีลแปดเป็นตัวแทนสำนักหนานอู๋เพื่อไปจบเรื่องนี้กับพระปีศาจ
เพียงแต่เหมียวอี้ไม่ได้เชื่อทั้งหมด ถามว่า “เหมือนเจ้าจะรู้เรื่องของข้าทุกอย่าง อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ ว่าถ้าปีศาจโลหิตไปที่นั่นแล้วเรื่องบัวโลหิตจะถูกเปิดโปง?”
“ตอนนั้นศีลแปดกับปีศาจโลหิตอยู่ด้วยกัน สนิทกันเหมือนเป็นเงาตามตัว ข้าเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย หนานโปไม่อาจหลุดออกมาได้ ต่อให้รู้ว่ามีบัวโลหิตอยู่แล้วยังไงต่อล่ะ? เป็นแค่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกผนึกไว้เท่านั้น ข้ามีวิธีกำจัดเขา ต่อให้รอชิงและพุทธะไป ก็กำจัดเขาได้เหมือนเดิม” ประมุขไป๋กล่าว
เหมียวอี้บอกว่า “แต่ตอนหลังพอชิงและพุทธะไปแล้ว ก็ไม่อาจขัดขวางพระปีศาจไม่ให้หลุดออกมาได้ กลับทำให้ข้าตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย”
เดิมทีประมุขไป๋อยากบอก ว่าเจ้ารู้คำตอบจากเซี่ยโห้วท่าแล้วไม่ใช่หรือ? ทว่าหลังจากยิ้มอย่างไม่หยี่ระแล้ว ก็ยังไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ อธิบายด้วยตัวเองว่า “ที่ชิงและพุทธะหยุดยั้งไว้ไม่ได้ ก็เพราะข้าแอบสอนวิธีหนีออกมาให้หนานโป ไม่อย่างนั้นหนานโปจะต้องตายแน่นอน ในปีนั้นชิงและพุทธะแตกคอกับข้า จับรั่วสุ่ยไปเป็นตัวประกัน ข้าจึงรีบร้อนวิ่งวุ่นวางแผนเอาไว้ทั่ว ร้อนใจจนจอนผมสองข้างหงอกขาว ทิ้งทางหนีทีไล่เอาไว้ไม่น้อย หนานโปก็คือหนึ่งในทางหนีทีไล่ของข้า ถ้าหมดหนทางแล้วจริงๆ เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงปล่อยหนานโปออกมา ให้หนานโปเปิดเจดีย์สยบปีศาจให้ข้า”
เหมียวอี้กล่าวเสียงเย็นว่า “หรือพูดได้อีกอย่างก็คือ เจ้ายอมรับแล้วว่าเจ้าปล่อยพระปีศาจออกมา!”
ประมุขไป๋ตอบเขาว่า “สาเหตุที่ปล่อยพระปีศาจออกมา ก็เพราะมีคนพูดบางสิ่งที่ไม่สมควรพูดกับเจ้า ทำให้ระหว่างเจ้ากับข้าเกิดรอยร้าวในใจ อำนาจที่ยิ่งใหญ่ของเจ้าไม่ใช่สิ่งที่ข้าสามารถบงการได้ ข้าทำได้เพียงใช้แผนการชั้นตํ่านี้ ถ้าเจ้าไม่ทำลายเจดีย์สยบปีศาจ เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงให้พระปีศาจลงมือ ตอนที่เทพพยากรณ์ส่งข่าวให้เจ้า ให้เจ้าชิงทำลายเจดีย์สยบปีศาจก่อน นั่นก็คือทางเลือกสุดท้ายระหว่างเจ้ากับข้าแล้ว โชคดี เจ้ายังเลือกสิ่งที่ข้าหวังจะได้เห็น ไม่อย่างนั้นระหว่างเจ้ากับข้าก็มีแต่ต้องแตกหักกัน!”
เหมียวอี้กัดฟัน “เจ้าอย่าบอกข้าเชียวนะ ว่าตอนหน้าสิ่วหน้าขวาน แล้วศีลแปดออกมาหยุดยั้งพระปีศาจได้ทันเวลาก็เป็นสิ่งที่เจ้าคาดหมายไว้ล่วงหน้าแล้ว”
ประมุขไป๋ส่ายหน้า “ทุกอย่างที่ข้าทำกับสำนักหนานอู๋ ก็เพื่อทำสิ่งที่อาจารย์ฝากฝังไว้ให้สำเร็จ ศีลแปดไม่เอาไหน ข้าไม่เคยคาดหวังให้เขาทำอะไรทั้งนั้น ความสำเร็จของศีลแปดเกินกว่าที่ข้าจินตนาการไว้ เจ้าเองก็ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ ในเมื่อข้ากล้าทำอย่างนี้ ก็แสดงว่ามีที่พึ่งพา ต่อให้ศีลแปดไม่ปรากฏตัว ต่อให้ข้าจำกัดหนานโปไม่ได้ ก็รับประกันได้อยู่ดีว่าหนานโปจะไม่แตะต้องเจ้า เหตุผลก็ไม่ได้ซับซ้อน เป็นเพราะในมือข้ามีสิ่งที่หนานโปต้องการ ข้าย่อมมีหนทางพาหนานโปออกไปจากที่นี่อยู่แล้ว ให้เขากลับมาไม่ได้อีกตลอดไป! แน่นอน มีเรื่องมากมายที่ข้าไม่อาจควบคุมได้ การตายของศีลเจ็ดเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดเลย ข้านึกเสียใจทีหลังกับเรื่องนี้”
เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “นี่เป็นเพียงความข้างเดียวของเจ้าหลังจากเรื่องดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน เจ้าคิดจะบงการข้ามาตั้งแต่แรก เก็บข้าไว้ให้เจ้าใช้ประโยชน์!”
ประมุขไป๋บอกว่า “ถ้าเจ้าดึงดันจะคิดอย่างนี้ ข้าก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน ที่ให้เจ้าทำงานให้ข้านั้นไม่ผิดหรอก แต่ถ้าจะบอกว่าบงการอะไรนั่น ก็อาจจะกล่าวเกินไปหน่อย ตัวเจ้าเองรู้ชัดเจนกว่าใคร ว่าการที่เจ้าเดินบนเส้นทางนี้ ข้าไม่เคยบังคับเจ้าเลย ตอนแรกข้าถามเจ้าหลายครั้ง แต่เป็นเจ้าที่ยืนหยัดจะเดินบนเส้นทางนี้ ถ้าเจ้าปฏิเสธ ข้าก็จะไม่ฝืนใจเจ้าอยู่ดี ทุกอย่างล้วนเกิดจากความเต็มใจของเจ้า เรื่องราวต่างๆ หลังจากนั้น เจ้าก็น่าจะรู้สึกได้เช่นกัน ว่าข้าไม่เคยบงการเจ้าเลย เพียงแอบช่วยเจ้าในเวลาที่เหมาะสมก็เท่านั้นเอง ยกตัวอย่างเช่นนักพรตปีศาจที่ถูกขังอยู่ในที่ซ่อนสมบัติ ข้าเตรียมคนพวกนี้ให้เอาไว้ช่วยเจ้าแท้ๆ แต่เจ้าก็ไม่ใช้งาน ข้าเองก็ไม่ได้ก้าวก่าย แทบจะปล่อยให้เรื่องดำเนินไปเองอย่างอิสระตามที่ใจเจ้าปรารถนา เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว สิ่งที่เจ้าควรช่วยข้า เจ้าก็ช่วยไว้แล้ว ถ้าจะให้ข้าบอกอีกว่าช่วยเจ้ามาเยอะ ช่วยให้เจ้าผ่านอันตรายมาหลายครั้ง นั่นก็ไม่จำเป็นแล้ว สิ่งนี้ข้าพูดบิดเบือนหรือไม่ ในใจเจ้าย่อมชั่งน้ำหนักได้เอง ไม่จำเป็นต้องฟังความข้างเดียวจากข้า”
“ร่างทิพย์ของเจ้ามีโอกาสออกมาอธิบายทุกอย่างกับข้าให้ชัดเจน ถ้าอธิบายให้เข้าใจแล้ว ยังจำเป็นต้องอธิบายตอนหลังอีกเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
“ตอนหลังหลังของเจ้าเหนือกว่าร่างทิพย์ของข้าแล้ว ถ้าให้ร่างทิพย์ปรากฏตัวต่อหน้าเจ้า ก็เท่ากับตัดทางหนีทีไล่ของข้า อย่างไรเสียก็เหลือโอกาสให้ร่างทิพย์ได้พบกับเจ้าแล้ว ตอนที่เจ้าได้ตาทิพย์จากเสิ้นหมี ก็น่าจะตระหนักรู้ถึงวิถีแห่งความว่างเปล่าบ้างแล้ว แต่พรสวรรค์การฝึกตนของเจ้าไม่ค่อยดีเท่าไร จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่ก้าวหน้า” ประมุขไป๋กล่าว
“ตระหนักรู้วิถีแห่งความว่างเปล่าเกี่ยวอะไรกับการได้เจอร่างทิพย์ของเจ้า?” เหมียวอี้สงสัย
ประมุขไป๋ยิ้มบางๆ “ในเมื่อในใจเจ้าไม่พอใจ เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงอีก ที่อยู่รอเจ้า ก็เพราะอยากให้คำอธิบายกับเจ้า ส่วนคำพูดเมื่อครู่นี้ เจ้าจะเชื่อหรือไม่นั้นไม่สำคัญ เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าสูญเสียไปเท่าไร ได้รับมาเท่าไร ก็ล้วนเป็นเรื่องของเจ้าเองทั้งนั้น ข้าไม่รับผิดชอบกับสิ่งนี้ ตั้งแต่นี้ไป เจ้ากับข้าขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจน จำของขวัญแรกพบตอนที่เราเจอกันครั้งแรกได้หรือเปล่า นั่นคือของขวัญที่รั่วสุ่ยมอบให้ข้า ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่ต้องเก็บไว้เพื่อระลึกถึงข้าแล้ว แค่คืนให้ข้าก็พอ”
“แล้วถ้าข้าไม่ปล่อยเจ้าไปล่ะ?” ในน้ำเสียงเหมียวอี้เจือความเย็นยะเยือกน่ากลัวอยู่หลายส่วน
ประมุขไป๋กล่าวด้วยใบหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ในปีนั้นชิงและพุทธะส่งคนมามากมายขนาดนั้น แต่ก็ยังขวางข้าไม่ได้ เจ้าจะขวางข้าได้หรือเปล่า ในใจเจ้าเองมีความมั่นใจหรือเปล่า เจ้าก็น่าจะรู้ดีที่สุด วรยุทธ์ของเจ้ากับข้ายังห่างกันไม่ใช่น้อย ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าพาลหาเรื่องดีกว่า! ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้ง ดาราจักรกว้างใหญ่ ไร้ขอบเขตไร้ที่สิ้นสุด ข้าย่อมมีทางไปของข้า ไม่สนใจใต้หล้าอะไรทั้งนั้น!”
เหมียวอี้สบตากับเขาครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ ยกมือลูบสร้อยลูกประคำสีเขียวบนคอ จับลูกประคำสีเขียวเข้มเม็ดนั้น ดึงลงมา แล้วโยนกลับไป
ประมุขไป๋คว้าสร้อยมาไว้ในมือ จ้องมองมัน ขยี้ปั่นอยู่ระหว่างนิ้วมือ แล้วส่ายหน้าด้วยความสะท้อนใจ
หลังจากคว้าของไว้ในมือแล้ว เขาก็หยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมาอีก แล้วโยนเข้ามา
เหมียวอี้รับมาอ่านในมือครู่เดียว ผลก็คือพบว่าเป็นแหล่งกำเนิดสำนักของอีกฝ่าย เขาไม่ได้อ่านละเอียด อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าถามว่า “หมายความว่าอะไร?”
ในดวงตาประมุขไป๋เผยความกลัดกลุ้ม “ที่จริงอสุราอัคนีเป็นศิษย์พี่ของข้า เป็นลูกชายอาจารย์ของข้าด้วย เขาอายุมากกว่าข้า มีชื่อเสียงเร็วกว่าข้าด้วย เป็นเพราะพรสวรรค์ในการฝึกตนของเขา ท่านอาจารย์ไม่ได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาอัคนีดาราฉบับสมบูรณ์ให้เขา แต่กลับถ่ายทอดให้ข้า ศิษย์พี่ได้แค่เคล็ดวิชาไฟหยางที่อยู่ในนั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงแค้นข้า บุญคุณความแค้นและความขัดแย้งที่อยู่ในนั้นบันทึกไว้ในของที่ให้เจ้าหมดแล้ว หลังจากข้าออกจากภูเขา ก็เก็บกวาดขยะในบ้าน สังหารเขาแล้ว พอมาดูตอนนี้ ที่จริงข้ากับศิษย์พี่ก็ไม่ต่างอะไรกัน ยอมร่วมงานกับศัตรูที่ฆ่าอาจารย์ตัวเองเพื่อความแค้นส่วนตัว ข้าเองก็ไม่มีหน้าไปพบอาจารย์เช่นกัน ตั้งแต่นี้ไป ข้าไล่ตัวเองออกจากสำนัก วิชานี้ยกให้เจ้าเป็นผู้สืบทอด ถือว่าเป็นสิ่งตอบแทนอาจารย์เช่นกัน เจ้าวางใจได้ ข้าไม่มีทางถ่ายทอดเคล็ดวิชาอัคนีดาราให้ใครอีก!” พูดจบก็เงยหน้ามองดาวบนท้องฟ้า แล้วกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ข้ายังยืนยันคำเดิม ตั้งแต่นี้ไปยินดีที่จะให้เจ้ากับข้าไม่ต้องพบกันอีก!”
เหมียวอี้เงียบไปครู่เดียว ก่อนจะถามว่า “ได้ยินนามอันยิ่งใหญ่ของประมุขปีศาจมานาน เหตุใดไม่พาออกมาให้เจอสักหน่อย?”
“ให้นางได้อยู่อย่างสงบสุขเถอะ” ประมุขไป๋ส่ายหน้า นิ้วมือวาดผ่านบนสายฉินส่งเสียงติงตัง แล้วหันไปพยักหน้าให้เทพพยากรณ์
เทพพยากรณ์กระทุ้งไม้ขักขระบนมังกรเบาๆ กลุ่มผีดิบเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางทันที ลากเรือมังกรอเวจีไปยังจุดลึกในดาราจักร