พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2235 เรื่องในอดีตมิอาจหวนรำลึก
ในดาราจักรอันกว้างใหญ่ ศูนย์กลางเชื่อมต่อของของสี่ทัพ เป็นดาวเคราะห์ที่สวยวิจิตรตระการตาดวงหนึ่ง
ทะเลใหญ่ฟ้ากว้าง เดิมทีเป็นที่ประชุมของสี่อ๋องสวรรค์ ตอนนี้เนื่องจากความได้เปรียบด้านพื้นที่ จึงกลายเป็นฐานปฎิบัติการชั่วคราวของทัพใหญ่ปราบปราม
ตรงใต้ตึก กลุ่มแม่ทัพรวมตัวกันอยู่ข้างแผนที่ดาวหลายแผ่นที่กางอยู่ สวีถังหรานที่อยู่บนตึกถือถาดอาหารมาปรากฏตัวด้วยตัวเอง แล้ววางสุราอาหารลงบนโต๊ะที่อยู่ตรงจุดที่ทิวทัศน์ดีที่สุด เชิญเหยียนซู่กับอวี้หลัวช่าให้มาพักอย่างร่าเริง
ตั้งแต่ได้รับคำสั่งลับจากเหมียวอี้ สวีถังหรานก็รู้ว่าตัวเองอดทนจนประสบความสำเร็จแล้ว รู้ว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นตัวละครแบบเดียวกับซือหม่าเวิ่นเทียนแล้ว
สำหรับเรื่องนี้ เขาไม่มีอะไรที่ไม่พอใจ เพราะรู้ว่าตัวเองไม่มีผลงานการรบอะไร เป็นเรื่องยากมากที่จะได้อยู่ในตำแหน่งอันทรงเกียรติ แข่งขันไม่ชนะคนอื่น ถ้าดันทุรังแข่งขัน เหมียวอี้ก็ไม่สะดวกจะช่วยพูดให้เขา ไม่อย่างนั้นจะให้พวกแม่ทัพพี่อาบน้ำเลือดทำสงครามทนความรู้สึกได้อย่างไร? การได้รับตำแหน่งที่เหมือนกับซือหม่าเวิ่นเทียน ก็นับว่าเหนือความคาดหมายของเขามากแล้ว ดังนั้นเขาจึงอารมณ์ดีมาก เข้าครัวทำอาหารให้เหยียนซู่กับอวี้หลัวช่าด้วยตัวเอง
ยามปกติมีเพียงเหมียวอี้เท่านั้นที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ตอนอยู่บ้านแม้แต่เสวี่ยหลิงหลงฮูหยินของตัวเองก็ยังไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างนี้ แน่นอน เขาหวังว่าทั้งสองท่านนี้จะช่วยเขาทำภารกิจในครั้งนี้ให้สำเร็จอย่างดีที่สุด ขอเพียงสามารถทำภารกิจที่เหมียวอี้มอบหมายสำเร็จได้ สำหรับเขาแล้ว โค้งเอวก้มหน้าแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
เหยียนซู่ก็ไม่มีอะไรให้ปฏิเสธ นั่งลงลิ้มรสอาหารอย่างเนิบนาบ สวีถังหรานรินสุราให้เขาด้วยตัวเอง เขาเองก็รับการบริการนี้อ่ะสง่าผ่าเผย
กลับเป็นอวี้หลัวช่าที่ไม่ค่อยอยากอาหารสักเท่าไหร่ ที่สำคัญเป็นเพราะสวีถังหรานโหดเกินไป แม้แต่วัดโลกมนุษย์ก็ไม่ละเว้น นางรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะกลายเป็นคนบาปของชาวพุทธแล้ว นางเคยรายงานต่อเหมียวอี้ แต่ท่าทีของเหมียวอี้ก็คือ ไม่รู้ถึงสถานการณ์ในที่เกิดเหตุชัดเจน ให้นางไปปรึกษากับสวีถังหรานเอง
นางเข้าใจแล้ ว่าเหมียวอี้ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่สวีถังหรานทำอย่างนี้
เมื่อชิมอาหารเจที่รสชาติไม่เลวเพียงไม่กี่คำ อวี้หลัวช่าก็วางตะเกียบ แล้วจ้องสวีถังหรานพร้อมถามว่า “นี่เพิ่งจะเริ่มต้น ก็จับได้แล้วพันกว่าล้าน เจ้าเตรียมจะทำยังไงกับคนพวกนี้?” เรื่องระดมพลเข่นฆ่าหลักๆ แล้วเป็นหน้าที่ของเหยียนซู่กับนาง แต่นักโทษที่จับได้ เหมียวอี้กลับสั่งให้ส่งต่อไปที่สวีถังหราน
“ดูสถานการณ์ก่อน ดูสถานการณ์ สืบสวนก่อนแล้วค่อยว่ากัน” สวีถังหรานหัวเราะพลางตอบอย่างคลุมเครือ เราก็ถือกาสุรารินสุราให้นางอีก
“แค่เริ่มต้นก็จับได้พันกว่าล้านคน เจ้าสืบสวนทีละคนไหวเหรอ?” อวี้หลัวช่าถามด้วยสีหน้าเย็นชา
“ค่อยๆ ทำ ไม่รีบหรอก” สวีถังหรานยังคงร่าเริง แต่ในใจกลับรู้ชัดเจน ว่าคนมากมายขนาดนี้จะสืบสวนไหวได้อย่างไร ส่วนใหญ่ต้องเอามาฆ่าเพื่อเอายาเน่ยตัน เหมียวอี้ไม่ได้พูดอย่างนี้ แต่เขากลับเข้าใจเจตนาของเหมียวอี้ เมื่อใต้หล้ารวมเป็นหนึ่ง จะต้องการนักพรตจำนวนมากขนาดนั้นไปทำไม? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่อาจจะมีความเห็นแย้งกับตัวเอง
รายชื่อบางส่วน เป็นไปไม่ได้ที่จะให้เหมียวอี้แบกรับไว้ เขาทำได้เพียงเป็นแพะรับบาป
อวี้หลัวช่ามองเป็นที่เหยียนซู่ อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เหยียนซู่กลับกินอาหารโดยไม่พูดอะไร
หลังจากศึกใหญ่จบแล้ว เหยียนซู่ได้รับคำสั่งให้กวาดล้าง จึงเป็นฝ่ายติดต่อไปหาซูอวิ้น ถามนางว่ามีคนที่เขาต้องดูแลเป็นพิเศษหรือไม่
ซูอวิ้นบอกเขาเอาไว้ก่อนเลยว่า ต่อไปนี้ทั้งสองพยายามไม่ต้องติดต่อกันอีกแล้ว จากนั้นก็เตือนอีก ว่านี่เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนยุคสมัย ไม่ว่าจะชอบขี้หน้าใครหรือไม่ชอบขี้หน้าใครก็ไม่ต้องพูด สนใจแค่ปฏิบัติตามคำสั่งก็พอ ทำเหมือนไม่รู้อะไรทั้งนั้น…
แดนรัตติกาล เรือมังกรอเวจีลอยเข้ามาจากจุดลึกในดาราจักร สุดท้ายก็จอดอยู่นอกน้ำพุวังเวง
เงาดำกลุ่มใหญ่บินออกจากเรือมังกรอเวจี บินอ้อมเรือมังกรอเวจีออกมา
ประมุขสิบปราสาทดำเนินยืนอยู่บนเรือมังกร ทั้งยังมีพวกอู๋ฉางด้วย หันมองสัตว์ประหลาดน่ากลัวที่บินอยู่รอบๆ เรือมังกร พวกมันคือตั๊กแตนทมิฬ
บนดาดฟ้าที่สูงที่สุดของตึกเรือมังกร ประมุขไป๋ที่จอนผมขาวสองข้างกำลังกางแขนและหลับตาพึมพำอะไรบางอย่าง
ตั๊กแตนทมิฬตัวหนึ่งที่ใหญ่เท่าภูเขากระพือปีกบินเข้ามาใกล้ พูดภาษามนุษย์ที่คลุมเครือ “พบกันอีกวันไหน?”
ประมุขไป๋ลืมตา แล้วตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆ “หวังว่าจะไม่เจอกันอีก ลำบากเจ้าแล้ว กลับบ้านไปเถอะ”
ตั๊กแตนทมิฬตัวใหญ่บินขึ้นฟ้าทันที แล้วเลี้ยวบินนำตั๊กแตนทมิฬฝูงใหญ่เข้าไปในน้ำพุวังเวง。
ประมุขไป๋เผยสายตาซาบซึ้งใจเล็กน้อย มองตามเงาดำบินหายไปในน้ำพุวังเวง
จนกระทั่งทุกอย่างกลับสู่ความสงบแล้ว ประมุขไป๋ก็ลอยเบาๆ ขึ้นมาบนระเบียงชั้นล่าง มายืนข้างกายเกาก้วนที่กำลังยืนจับระเบียง แล้วถามว่า “คนของเจ้าล่ะ?”
เกาก้วนหยิบระฆังดาราออกมา ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน
ในขณะนี้เอง ทางน้ำพุวังเวงก็มีเงาคนคนหนึ่งเหาะเข้ามา ตรงไปที่เรือมังกรอเวจี ไม่โดนผีดิบที่ลากเรือขัดขวาง เหยียบลงมายืนข้างกายประมุขไป๋โดยตรง
ประมุขไป๋พยักหน้ายิ้มให้ผู้ที่มา
ผู้ที่มาถอดหน้ากากออก หลังจากเผยโฉมหน้าที่แท้จริงแล้ว กลับทำให้เกาก้วนตกใจไม่เบา ถามอย่างประหลาดใจแบบที่ไม่ค่อยทำ “ชีเจวี๋ย?”
ไม่ผิดหรอก ผู้ที่มาก็คือชีเจวี๋ย ลูกน้องคนสนิทของเฉาหม่าน
ชีเจวี๋ยมองเกาก้วนพลางหัวเราะลั่น “ข้าเองก็นึกไม่ถึงเช่นกัน ทูตตรวจการขวาเกาก้วนผู้สง่าผ่าเผย ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนขอคุณชายไป๋”
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ใช่คนของเขา” เกาก้วนกล่าวเสียงเย็น
“เอ่อ…” ชีเจวี๋ยพูดไม่ออก มองไปทางประมุขไป๋ เหมือนกำลังถามว่าหมายความว่าอย่างไร
ประมุขไป๋ส่ายหน้าเบาๆ พร้อมยิ้มเจื่อน
เกาก้วนถาม “เขานี่ยังไงกัน?” ชี้ไปที่ชีเจวี๋ย
ชีเจวี๋ยก็ยิ้มเจื่อนเช่นกัน ประมุขไป๋ช่วยอธิบายด้วยรอยยิ้มราบเรียบ “จะว่าไปเขาก็เป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนกัน ทั้งยังนับว่าเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้วอย่างแท้จริงด้วย บิดาของเขาก็คือน้องชายของเซี่ยโห้วท่า ในปีนั้นเซี่ยโห้วท่าต้องการจะแย่งชิงอำนาจ จึงกวาดล้างตระกูล ตอนนั้นเขายังเด็กอยู่ เลยโชคดีรอดพ้นเคราะห์ไปได้ บิดาของเขาที่ตายอย่างอนาถ ใช้กลยุทธ์หลี่ตายแทนถาว ถึงได้รักษาชีวิตของเขาไว้ได้ เขาอยากจะล้างแค้นมาตลอด ตอนหลังข้าก็เลยคิดหาวิธีปูเส้นทางให้เขา แทรกเขาไว้ข้างกายเฉาหม่าน”
เกาก้วนหรี่ตา “ทำไมต้องเป็นแทรกไว้ข้างกายเฉาหม่าน ที่เฉาหม่านเป็นหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้ว เป็นเจ้าที่ผลักดันเองกับมือเหรอ?”
ประมุขไป๋ส่ายหน้าเบาๆ “เรื่องวางหมากกับเซี่ยโห้วท่า ใช่สิ่งที่ข้าจะผลักดันง่ายๆ หรือ ในปีนั้นตอนที่เฉาหม่านเพิ่งจะเปิดตัวมาคุมตึกศาลาสัตยพรต ตอนที่เซี่ยโห้วท่าวางตัวเฉาหม่านไว้ในที่แจ้ง ข้าก็ตระหนักได้แล้วว่าเซี่ยโห้วท่าอาจจะเฝ้ารอคอยเฉาหม่าน มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเตรียมเฉาหม่านไว้เป็นทางหนีทีไล่ เซี่ยโห้วท่าฉลาดเกินไป ไม่ว่าจะทำอย่างโจ่งแจ้งหรือทำในที่ลับ อาจจะโดนมองออกได้ ทำได้เพียงใช้แผนการระยะยาว ลองลงมือกับเฉาหม่าน ตอนที่เซี่ยโห้วท่ายังอยู่นั้นโค่นล้มตระกูลเซี่ยโห้วได้ยาก จึงลองจับตาดูรุ่นถัดไป ที่จริงก็เป็นการกระทำที่จนปัญญาเหมือนกัน หาเป้าหมายอื่นที่จะลงมือไม่เจอแล้ว มีแค่เฉาหม่านที่ลอยขึ้นมาบนหิวน้ำ ต่อให้ทำเพื่อตอกตะปูตัวเดียวนี้ ข้าเองก็ใช้ความคิดแข่งกับเซี่ยโห้วท่าไปไม่น้อยเช่นกัน…ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เป็นอดีตไปหมดแล้ว คนของเราจะมาถึงเมื่อไหร่?” เขาหันกลับมาถาม
เกาก้วนตอบว่า “รออีกสักหน่อย…มาแล้ว!” จู่ๆ สายตาก็มองไปทางน้ำพุวังเวง
เห็นเพียงเงาคนคนหนึ่งเหาะออกมาจากน้ำพุวังเวง มาหยุดอยู่ตรงจุดที่ไม่ไกลจากเรือมังกรอเวจี ทำสีหน้าระแวงสงสัยไม่หยุด เหมือนไม่กล้าเข้าใกล้อีก
เกาก้วนชูระฆังดาราขึ้น จากนั้นผู้ที่มาก็หยิบระฆังดาราออกมา สีหน้าพลันเปลี่ยนไป มองเกาก้วนพลางเหาะเข้ามาอย่างช้าๆ มาเหยียบข้างกายเกาก้วน แล้วถามอย่างเหลือเชื่อ “ท่านบุรุษ ท่านคือ…”
เกาก้วนเปลี่ยนน้ำเสียง เปลี่ยนเป็นเสียงที่เขาคุ้นเคย “ข้าเอง!”
ผู้ที่มาถอดหน้ากากเผยโฉมหน้าที่แท้จริง เป็นเผยโม่ที่สังหารเซี่ยโห้วหลงเฉิง เขายิ้มแห้งพลางกุมหมัดคารวะ “ท่านบุรุษปิดบังข้าได้เนียนจริงๆ!”
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็นึกไม่ถึง ว่าทูตตรวจการขวาเกาก้วนก็คือท่านบุรุษที่บงการอยู่เบื้องหลังเขาครั้งแล้วครั้งเล่า และไม่เคยคิดที่จะเทียบตราอิทธิฤทธิ์ของทั้งสองอย่างละเอียดด้วย เป็นเพราะไม่กล้าคิดไปในทางนั้นจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ถึง!
“ภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ ที่นี่จะเป็นดินแดนแห่งความขัดแย้ง เจ้าอยู่ที่หน่วยตรวจการขวาต่อไม่ได้แล้ว อยู่ต่อจะมีอันตราย ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรให้ห่วง ไปกับข้าแล้วกัน” เกาก้วนกล่าว
เผยโม่กุมหมัดคารวะอีกครั้ง “เชื่อฟังท่านบุรุษ” เขาแอบชำเลืองประมุขไป๋สองที
ประมุขไป๋พยักหน้าเบาๆ ทักทายเขา เมื่อเห็นไป๋เหนียงจื่อพี่อยู่ข้างล่างออกมาอีกแล้ว เขาก็ถลันตัวลงไป ยืนอยู่ตรงข้ามนางแล้วถามว่า “ไม่ไปกับข้าจริงๆ เหรอ?”
ไป๋เหนียงจื่อยกมือกดตรงหน้าอก ชี้ที่หัวใจตัวเอง
ประมุขไป๋ถอนหายใจเบาๆ “ก็ได้! ข้าไม่ฝืนใจ แต่ข้าต้องเตือนเจ้าไว้สักหน่อย ต้องระวังตัวนะ วรยุทธ์สูงไม่ได้แปลว่าจะไร้ความกังวล ไม่ได้แปลว่าจะสามารถต่อต้านใต้หล้าได้ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของใต้หล้าไม่ใช่กำลังอันป่าเถื่อน แต่เป็นใจคน ตอนที่หนานโปถูกผนึกในปีนั้นก็เป็นบทเรียนให้เห็นแล้ว”
“นะโมอามิตตาพุทธ ขอให้โยมเดินทางราบรื่น!” ไป๋เหนียงจื่อประนมมือเคารพ ก้าวถอยหลังอย่างช้าๆ แล้วลอยขึ้นมากลางอากาศ ความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหาะไปยังจุดลึกในดาราจักร
“อยู่ดีๆ ทำไมออกบวชเสียแล้ว” อู๋ฉางที่เข้ามาใกล้พึมพำอย่างปวดใจ
ประมุขไป๋ที่มองคล้อยหลังนางก็รู้สึกทอดถอนใจมากเช่นกัน นึกย้อนไปในปีนั้น ไป๋เหนียงจื่อผู้เผ็ดร้อนที่ตามเกาะแกะเขาไม่ปล่อย พอมานึกดูตอนนี้ก็พบว่าทุกอย่างช่างงดงาม ราวกับภาพฝันมายา เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “เรื่องในอดีตมิอาจหวนรำลึก!” แล้วหันกลับไปพยักหน้าให้เทพพยากรณ์
เทพพยากรณ์ที่สวมหมวกงอบคลุมครึ่งหน้ากระทุ้งไม้ขักขระเบาๆ เรือมังกรอเวจีเคลื่อรไหวอีกครั้ง ขับเรือไปยังดาราจักรแวววาวอันยาวไกล
คนกลุ่มนี้หันกลับไปมองแดนรัตติกาลอีกครั้ง ทุกคนต่างก็รู้ว่า ครั้งนี้พวกเขาต้องจากไปแล้วจริงๆ
ที่ชั้นสองของตึกเรือ มู่เซิน ผู้อาวุโสเผ่าปีศาจวิ่งออกมา ตะโกนบอกอย่างตื่นเต้นว่า “คุณชายไป๋ นายท่านฟื้นแล้ว!”
ประมุขไป๋หันขวับ ถลันตัวขึ้นไปทันที เกาก้วนที่อยู่บนตึกเรือก็ถลันตัวลงมาเช่นกัน ทั้งสองแทบจะเข้าไปพร้อมกัน
ในตึกเรือ เตียงมังกรหลังหนึ่งถูกฟองอากาศขนาดใหญ่ที่โปร่งแสงครอบไว้ กลุ่มสตรีเผ่าปีศาจกำลังล้อมพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจอยู่ข้างเตียงมังกร สตรีที่งดงามราวกับความฝันคนนั้นกำลังนั่งอยู่ ตรงใต้เท้ามีสตรีเผ่าปีศาจสองคนกึ่งนั่งกึ่งพิง หมอบอยู่บนตักนางครึ่งหนึ่ง กำลังพูดคุยหัวเราะอย่างสนุกสนาน
พอมู่เซินเดินเข้ามากระแอม บรรดาสตรีเผ่าปีศาจก็หันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วทยอยกันถอยออกไป จากนั้นมู่เซินก็โค้งตัวแล้วถอยออกไป
สตรีผู้งดงามกะพริบดวงตาอันใสบริสุทธิ์ ขณะเห็นผู้ชายสองคนเดินเคยงกันมา นางก็เผยรอยยิ้มอ่อนละมุน
เกาก้วนตาแดงก่ำแล้ว รีบชิงเดินเข้าไปในฟองอากาศ พอไปถึงหน้าเตียงมังกรก็ก้าวช้าลง แล้วนั่งบนที่วางเท้าหน้าเตียงมังกร เงยหน้ามองประมุขปีศาจรั่วสุ่ย แล้วยิ้มทั้งน้ำตา “ท่านพี่!”
รั่วสุ่ยยิ้มอย่างงดงาม ดวงตาสวยน้ำตารื้น ยื่นสองมือเรียวสวยออกมา ถอดหมวดทรงสูงบนศีรษะเขา ลูบศีรษะเขาพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงไพเราะ “ดีจริงๆ เกาน้อยของข้ากลับมาแล้ว”
เกาก้วนออกแรงส่ายหน้า มอบร้องไห้โฮบนตักนาง ปากก็กล่าวเสียงสะอื้น “ข้าขอโทษ! ท่านพี่ ข้าผิดไปแล้ว…”
เขาจำได้เลือนรางว่าวันนั้นบนทะเลมีคลื่นโหมซัดสาด สุดท้ายคลื่นยักษ์ก็ซัดจนเรือแตก เขาที่ยังเป็นเด็กน้อยกอดขอนไม้ลอยอยู่ในน้ำทะเลหนาวเหน็บ ไม่รู้เหมือนกันว่าลอยอยู่นานเท่าไร อย่างไรเสีย หลังจากนั้นเขาก็ไม่เห็นพ่อแม่ที่ขึ้นเรือมาด้วยกันอีกเลย ตอนที่เขากำลังจมลงสู่ก้นทะเลอย่างสะลึมสะลือ สตรีผู้งดงามคนหนึ่งก็มาจากทะเลลึก มารับเขาเอาไว้ ใช้ฟองอากาศครอบเขาไว้ ส่งเขามาบนเกาะแห่งหนึ่ง
บนเกาะที่งดงาม หาดทรายสีขาวบริสุทธิ์ สตรีผู้งดงามสวมชุดกระโปรงยาวเกล็ดสีทอง สองขาเรียวยาวก้าวเข้ามาอุ้มเขาขึ้นบนเกาะ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ใช้ชีวิตบนเกาะกับพี่สาวแสนสวยคนนี้ เขามักเฝ้ารอให้ตัวเองเติบโตเร็วๆ จึงสวมหมวกทรงสูงที่น่าขำใบหนึ่ง พี่สาวแสนสวยมักจะตบศีรษะเขาเบาๆ และเรียกล้อเขาว่า ‘เสี่ยวเกาเม่า[1]’ รอยยิ้มของพี่สาวอ่อนโยนขนาดนั้น ทำให้เขาลืมเลือนเรื่องทุกข์ใจทุกอย่างได้
…………………………
[1] เสี่ยวเกาเม่า 小高帽 แปลว่า เจ้าหนูน้อยหมวกสูง