พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 2244 สวีถังหรานเสนอแนะ
ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็มาถึงตำหนักสวรรค์แล้ว พวกฉินเวยเวยก็มาถึงแล้วเช่นกัน จากนั้นก็ตามนางไปคำนับราชันสวรรค์ด้วยกัน
เมื่อเจอเหมียวอี้อีกครั้ง ก็ไม่ได้ทำตัวอิสระผ่อนคลายเหมือนเมื่อก่อนอีก อาจารย์และผู้อาวุโสของแต่ละคนล้วนกำชับมาแล้ว ตอนที่พวกฉินเวยเวยมาคำนับจึงประพฤติตัวเรียบร้อยและระมัดระวังขึ้นหลายส่วน
พูดจาทักทายตามมารยาทเล็กน้อย แม่ผู้หญิงกลุ่มนี้จะอยากอยู่ตามลำพังกับเหมียวอี้ แต่มีคนอยู่ด้วยเป็นกลุ่ม คำพูดลับๆ ในห้องนอนบางอย่างก็ไม่สะดวกจะพูดต่อหน้าคนเยอะๆ ทุกคนจึงกล่าวอำลาออกไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
กลับเป็นฉินเวยเวย เหมียวอี้อาศัยข้ออ้างว่ามีเรื่องจะสอบถามเกี่ยวกับพิภพเล็ก ถึงอย่างไรฉินเวยเวยก็คอยคุมพิภพเล็กมาตลอด จึงรั้งฉินเวยเวยให้อยู่ต่อคนเดียว
เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว เหมียวอี้ก็เดินอ้อมออกมาจากหลังโต๊ะ เดินมาตรงหน้าฉินเวยเวย แล้วมองนางพร้อมรอยยิ้มบางๆ
ฉินเวยเวยถูกมองจนเก้อเขิน อยากจะบ่นสักสองสามคำ ทว่าก่อนมาหยางชิ่งได้ส่งข่าวมากำชับแล้ว ว่าราชันสวรรค์ก็คือราชันสวรรค์ จุดนี้โหดร้ายมาก จะต้องเตรียมตัวให้ดีเพื่อรับความจริงที่วว่า อัสนีบาตหยาดพิรุณล้วนเป็นของพระราชทานจากราชัน[1] อย่าคิดเด็ดขาดว่าอาศัยความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้แล้วจะสามารถกำเริบเสิบสานได้ หวังมากก็จะยิ่งผิดหวังมาก อย่าทำร้ายตัวเอง
พอนึกถึงตรงนี้ ฉินเวยเวยก็ก้มหน้าเงียบๆ ในใจรู้สึกปลงมาก นึกย้อนไปถึงปีนั้นที่ทั้งสองเจอกันครั้งแรก ทหารต่ำต้อยของถ้ำล่องนิภาสู้ตายไม่ยอมแพ้ ชี้ทวนตะโกนไกลๆ ว่า ‘เหมียวอี้อยู่นี่แล้ว กล้าสู้ตายกับข้าไหม’ ฉากนั้นผ่านไปไม่หวนกลับ ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าทหารต่ำต้อยจะกลายเป็นราชันสวรรค์ที่มีอำนาจบาตรใหญ่ในดาราจักร!
เหมียวอี้ยื่นมือเชยคางนางขึ้นมา ทั้งสองสบตากัน ฉินเวยเวยเรียกเขาอย่างเขินอาย “ฝ่าบาท!”
เหมียวอี้ก้มหน้าเข้ามาใกล้ จูบบนริมฝีปากพร้อมคว้าตัวเข้ามากอด ฉินเวยเวยแนบชิดในอ้อมกอดพร้อมเสียงอู้อี้ นางเงยหน้าขึ้น ปล่อยให้ตักตวงตามใจชอบ
เมื่อคลายจูบแล้ว ฉินเวยเวยก็แก้มแดงเรื่อ ดวงตาแวววาวฉ่ำน้ำ
“คืนนี้เจิ้นไปค้างกับเจ้าดีมั้ย?” เหมียวอี้ถามหยอกล้อ
“อื้ม” ฉินเวยเวยขานรับด้วยเสียงอู้อี้เหมือนยุง นางได้ยินจากหยางชิ่งว่าตอนนี้เหมียวอี้งานยุ่งมาก มีความลับบางอย่างที่ไม่สะดวกจะให้คนอื่นรู้ สั่งให้นางระวังและหลบเลี่ยง จากนั้นก็ถอยสองก้าวแล้วคำนับ “ฝ่าบาทงานยุ่ง หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ”
“ไม่เป็นไร ไม่ได้เจอกันนานแล้ว คิดถึงมาก อยู่เป็นเพื่อนข้างกายเจิ้นก่อน” เหมียวอี้ก้าวขึ้มมาดึงมือนาง จูงกลับไปนั่งข้างกัน
เขานั่งลงจัดการงานต่างๆ ส่วนฉินเวยเวยก็คอยรินน้ำชาอยู่ข้างกายด้วยแววตาเป็นประกาย ปรนนิบัติอย่างระมัดระวัง เอาใจใส่อย่างถี่ถ้วน นางคือบุคคลที่สูงส่งเหมือนราชินีที่พิภพเล็ก ตอนนี้กลายเป็นสาวน้อยที่ว่าง่ายคนหนึ่งแล้ว แต่นางก็ยินดีที่จะรับไว้ นางเห็นเพียงว่าเหมียวอี้ไม่ได้รั้งผู้หญิงคนอื่นไว้ รั้งนางไว้คนเดียว และไม่มีท่าทีจะให้นางหลบเลี่ยงเพราะมีความลับด้วย แค่คิดก็รู้แล้วว่าเชื่อใจนางขนาดไหน ความน้อยเนื้อต่ำใจหลายปีเปลี่ยนเป็นความหวานปานน้ำผึ้งในชั่วพริบตาเดียว
หารู้ไม่ว่าสำหรับเหมียวอี้แล้ว มีความลับมากมายที่หยางชิ่งรู้ ตอนนี้มีความลับหลายเรื่องที่เขาปรึกษากับหยางชิ่ง หลบเลี่ยงฉินเวยเวยไปก็ไม่มีความหมาย ไม่สู้แสดงความรักความโปรดปรานให้นางมีความสุข ขณะเดียวกันก็ทำให้หยางชิ่งเห็นด้วย
ถ้าจะให้พูดถึงจิตใจดั้งเดิมจริงๆ ตอนนี้ระหว่างเขากับผู้หญิงพวกนี้มีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องมากเกินไป จิตใต้สํานึกค่อนข้างห่างเหินผู้หญิงพวกนี้ ส่วนความงามของฉินเวยเวย เมื่ออยู่ที่พิภพเล็กก็ยังนับว่าดี แต่มาอยู่ที่นี่ก็พูดได้เพียงว่าอยู่ในระดับกลางลงมา กอปรกับเยี่ยนเป่ยหงกับพวกเยว่เหยาทำให้เขาจิตตกมาก ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์มาพูดคุยเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เลย ไม่มีอารมณ์จะทำเรื่องระหว่างชายหญิงด้วย แต่ก็ยังฝืนยิ้มแสดงความรักต่อฉินเวยเวยได้
แน่นอน ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจฉินเวยเวยแล้ว ไมตรีเก่ายังคงมีอยู่
ผ่านไปไม่นาน หยางชิ่งก็มาถึงแล้ว เมื่อเห็นฉินเวยเวยอยู่ในตำหนักสวรรค์ เขาก็อึ้งเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าลูกสาวจะสามารถอยู่ข้างกายเหมียวอี้ที่ตำหนักสวรรค์ได้ ตำหนักสวรรค์คือห้องทำงานส่วนตัวของราชันสวรรค์ งานที่ปรึกษากันในที่ประชุมตำหนักฟ้าดินยังเป็นความลับไม่เท่าครั้งนี้เลย ตำหนักสวรรค์ใช่สถานที่ที่ผู้หญิงจากวังหลังจะเข้ามาเกี่ยวข้องได้ง่ายๆ เสียที่ไหนกัน
เหมียวอี้วางแผ่นหยกลง แล้วก็ปรึกษากับหยางชิ่งเรื่องจัดวางกำลังพล
เห็นได้ชัดว่าหยางชิ่งค่อนข้างเสียสมาธิ รู้สึกทั้งกังวลทั้งดีใจปนกัน ดีใจก็เพราะไม่ว่าเหมียวอี้จะเสแสร้งแกล้งทำให้เขาดูหรือไม่ อย่างน้อยก็พิสูจน์แล้วว่าเขายังสามารถกลายเป็นที่พึ่งให้ลูกสาวได้ ตราบใดที่ยังมีเขาอยู่ ในวังสวรรค์แห่งนี้ก็ไม่มีใครกล้ากลั่นแกล้งลูกสาวของตัวเองง่ายๆ ส่วนความกังวลนั้นก็มาจากหลายด้าน
เมื่อคุยกันได้สักพัก เหมียวอี้ก็สังเกตได้ว่าหยางชิ่งไม่มีสมาธิ ในใจแอบรู้สึกขำ คิดว่าตัวเองช่างบีบจุดอ่อนของจิ้งจอกเฒ่านี่ได้แม่นยำจริงๆ
ถามแล้วไม่ได้ความอะไร ก็ไม่ถามแล้ว ให้ฉินเวยเวยออกไปส่งบิดา
เมื่อออกจากตำหนักสวรรค์ เดินไปไกลพอสมควร สองพ่อลูกก็หยุดเดิน ฉินเวยเวยทำความเคารพและบอกว่า “ท่านพ่อ ลูกยังต้องอยู่เป็นเพื่อนฝ่าบาท ขออภัยที่ไปส่งไกลไม่ได้ค่ะ”
อีกฝ่ายขาดคนอยู่เป็นเพื่อนเหรอ? หยางชิ่งตำหนิไม่หยุด แต่เมื่อเห็นลูกสาวหน้าตาสดใสชื่นมื่น ก็เห็นได้ชัดว่าดีใจเพราะได้รับความโปรดปราน เขาจึงกลืนคำพูดที่จ่ออยู่ในปากลงไป หยางชิ่งไม่มีทางพูดออกมาได้ว่าอีกฝ่ายทำเพื่อแสดงให้เขาเห็น ไม่ได้เจอกันมาหลายปี ไม่อยากให้พอเจอกันก็ทำให้ลูกสาวเป็นทุกข์เลย ทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ “เวยเวย จำไว้นะ ตอนนี้ยังไม่ถึงคราวที่เจ้าจะทำตัวออกนอกหน้า ตำหนักสวรรค์คือสถานที่ปรึกษาหารืองานใหญ่ที่เป็นความลับ ไม่ใช่สถานที่ที่ผู้หญิงของวังหลังจะเข้าไปก้าวก่ายได้ง่ายๆ เจ้าอยู่ที่นั่นสะดุดตาเกินไป จะกลายเป็นเป้าของคนหมู่มาก เข้าใจใช่ไหม? จำไว้นะ บ้านเราไม่เหมือนคนอื่น เจ้าไม่จำเป็นต้องอาศัยการแย่งชิงความโปรดปรานเพื่อยืนอยู่ข้างกายฝ่าบาท โดยเฉพาะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ เจ้าจะต้องสงบเสงี่ยม ตอนที่ฝ่าบาทต้องการเจ้า เจ้าก็ทำหน้าที่ของผู้หญิงคนหนึ่งให้ดีที่สุดก็พอ ส่วนเรื่องอื่นยังไม่ต้องคิดมากเข้าใจไหม?”
ฉินเวยเวยพยักหน้าทันที “เข้าใจค่ะ”
เมื่อเห็นนางตอบรับอย่างง่ายดายขนาดนี้ หยางชิ่งก็พูดไม่ออกมาก ไม่รู้เหมือนกันว่านางฟังเข้าใจหรือเปล่า แต่มองออกเลยว่านางร้อนใจอยากจะกลับไปอยู่ข้างกายเหมียวอี้
ในใจหยางชิ่งไม่สบอารมณ์ นับว่าได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่า ลูกสาวที่แต่งงานแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออก เอนเอียงไปเข้าข้างคนนอก ไม่ได้เจอกันหลายปีขนาดนี้ ไม่คิดว่าจะมาอยู่กับบิดาตัวเองก่อน กลับคิดจะไปอยู่กับผู้ชายคนอื่นก่อน แบบนี้มันใช่เรื่องเสียที่ไหน
เขาอึกอักเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ไม่ได้พูดรุนแรงเกินไปจนทำลายบรรยากาศของลูกสาว คิดว่าตราบใดที่เขายังอยู่ที่นี่ ปล่อยให้นางดีใจสักหน่อยก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร คำพูดอย่างอื่นเพราะให้ลูกสาวดีใจเสร็จก่อนแล้วค่อยคุยกันให้ละเอียดก็ยังไม่สาย เขาถอนหายใจพลางส่ายหน้า แล้วหันตัวเดินออกไป…
สองวันหลังจากนั้น คนของสวนกลางเขียวขจี รวมทั้งคนกลุ่มใหญ่ที่ถูกกักบริเวณอยู่ในอุทยานหลวงทยอยกันย้ายออกจากอุทยานหลวง ย้ายไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์
วังสวรรค์ที่ใหญ่โตรโหฐานสะเทือนอย่างรุนแรงครู่หนึ่ง คนในวังสวรรค์ตกใจ รู้สึกได้ว่าวังสวรรค์เริ่มเคลื่อนที่อยู่ในดาราจักร
รอบๆ วังสวรรค์ที่ใหญ่มหึมามีทัพใหญ่พันกว่าล้านรวมตัวกัน บ้างก็กำลังเข็นวังสวรรค์ไปข้างหน้า บ้างก็กำลังจูงอยู่ข้างหน้า หรือไม่ก็คอยเบิกทางอยู่ข้างหน้า บางส่วนก็คอยระแวดระวังรอบๆ ติดตามวังสวรรค์ไปข้างหน้าตลอดทางอย่างไม่รีบร้อน
บนตึกตำหนักสูง เหมียวอี้สีหน้าเรียบเฉย เอามือไขว้หลังยืนพิงระเบียง ทอดสายตามองดาราจักร
ผังก้วนขึ้นมาบนตึกด้วยการนำของหยางเจาชิง เดินมาถึงข้างหลังเหมียวอี้แล้วทำความเคารพ “คำนับฝ่าบาท”
เหมียวอี้กลับมายิ้ม แล้วยื่นมือเชิญให้ยืนเคียงข้างกัน จากนั้นโบกมือชี้แสงดาวระยิบระยับที่ล่าถอยไปข้างหลัง สอบถามว่า “ฉากนี้อลังการหรือเปล่า?”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ผังก้วนก็รู้ถึงเจตนา สาเหตุที่เรียกเขามาก็เพื่อจะให้เขาดูด้วยตาตัวเอง ถามเขาว่ายอมหรือยัง และกำลังบอกเขาด้วยว่า ในปีนั้นต่อให้เจ้าได้อาณาเขตทัพใต้ไป อย่างมากตอนนี้ก็เป็นได้แค่อ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ แต่กับข้านั้นไม่เหมือนกัน
เขามองซ้ายมองขวา แล้วกล่าวชม “เคลื่อนย้ายวังสวรรค์ เป็นฉากที่อลังการ มีพลังมหาศาล จิตใจอันทะเยอทะยานของฝ่าบาท ไม่ใช่สิ่งที่ข้าน้อยเทียบติด ในปีนั้นเป็นข้าน้อยเองที่ไม่ประเมินกำลังของตัวเอง” เขากำลังสื่อว่า ยอมรับผิดอย่างเป็นทางการที่แย่งชิงอาณาเขตทัพใต้ในปีนั้น แสดงความสวามิภักดิ์
เหมียวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ในปีนั้นนับว่าเจิ้นทำผิดต่อเจ้าเช่นกัน เดี๋ยวต่อไปจะชดเชยให้เจ้าเอง มีตำแหน่งอ๋องสวรรค์ว่างรอเจ้าอยู่ ไม่รู้ว่าเจ้าคิดอย่างไร?”
ผังก้วนอึ้งไปชั่วขณะ มีเรื่องดีๆ อย่างนี้ด้วยหรือ? เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าเหมียวอี้มีเจตนาอะไร กำลังหยั่งเชิงตนอยู่เหรอ? เขาไม่ค่อยกล้ารับปาก อยากจะครุ่นคิดให้ดีสักหน่อยว่าหมายความว่าอะไรกันแน่ จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ขอเพียงฝ่าบาทไม่รังแกเสี้ยวเสี้ยวก็พอ พูดถึงเสี้ยวเสี้ยว นางก็คำนับฟ้าดินกับฝ่าบาทอย่างเป็นทางการแล้ว ไม่ทราบว่าตำแหน่งสนมสวรรค์จะรองรับนางได้หรือไม่?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ เหมียวอี้ก็เงียบไป พวกฉินเวยเวยมาแล้ว กอปรกับใต้หล้าเพิ่งสงบ ต้องปลอบขวัญคนกลุ่มหนึ่ เขามีรายชื่อแต่งตั้งสนมสวรรค์ชุดหนึ่งแล้ว ผังเสี้ยวเสี้ยวย่อมอยู่ในรายชื่อนี้ด้วย อวิ๋นจือชิวคงจะอนุมัติได้ไม่มีปัญหา แต่เขามีจิตใจที่เห็นแก่ตัว อยากจะถ่วงเวลาสักหน่อย อยากจะรอให้คนคนหนึ่งมาถึงก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที…
วังสวรรค์ขนาดมหึมาไม่กล้าเหาะเร็วเกินไป เพราะมีพื้นที่ใหญ่มาก ถ้าเหาะเร็วเกินไป กลัวว่าถ้าเจอกับดาวอะไรแล้วจะเลี้ยวลำบากจนชนกัน
ดาราจักรกว้างใหญ่แวววาว ไร้ขอบเขตสิ้นสุด จุดไหนที่วังสวรรค์เคลื่อนผ่านไป ก็มีผู้บัญชาการของอาณาเขตที่เกี่ยวข้องมาคำนับไม่ขาดสาย
มาได้ครึ่งทาง ในที่สุดคนที่พวกเหมียวอี้รอมาถึงแล้ว สวีถังหราน!
ในตำหนักสวรรค์ ต่อหน้าผู้บัญชาการกลุ่มหนึ่ง สวีถังหรานเสนอความเห็นว่า ตอนนี้สมาคมวีรชนมีหวงฝู่จวินโหรวเป็นเจ้าบ้านแล้ว จากที่เขาคลุกคลีกับสมาคมวีรชนมาช่วงหนึ่ง แนะนำให้ฝ่าบาทแต่งตั้งหวงฝู่จวินโหรวเป็นสนม เหตุผลก็คือจะได้สะดวกต่อการควบคุมสมาคมวีรชน
“ทุกคนคิดว่าสิ่งที่สวีถังหรานเสนอเป็นอย่างไร?” เหมียวอี้ถามกลุ่มขุนนาง
ทุกคนกลุ้มใจนิดหน่อย ตอนนี้จำเป็นต้องไว้หน้าสมาคมวีรชนมาขนาดนั้นเชียวหรือ? แต่ทุกคนต่างรู้ว่าสวีถังหรานเป็นเหมือนสุนัขหมายเลขหนึ่งของเหมียวอี้ ไม่รู้ว่าเสนอความเห็นแบบนี้เพราะมีเจตนาอะไร ทุกคนต่างก็กำลังครุ่นคิด
ไม่มีใครคัดค้าน เหมียวอี้ก็คิดว่าทุกคนเห็นด้วยแล้ว
หลังจากแยกย้ายออกจากตำหนัก เหมียวอี้ก็ให้หยางเจาชิงนำรายชื่อแต่งตั้งสนมสวรรค์ไปให้อวิ๋นจือชิวอ่าน เรื่องของวังหลังอวิ๋นจือชิวมีอำนาจตัดสินใจ
ในวังสวรรค์ หยางเจาชิงมาเจออวิ๋นจือชิวแล้ว หลังจากได้อ่านรายชื่อแต่งตั้งที่ส่งมา เขาก็แอบสังเกตปฏิกิริยาของอวิ๋นจือชิวเงียบๆ
ในศาลาเย็น อวิ๋นจือชิวนั่งสง่าพร้อมถือรายชื่ออ่านอย่างละเอียด เมื่อไหร่ชื่อหนึ่งปรากฏสู่สายตา นางก็เลิกคิ้วเล็กน้อยโดยจิตใต้สำนึก
เมื่อเห็นรายชื่อนี้ นางก็นึกถึงชุดชั้นในตัวนั้นบนเตียงในปีที่เหมียวอี้ยังอยู่ที่ตลาดสวรรค์ ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ชุดชั้นในตัวนั้นยังเหมือนหนามที่แทงหัวใจนาง ไม่เคยลบออกเลย คิดว่านางเป็นคนโง่ที่สามารถตบตาอย่างไรก็ได้หรือ? เพียงแค่นางไม่เคยพูดก็เท่านั้นเอง
นางชำเลืองมองหยางเจาชิง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ “หวงฝู่จวินโหรวคนนี้ไม่ใช่สนมของฝ่าบาท ทำไมจู่ๆ ถึงอยู่ในรายชื่อแต่งตั้งสนมสวรรค์แล้วล่ะ?”
“เพื่อให้สะดวกต่อการควบคุมสมาคมวีรชนขอรับ สวีถังหรานเสนอแนะ…” หยางเจาชิงเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ กลับดูเหมือนกำลังประกาศให้ชัดเจนว่าไม่เกี่ยวกับเหมียวอี้ ทั้งหมดล้วนผลักไปที่สวีถังหราน
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” อวิ๋นจือชิวกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ยื่นมือวาดบนแผ่นหยก แล้วกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเฉยไร้อารมณ์ “ผู้หญิงคนนี้ไม่เหมาะสม นอกนั้นอนุมัติทั้งหมด” จากนั้นก็โยนแผ่นหยกกลับมา
หยางเจาชิงรับแผ่นหยกมาดู พบว่ารายชื่อของหวงฝู่จวินโหรวถูกขีดทิ้งอย่างไม่ลังเล ในใจแอบทอดถอนใจ ไม่กล้าพูดอะไรมาก จากนั้นก็กล่าวขอตัวแล้วเดินออกไป
ตอนที่เพิ่งเดินออกจากศาลา ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะกล่าวเสียงเย็นว่า “ไม่ได้เจอสวีถังหรานมานานแล้ว มีเรื่องปรับเปลี่ยนโถงชุมนุมอัจฉริยะจะถามเขาพอดี ให้เขามาพบให้หน่อย เรียกเสวี่ยหลิงหลงมาด้วยกันด้วย”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ แล้วถอนตัวออกไป
…………………………
[1] อัสนีบาตหยาดพิรุณล้วนเป็นของพระราชทานจากราชัน 雷霆雨露俱是君恩 ฟ้าผ่าเปรียบเสมือนการลงโทษ น้ำฝนเปรียบเสมือนรางวัล